บทที่ 586.3 เชิญมาร่วมดื่มเหล้ากับข้าเฉินผิงอัน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หนิงเหยาดื่มเหล้าพลางเอ่ยว่า “หลังจากที่ท่านปู่เสี่ยวต่งตายไปได้ไม่นานก็มีคำกล่าวหนึ่งบอกว่า ปีนั้นที่ข้าถูกลอบสังหารในหอมายา ก็คือแผนการที่ท่านปู่เสี่ยวต่งวางแผนเองกับมือ”

หนิงเหยาหัวเราะ “ข้าไม่เชื่อหรอก เพียงแต่ว่ามีคนปากมาก ข้าจะขวางก็ขวางไม่อยู่”

เฉินผิงอันถาม “ไม่พูดถึงว่าความจริงเป็นอย่างไร ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น เจ้าเสียใจหรือไม่?”

หนิงเหยาส่ายหน้า “ไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ไม่อย่างนั้นช่วงนี้นอกจากไปฝึกกระบี่ที่หัวกำแพง ข้าก็คงไม่ออกจากบ้านแล้ว”

หนิงเหยาถามอย่างสงสัย “นอกจากที่แม่หนูลวี่ตวนถูกลอบฆ่า ยังจะมีเรื่องเกิดขึ้นอีกหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว มีคนคิดจะทดสอบฝีมือของข้า ขณะเดียวกันก็พยายามทำให้จวนหนิงโดดเดี่ยว พูดไปพูดมาก็คือยังอยากให้เจ้าเสียสมาธิ ขัดขวางการฝ่าทะลุขอบเขตของเจ้า เมื่อก่อนไม่มีโอกาส เกิดเรื่องคดีที่หอมายา เรื่องของต่งกวานพู่ แล้วยังมีการออกกระบี่ด้วยมือของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ใครก็ไม่กล้าลงมือต่อจวนหนิงอย่างโจ่งแจ้ง ตอนนี้ข้ามาเยือนที่นี่ก็จะมีจุดให้ลงมือได้แล้ว”

หนิงเหยาถาม “ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเจ้าไม่รำคาญเรื่องพวกนี้เลยสักนิด? อันที่จริงข้ารำคาญมาก เพียงแต่รู้ว่ารำคาญไปก็ไร้ประโยชน์ ก็เลยไม่ไปสนใจ แล้วก็ไม่คิดให้มากความด้วย”

เฉินผิงอันยื่นมือไปขอกาเหล้า หนิงเหยาจึงเตรียมจะยื่นส่งมาให้ตามจิตใต้สำนึก แต่ไม่นานก็หันมาถลึงตาใส่เฉินผิงอันแทน

เฉินผิงอันที่ไม่ได้สมใจจึงเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อต่อ “ฝีมือของเฉินผิงอันคนต่างถิ่นเป็นอย่างไร ก็หนีไม่พ้นเรื่องของตบะและจิตใจ หมัดของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเป็นอย่างไร เริ่นอี้ ผู่อวี๋ ฉีโซ่ว ผังหยวนจี้ได้ช่วยพิสูจน์ให้ข้าแล้ว ส่วนจิตใจคน หนึ่งอยู่จุดสูง หนึ่งอยู่จุดต่ำ หากอีกฝ่ายเชี่ยวชาญการวางแผนก็จะต้องลองหยั่งเชิงดู ยกตัวอย่างเช่นหากกวอจู๋จิ่วถูกลอบฆ่า จวนหนิงกับตระกูลกวอที่มีผู้ฝึกกระบี่กวอเจี้ยเฝ้าพิทักษ์ก็จะต้องห่างเหินกันไปอย่างสิ้นเชิง นี่ไม่เกี่ยวกับว่าเซียนกระบี่กวอเจี้ยเป็นคนมีคุณธรรมหรือไม่ เพราะตลอดทั้งตระกูลกวอได้มีหนามแหลมตำใจกันมานานแล้ว แน่นอนว่าตอนนี้แม่นางน้อยไม่เป็นอะไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว จะทดสอบจุดต่ำของจิตใจคนได้อย่างไร ง่ายมาก หากมีเด็กในตรอกตายไปสักคนหนึ่ง กิจการร้านเหล้าของเตี๋ยจ้างก็จบเห่แล้ว ข้าก็จะไม่ไปเป็นนักเล่านิทานที่นั่นอีก หากไป ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีใครมาฟังเรื่องเล่าสายน้ำขุนเขาจากข้าอีก สังหารกวอจู๋จิ่วยังต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ไม่เล็ก แต่สังหารเด็กในตรอกไปคนหนึ่ง ใครจะสนใจ? แต่หากข้าไม่สนใจ ผู้ฝึกกระบี่มากมายขนาดนั้นในกำแพงเมืองปราณกระบี่ จะมองข้าเฉินผิงอันอย่างไร? หากสนใจ ควรจะสนใจอย่างไรถึงจะถือว่าสนใจ?”

หนิงเหยาฟังจนหัวคิ้วขมวดมุ่นเป็นปม

ฟังเข้าสิ ป๋ายหมัวมัวพูดผิดแล้ว เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้าหมอนี่วางแผนรอบคอบรัดกุมไปเสียทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คิดถึงไปหมด

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จะต้องกลุ้มไปไย ในเมื่อข้าคิดได้แล้ว โอกาสของพวกเขาก็จะน้อยลงแล้ว เพียงแต่ว่าเรื่องบางเรื่องต่อให้คิดได้ก็ต้องรอให้อีกฝ่ายลงมือเสียก่อน”

หนิงเหยาถาม “ยกตัวอย่างเช่น?”

“ยกตัวอย่างเช่นป่าวประกาศไปทั่วว่าข้าคือลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง คือศิษย์น้องของจั่วโย่ว เรื่องพวกนี้ยังดี ได้แค่ทำให้เจ็บๆ คันๆ เท่านั้น เพราะผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ยอมรับในตบะที่แท้จริงของกันและกันมากกว่า”

เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “หรือยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกกระบี่หนุ่มบางคนที่ไม่มีหลักแหล่งดื่มเหล้าเมามายแล้วยกเรื่องในอดีตของจวนหนิงมาพูดต่อหน้าข้า มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าคำพูดที่ใช้จะไม่สุดโต่งเกินไปนัก เพราะไม่อย่างนั้นจะดูเป็นฝ่ายไม่มีเหตุผล มีแต่จะชักนำให้ฝูงชนเดือดดาล ไม่แน่ว่าพวกลูกค้าที่มาดื่มเหล้าคนอื่นๆ อาจลงมือช่วยเหลือข้าด้วย ดังนั้นอีกฝ่ายควรจะใช้คำพูดอย่างไรก็ต้องร่างบทมาไว้เสียก่อน ใคร่ครวญหากำลังไฟที่พอเหมาะพอดี ทั้งสามารถทำให้ข้าเดือดดาลจนลงมือ แล้วก็ไม่ถือว่าเขาเป็นคนที่ยั่วยุข้า เป็นคำพูดผดุงคุณธรรมที่มาจากความรู้สึกล้วนๆ สุดท้ายเมื่อหมัดของข้าปล่อยออกไป ไม่ว่าจะฆ่าเขาตายหรือไม่ หลังจบเรื่องล้วนต้องเป็นข้าที่ขาดทุน เลือดลมที่พลุ่งพล่านของคนหนุ่มอยู่ได้ไม่นาน กลอุบายลึกล้ำเกินไปไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่”

หนิงเหยาคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าพวกเราไปที่ร้านเหล้าเตี๋ยจ้างให้น้อยลง? เจ้าไปกลับแค่ระหว่างหัวกำแพงเมืองกับจวนหนิง คงไม่มีใครตั้งใจมาขวางทาง ไม่อย่างนั้นร่องรอยจะเด่นชัดเกินไป ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีเยอะ แต่คนโง่มีไม่มาก”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ยังต้องไป”

หนิงเหยาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร

“นักบัญชีชอบดีดลูกคิดคำนวณ แต่ก็ยังมีชีวิตให้ต้องใช้ ไม่มีทางคิดคำนวณต้นทุนและผลกำไรอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ข้าเป็นใคร? ใช้ชีวิตที่ไม่มีอะไรเลยมาจนเคยชินแล้ว ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ ยังต้องกลัวเรื่องพวกนี้อีกหรือไร?”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน มองไปทางลานประลองยุทธ แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าได้ยินคำพูดระยำมานานหลายปีขนาดนั้น ข้าเองก็อยากฟังกับหูตัวเองบ้าง เมื่อก่อนเจ้าไม่ยินดีจะสนใจพวกเขาก็ช่างเถิด ตอนนี้ข้าอยู่ข้างกายเจ้าแล้ว แต่ยังมีคนกล้าคิดร้ายต่อเจ้า พาตัวเองมารนหาที่ถึงถิ่นของเรา หากข้ายังไม่ปล่อยหมัดใส่เขาตรงๆ หรือยังจะต้องเลี้ยงเหล้าเขาด้วย?”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ยิ้มกล่าว “ต้องเป็นเรื่องของหมัดที่ปล่อยไปได้อย่างง่ายดายแน่นอน เพราะขอบเขตของอีกฝ่ายจะสูงมากไม่ได้ ต้องสู้เริ่นอี้ไมได้แน่ๆ เพราะถ้าสูงเกินไปก็จะไม่มีใครเห็นใจ”

หนิงเหยาถาม “จะไปที่ร้านเมื่อไหร่?”

นี่ก็คือนิสัยของหนิงเหยา

เฉินผิงอันไม่แปลกใจแม้แต่น้อย

ปีนั้นตอนอยู่ที่เมืองเล็ก หากไม่พูดถึงความรักความชื่นชอบ อันที่จริงนิสัยการลงมือทำเรื่องต่างๆ ของหนิงเหยาได้ส่งอิทธิพลต่อเฉินผิงอันอย่างมาก

หนึ่งในนั้นก็คือประโยคที่ว่า ‘มหามรรคาไม่ควรเล็กแค่นี้’ นี่ทำให้ภายหลังที่เฉินผิงอันเดินออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูแล้วมองการฝึกตนบนภูเขา จึงไม่เคยต้องแหงนหน้ามองเทพเซียนบนภูเขาอย่างแท้จริงมาก่อน

และการลงมือรวดเร็วฉับไวของหนิงเหยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีที่ว่า ‘เรื่องมาถึงขั้นนี้ ควรจะทำอย่างไร’ ถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดนั้น เฉินผิงอันก็ยังจดจำได้อย่างลึกซึ้งมาจนถึงวันนี้

มีจิตใจที่ใสกระจ่างและปรุโปร่งเช่นนี้ ถึงได้ไม่กลัวปัญหายุ่งยากร้อยพันที่คาดไม่ถึง ไม่ว่าเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็แค่จัดการแก้ไขมันไปเท่านั้น

เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าว “รอให้ข้ารักษาบาดแผลให้หายดีเสียก่อน อีกฝ่ายจะได้มีโอกาสวางแผนได้เรียบร้อยด้วย บอกตามตรง มีหลายๆ ครั้งที่ข้าร้อนใจแทนศัตรูด้วยซ้ำ นึกอยากจะสอนพวกเขาเสียเลยว่าควรจะออกกระบวนท่าอย่างไรถึงจะได้รับผลประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกันยังทำให้คนเคียดแค้นสะอิดสะเอียนได้ที่สุดด้วย”

หนิงเหยาไม่เอ่ยอะไร

เฉินผิงอันนั่งลงข้างกายหนิงเหยา เอ่ยเบาๆ ว่า “อย่ารู้สึกว่าข้าเปลี่ยนไป กลายไปเป็นคนแปลกหน้า ข้าเป็นแบบนี้มาโดยตลอด แต่ก็เหมือนอย่างที่พูดกับเจ้าก่อนหน้านี้ มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ข้าไม่เคยคิดมาก นี่ไม่ใช่ถ้อยคำไพเราะน่าฟังอะไร เป็นเพียงถ้อยคำที่มาจากใจจริงเท่านั้น”

หนิงเหยาเอ่ยเบาๆ “หากไม่ชอบข้า หากไม่มาที่นี่ เจ้าก็ไม่ต้องเจอกับเรื่องมากมายขนาดนี้ เจ้าสามารถมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ ถึงขั้นสามารถรอให้อนาคตกลายเป็นเซียนกระบี่ก่อนแล้วค่อยมาหาข้าก็ยังได้ ข้าก็จะยังรอเจ้าอยู่เหมือนเดิม”

ป๋ายหมัวมัวพูดถูกแล้ว หนิงเหยาต้องเป็นตัวของตัวเอง แล้วก็ต้องเชื่อใจเฉินผิงอัน ถ้อยคำที่เก็บไว้ในใจก็ควรพูดกับเขาไป มีหนึ่งประโยคก็พูดหนึ่งประโยค ไม่ต้องสนใจว่ามีเหตุผลหรือไม่ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่ชอบใช้เหตุผลที่สุดแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่มีเรื่องให้พูดคุยกัน

เฉินผิงอันกลับไม่ได้พูดอะไรกับหนิงเหยา เพียงหยิบแท่นสังหารมังกรก้อนเล็กๆ ที่หนิงเหยามอบให้ตอนที่จากลากันที่ภูเขาห้อยหัวในปีนั้นออกมา ด้านหน้าและด้านหลังของมันสลักคำว่า ‘หนิงเหยา’ ‘ไร้เดียงสา’ เฉินผิงอันก้มหน้ามองสองคำว่าหนิงเหยา ประกบสองนิ้วงอลงแล้วเคาะลงบนชื่อนั้นเบาๆ ถลึงตาใส่ ตีไปด่าไปด้วยว่า “เจ้าเป็นใครกัน ถึงได้ใจกล้าขนาดนี้ แถมยังเก่งกาจนัก ทำให้ข้าเสียใจจะตายอยู่แล้ว หากเจ้ายังไม่รู้ความอยู่แบบนี้ วันหน้าข้าจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจเจ้าแล้วนะ…”

หนิงเหยาเบี่ยงตัวหันข้างไปฟุบลงบนราวรั้ว ยิ้มจนตาหยี ขนตาส่ายไหวเบาๆ

แสงจันทร์นวลลออ วาดคิ้วให้แก่นาง

……

เถ้าแก่รองของร้านเหล้าที่หลายวันมานี้ไม่ได้ปรากฏตัว วันนี้กลับมาดื่มเหล้าที่ร้านอย่างหาได้ยาก เขาไม่ได้แย่งที่นั่งกับลูกค้า แต่นั่งยองอยู่ด้านข้างเป็นเพื่อนผู้ฝึกกระบี่ส่วนหนึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี มือหนึ่งของเขาถือถ้วยเหล้า มือหนึ่งถือตะเกียบ บนพื้นด้านหน้าวางกับแกล้มจานเล็กที่ใส่ผักดองของร้านตระกูลเยี่ยนเอาไว้ แต่ละคนล้วนทำเช่นนี้ ไม่รู้สึกว่าน่าอายอะไร ตามคำบอกของเถ้าแก่รอง ชายชาตรีเซียนกระบี่ ค้ำฟ้ายันดิน แค่จานกับแกล้มวางบนพื้นจะเป็นไรไป นี่เรียกว่าเซียนกระบี่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย เซียนกระบี่ไม่ถือสากับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เจ้าลองไปดื่มเหล้าที่เหลาสุราใหญ่โตค่าเหล้าแพงหูฉี่ที่อื่นดูสิ จะมีโอกาสแบบนี้ไหม? เจ้าลองเอากับแกล้มวางบนพื้นดูสิ? ต่อให้ลูกจ้างในร้านไม่ขัดขวาง ลูกค้าที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่พูดอะไร แต่ก็ต้องมีคนมองมาอย่างดูแคลนอยู่ดีไม่ใช่หรือ? แต่ที่ร้านของพวกเรามีเรื่องยุ่งยากใจแบบนี้ไหม? ไม่มีทางมีแน่นอน

ผู้ฝึกกระบี่ที่มาดื่มเหล้าที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผีขี้เหล้าที่กระเป๋าเงินค่อนข้างแฟบแบนเหล่านั้นรู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างยิ่ง

วันนี้ยังไม่มีเซียนกระบี่คนใดมาดื่มเหล้า เฉินผิงอันจิบเหล้าคำเล็กๆ ยิ้มคุยกับผู้ฝึกกระบี่สองคนข้างกายที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี

อยู่ดีๆ ก็มีคนหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งลุกขึ้นยืน ถือถ้วยเหล้าเดินโซซัดโซเซมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เรอดังเอิ้กหนึ่งที ก่อนพูดด้วยดวงตาหรี่ปรือเพราะความเมามายว่า “เจ้าก็คือเฉินผิงอันลูกเขยของจวนหนิงคนนั้นน่ะหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับ

คนผู้นั้นเตรียมจะพูดต่อ เฉินผิงอันกลับยกมือขึ้น ตะเกียบสองอันในมือกระทบกันเบาๆ เตี๋ยจ้างที่สีหน้าเคร่งเครียดก็วิ่งเข้าไปในร้าน แล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา

คนผู้นั้นไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ยังคงพูดต่อไปว่า “เจ้าคู่ควรกับหนิงเหยาหรือ? ข้าว่าไม่เลย เอาชนะพวกผังหยวนจี้สี่คนได้แล้วยังไง เจ้าก็ยังไม่คู่ควรกับหนิงเหยาอยู่ดี แต่เจ้าน่ะโชคดี คู่ควรกับจวนหนิง รู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร?”

เฉินผิงอันคีบผักดองขึ้นมาหนึ่งคำ จากนั้นก็ชูกาเหล้าขึ้น ชี้ไปด้านหลังตัวเอง

เตี๋ยจ้างสะบัดกระดาษให้คลี่ออก ด้านบนเขียนประโยคหนึ่งว่า ‘วันนี้ใครก็ตามที่พูดเรื่องในอดีตของจวนหนิงกับข้า จะต้องดื่มสุราลงทัณฑ์ เหล้าที่ดื่มก่อนจะเห็นตัวอักษรพวกนี้ ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน’

ลูกค้าหลายสิบคนที่อยู่ในร้านเหล้าตอนนี้ต่างก็เริ่มกลั้นหายใจทำสมาธิ บางคนไม่ดื่มเหล้ากินกับแกล้มอีกต่อไป บางคนยังคงดื่มเหล้าเคล้ากับแกล้มอยู่เหมือนเดิม เพียงแค่เคลื่อนไหวช้าลง

คนผู้นั้นไม่สนใจสิ่งใด เขากระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ เหล้าหกกระฉอกออกมาจากถ้วยขาวจำนวนไม่น้อย ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย พูดอย่างเดือดดาลว่า “กำแพงเมืองปราณกระบี่เกือบจะไม่เหลืออยู่แล้ว ใต้เท้าอิ่นกวานลงสนามรบเป็นผู้นำการต่อสู้คนแรก ปีศาจใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามก็หนีการต่อสู้ไปโดยตรง ความเป็นความตายหลังจากนั้น พวกเราล้วนชนะมาตลอด ชนะมาตลอดทาง ขาดอีกแค่ครั้งเดียว ขาดอีกแค่ครั้งเดียวเจ้าพวกปีศาจใหญ่สัตว์เดรัจฉานที่ต่อสู้เก่งที่สุดในใต้หล้าเหล่านั้นก็จะต้องถลึงตาถลน แต่เซียนกระบี่ใหญ่คู่รักเทพเซียนของจวนหนิงพวกเจ้ากลับดีนัก สัตว์เดรัจฉานฝั่งตรงข้ามขาดอะไร เซียนกระบี่ใหญ่สองท่านของจวนหนิงก็สมคบกันมอบสิ่งนั้นให้…เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างหน้าด้าน แพ้แล้วยังจะจู่โจมกำแพงเมือง แต่กำแพงเมืองปราณกระบี่ของเรายังมีหน้าตาให้ต้องรักษา! เจ้าตัวดี เป็นลูกศิษย์ของเหวินเซิ่งใช่ไหม เป็นศิษย์น้องเล็กของจั่วโย่วใช่หรือไม่? รู้หรือไม่ว่าเหตุใดเมื่อหลายปีก่อนหอจิ้งเจี้ยนของภูเขาห้อยหัวถึงไม่ยอมแขวนภาพเหมือนของเซียนกระบี่แค่สองท่านนี้? เจ้าคือท่านเขยของจวนหนิง คือลูกรักแห่งสวรรค์อันดับหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเจ้าลองมาพูดเองดีไหม?”

เฉินผิงอันจิบเหล้าหนึ่งคำ แล้ววางตะเกียบลงบนจานกับแกล้มเบาๆ

เตี๋ยจ้างโยนกระดาษแผ่นนั้นทิ้ง แล้วหยิบอีกแผ่นออกมาจากชายแขนเสื้อ นางพลันสะบัดกระดาษกางออก ‘ผู้ที่พูดถึงพ่อแม่ของหนิงเหยา กินหมัดข้าหนึ่งหมัด ขอร้องไปก็ไร้ประโยชน์’

คนผู้นั้นชำเลืองตามองแล้วก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไม่เสียแรงที่เป็นบัณฑิตสายของเหวินเซิ่ง ความรู้ยิ่งใหญ่จริงๆ แม้แต่เรื่องนี้ก็ยังเดาได้? ทำไม ต้องการต่อยข้าให้ตายด้วยหมัดเดียวงั้นรึ?”

คนผู้นั้นขว้างถ้วยเหล้าลงพื้นอย่างแรงจนแตกละเอียด “ดื่มเหล้าของจวนหนิงเจ้า ข้าสะอิดสะเอียนแทบตายอยู่แล้ว!”

เฉินผิงอันที่ในมือยังถือถ้วยขาวซึ่งมีเหล้าบรรจุอยู่เกินครึ่งลุกขึ้นยืนช้าๆ

คนหนุ่มผู้นั้นยืดคอออกมา ชี้ไปที่หัวของตัวเอง “มาสิ ขอข้าสักหมัด แน่จริงก็ต่อยเข้ามาตรงนี้เลย”

เขาพูดแดกดันว่า “สองครั้งที่มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนบังเอิญเป็นช่วงพักระหว่างศึกใหญ่พอดี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลูกศิษย์เหวินเซิ่งเดาออกมาตั้งแต่แรกแล้วหรือไม่? ถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นความสามารถ เอาชนะศึกสี่ครั้งได้ แล้วยังสังหารผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรอย่างข้าได้ จะไม่เรียกว่าความสามารถได้อย่างไร? แสร้งไปทำท่าฝึกหมัดอยู่ที่หัวกำแพงเมือง ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่อยากสังหารปีศาจ แต่เป็นเพราะปีศาจเห็นเฉินผิงอันแล้วก็เลยไม่กล้ามาโจมตีสินะ? ข้าว่าความสามารถของเจ้าใหญ่กว่าเซียนกระบี่ทุกคนรวมกันเสียอีก เจ้าว่าใช่หรือไม่ เฉินผิงอัน?!”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองเศษถ้วยที่แตกอยู่บนพื้น

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นเบิกตากว้าง “เงินค่าเหล้า? ข้ามี ข้าผู้อาวุโสไปที่หัวกำแพงเมืองมาครั้งหนึ่ง ไปที่ทิศใต้มาอีกครั้งหนึ่ง เงินที่ได้มาไม่มากนัก แต่แค่ซื้อเหล้าห่วยๆ ของเจ้าไม่กี่ชาม กลับเหลือเฟือ!”

เขาเตรียมจะควักเงินเทพเซียนออกมาจากชายแขนเสื้อ แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเจ้าคนที่สวมชุดเขียวผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “เงินค่าเหล้าถ้วยนี้ เจ้าไม่ต้องจ่าย”

ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรผู้นี้หัวเราะฮ่าๆ แน่ใจแล้วว่าคนผู้นั้นไม่กล้าลงมือจึงเตรียมจะพูดต่ออีกสักสองสามประโยค

เพียงแต่ว่าเสี้ยววินาทีนั้น

ศีรษะของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มก็ต้องรับหนึ่งหมัดเต็มๆ

ต่อยจนร่างของเขาหมุนคว้าง หัวทิ่มลงพื้น สองขาชูขึ้นฟ้า แล้วร่างก็อ่อนยวบทรุดลงพื้นตายคาที่ทันที ไม่เพียงเท่านี้ จิตวิญญาณยังแหลกสลายไปหมด ตายจนตายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

เฉินผิงอันถือถ้วยเหล้าด้วยมือซ้าย ใช้มือขวาชี้ไปที่ศพนั้นแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าติดค้างเงินค่าเหล้าถ้วยหนึ่งแทนเผ่าปีศาจ ศึกใหญ่ทางทิศใต้ครั้งต่อไป ใต้หล้าเปลี่ยวร้างต้องใช้คืนให้ข้าเฉินผิงอัน!”

เฉินผิงอันชูถ้วยเหล้าในมือขึ้นสูง กวาดตามองไปรอบด้าน พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “จอกเล็กถ้วยใหญ่เหล้าไม่กี่ตำลึง ดื่มเรื่องโสมมบนโลกให้หมดสิ้น! ว่าที่เซียนกระบี่ทุกท่าน ก่อนจะเดินทางไปยังทิศใต้ของหัวกำแพงเมือง มีใครยินดีร่วมดื่มกับข้าเฉินผิงอันบ้าง?!”

ลูกค้าทุกคนที่นั่งอยู่ รวมถึงผู้ฝึกกระบี่ที่นั่งอยู่กับพื้นเหล่านั้น มีคนลุกนำขึ้นมาก่อน ผู้คนจึงพากันลุกตาม

ลุกขึ้นพร้อมเหล้าเต็มถ้วย

เฉินผิงอันทอดสายตามองไปยังทิศไกล พูดเสียงก้องกังวานว่า “กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรา! เซียนกระบี่คนใดนึกแค้นที่สังหารศัตรูได้ไม่มากพอ ก็สามารถมาดื่มร่วมกันได้!”

ในวันนี้คนทั่วทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ เซียนกระบี่ที่ดื่มเหล้า มีมากเป็นพิเศษ