ตอนที่ 1156 ภายใต้ค่ายกลต้องห้ามมรรคราชัน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ฟู่

ลมหายใจของหลินสวินเปลี่ยนเป็นหอบถี่

ทุกครั้งที่หายใจก็เจ็บสะท้านถึงภายในเหมือนกับเป็นตะคริวอย่างไรอย่างนั้น ทำให้สีหน้าเขาซีดขาวยิ่งขึ้น

โชคดีอย่างเดียวก็คือ บาดแผลบริเวณหน้าอกฟื้นฟูดีดังเดิมแล้ว

ปึ้ก!

ใต้ชายคาบ้านหลังหนึ่งที่ห่างออกไป เงาร่างของผู้ฝึกปราณคนหนึ่งล้มลงกับพื้น สิ้นใจอย่างเงียบเชียบ

ไม่นานนักบนถนนอีกด้านหนึ่งปรากฏร่างเงาจำนวนหนึ่งกรูออกมา ทว่าพวกเขายังไม่ทันได้ลงมือต่างก็ล้มลงไปนอนกองกับพื้นทีละคน สิ้นชีพอยู่ตรงนั้น

ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ หลินสวินไม่เคยหยุดฝีเท้าเลย ถึงขั้นไม่ได้หันไปมองด้วยซ้ำ

เขารู้ว่าขอเพียงเสี่ยวอิ๋นยังอยู่ ต่อให้บุคคลขอบเขตมกุฎจู่โจมก็ไม่อาจทำอันตรายตนได้

ไม่นาน มุมถนนเปลี่ยวที่ห่างไกลก็ปรากฏบ้านหลังหนึ่ง

นั่นคือที่พักที่หลินสวินเคยซื้อไว้ก่อนหน้านี้

‘นายท่าน สถานการณ์ดูไม่ชอบมาพากลนัก!’ เสียงเตือนสื่อจิตของเสี่ยวอิ๋นดังขึ้น น้ำเสียงเคร่งขรึม

หลินสวินก็สังเกตได้อย่างฉับไวว่าในเวลานี้มีแสงเคลื่อนงดงามเป็นสายๆ พุ่งออกมา ประดุจกระแสน้ำไหลมาจากทั่วทิศ

เห็นชัดว่าพวกเขามาจากขุมอำนาจใหญ่ที่แตกต่างกัน รวมตัวเป็นกลุ่ม ดูเหิมหาญยิ่งนัก

เมื่อมองไปยังที่ห่างไกล ทั่วทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยเงาร่างผู้ฝึกปราณ หนาแน่นดุจฝูงตั๊กแตน ทำให้ผู้คนหวาดผวา

เสียงที่ได้ยินล้วนเป็นเสียงของแสงเคลื่อนทะลวงอากาศ ฟังดูน่าอกสั่นขวัญแขวน

เห็นได้ชัดว่าผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่แต่ละแห่งที่ปักหลักอยู่ในเมืองต่างรีบเร่งมาทันทีที่ได้รับข่าว หมายจะฉวยโอกาสนี้บุกสังหารหลินสวินในคราวเดียว!

‘เสี่ยวอิ๋น กลับมาเถอะ ต่อจากนี้ไม่ต้องลำบากเจ้าลงมือแล้ว’

นัยน์ตาของหลินสวินเยียบเย็น แฝงด้วยความเรียบเฉยอย่างที่สุด

‘นายท่าน…’

เสี่ยวอิ๋นตะลึงงัน

‘ทำไม เจ้ายังไม่เชื่อใจข้าอีกอย่างนั้นหรือ’

ขณะที่หลินสวินกำลังเอ่ยวาจา การกระทำกลับไม่ได้หยุดลงแม้แต่น้อย ร่างกายพริบไหวมาถึงหน้าบ้านของตน

ทว่าเวลานี้เสี่ยวอิ๋นกลับดื้อดึงนัก สีหน้าเด็ดเดี่ยวเอ่ยว่า ‘นายท่าน แม้สู้จนตัวตายข้าก็ไม่ขอถอยกลับ ขอให้ข้าต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านเถิด!’

หลินสวินอึ้งงันในใจ พลันยิ้มออกมาและไม่กล่าวมากความอีก

ครืน!

ห้วงอากาศร้อนเร่า เปลวเพลิงสีทองโหมซัด เหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองปรากฏกายแล้ว ร่อนลงบนพื้นดิน สายตาจับจ้องหลินสวินเป็นอันดับแรก จ้องมองราวกับกำลังมองดูคนตายอย่างไรอย่างนั้น

“สหายยุทธ์เผ่าอีกาทองทุกท่าน สามารถปล่อยเจ้านี่ให้เขาวิญญาณหมื่นอสูรของพวกเราจัดการได้หรือไม่!”

ขณะเดียวกันหลูชวนแห่งเขาวิญญาณหมื่นอสูรก็พาผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งมาด้วย ท่าทีเด็ดเดี่ยวน่าเกรงขาม ปิดล้อมไว้ด้านหนึ่ง

“ไม่ได้ เทพมารหลินนี่จะต้องให้พวกเราชาวสำนักยุทธ์นครนิลเป็นคนจัดการ!”

“ทุกท่าน เทพมารหลินมีความแค้นฝังแน่นกับเผ่าของข้า หากปล่อยให้พวกเราจัดการ เผ่าวิญญาณสมุทรของข้าจะซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง”

“เหอะ เจ้านี่เป็นคนสังหารผู้สืบทอดลัทธิบูชาจันทร์ของเราในหุบเขาผลาญสวรรค์ ขอเตือนทุกท่านอย่าได้ยื่นมือเข้ามาสอด เทพมารหลินคนนี้พวกเราจะเป็นคนจัดการเอง!”

เสียงตะโกนร้องดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน

สิ้นเสียง เหล่าผู้แข็งแกร่งจากแต่ละขุมอำนาจต่างทยอยปรากฏกายออกมายังพื้นที่นี้ พร้อมล้อมปิดตายบ้านพักของหลินสวิน

ท่าทีของพวกเขาดูฮึกเหิม เผยไอสังหารออกมาให้เห็นอย่างหมดสิ้น ทำให้กลางอากาศแห่งนี้คละคลุ้งไปด้วยไอสังหารที่สะกดผู้คนเอาไว้

นัยน์ตาของหลินสวินเยียบเย็น จ้องมองนิ่งๆ กำลังจดจำชื่อของสำนักต่างๆ ที่ปรากฏตัวขึ้นไว้ในใจ

ห่างออกไปไกลยังมีผู้ฝึกปราณมากมายยืนชมอยู่

เมื่อมองเห็นภาพเช่นนี้ ก็อดหนาวสะท้านไปทั้งร่างไม่ได้ สถานการณ์ของเทพมารหลินในขณะนี้กล่าวได้ว่าถูกศัตรูรายล้อม รับการโจมตีจากทั่วทิศ!

เขาที่กำลังบาดเจ็บเจียนตายเรียกได้ว่าภยันตรายมีมากกว่าโชคเป็นแน่!

ทว่าสิ่งที่ทำให้คนใจสั่นที่สุดก็คือท่าทีของขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ที่กำลังโต้เถียงกันอย่างไม่ลดราวาศอก เห็นได้ชัดว่าหลินสวินกลายเป็นเหยื่ออันโอชะในสายตาของพวกเขา ที่ตอนนี้ยังไม่ได้ลงมือ ก็เพราะกำลังแย่งชิงสิทธิ์ครอบครองกันอยู่!

นี่ทำให้หลินสวินดูน่าเศร้าเป็นอย่างมาก

เขาก่อนหน้านี้เหิมหาญขนาดไหน พลานุภาพสะเทือนใต้หล้า กวาดสายตาไปทั่วทิศในแดนเผาเซียน แทบไม่มีผู้ใดอาจหาญต่อกรกับเขา

ทว่าเวลาเคลื่อนคล้อยไปกว่าครึ่งปี ผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งกลายเป็นราชัน กระโดดพ้นห้าระดับใหญ่ เหยียบย่างในยอดเขาที่สูงยิ่งกว่าแล้ว

ส่วนเทพมารหลิน ต่อให้จะเย้ยฟ้าอีกแค่ไหน กระนั้นจะสามารถเป็นคู่ประมือกับผู้แข็งแกร่งระดับราชันได้อย่างไร

ดังคาด เมื่อเขาปรากฏตัวก็ถูกผู้แข็งแกร่งระดับราชันจู่โจมทันทีจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ต่อให้รอดก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส

มาบัดนี้ยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์อับจนเช่นนี้ ถูกคนดูแคลนว่าเป็นเหยื่อ นี่ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าหรือ

ขณะนี้ไม่รู้มีผู้ที่กำลังชมการต่อสู้มากน้อยเท่าไรทอดถอนใจ พยัคฆ์ลำบากในที่ราบถูกสุนัขรังแก นี่เป็นคำอธิบายเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้าได้เป็นอย่างดี

“หยุดพูดจาเหลวไหล เทพมารหลินผู้นี้พวกเราจะสังหารเอง!”

ภายในลาน ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองสีหน้าอึมครึม ไม่ยอมคุมเชิงกับขุมอำนาจอื่น ชิงลงมือโดยตรง

โครม!

เปลวเพลิงสีทองเต็มฟ้าโฉบออกมา เจิดจ้าพร่าตาแผดเผาห้วงอากาศ นี่คือชายชุดทองคนหนึ่ง ทรงพลานุภาพและเผด็จการยิ่ง

“บังอาจ!”

“ถอยไป!”

ขุมอำนาจอื่นๆ ย่อมไม่พอใจ และแทบจะลงมือโจมตีใส่หลินสวินพร้อมกัน

ชั่วขณะเดียวบริเวณนี้ล้วนถูกแสงสมบัติพร่างพรายและวิชามากมายปกคลุม เสมือนใต้หล้าจมสู่ความเศร้าสลด เมฆลมเปลี่ยนสี

น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง!

ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ไกลออกไปต่างตกใจจนลมหายใจสะดุด ตกตะลึงอย่างยิ่ง

ภายใต้การปิดล้อมเช่นนี้ เทพมารหลินจะหลบหนีได้อย่างไร

ผู้ฝึกปราณไม่น้อยที่นับถือหลินสวินก็ล้วนแต่ทำใจดูต่อไปไม่ไหว ภายในใจเกิดความทุกข์โศกและเวทนาหลินสวิน

ทว่าทันใดนั้นการเปลี่ยนแปลงผิดวิสัยก็บังเกิดขึ้น…

บ้านที่หลินสวินพำนักอยู่ปรากฏระลอกคลื่นต้องห้ามโหมกระหน่ำราวกับผืนสมุทรกว้าง กระบวนค่ายกลสลักวิญญาณไหวกะพริบ ทำให้การจู่โจมและแสงสมบัติเต็มฟ้าห่างไปสิ้น

วู้ม

ค่ายกลใหญ่ส่องประกาย ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึง

เมื่อมองไปที่ลานอีกครั้ง ก็ไร้เงาร่างของหลินสวินนานแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาหลบซ่อนอยู่ในค่ายกลใหญ่!

“สมควรตาย!”

“ที่นี่มีค่ายกลต้องห้ามเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรกัน”

ภายในลานผู้ฝึกปราณจากขุมอำนาจใหญ่ล้วนแต่ตกตะลึง ให้หลังสีหน้าพลันบึ้งตึง โกรธจนหน้าเขียว

นี่เป็นสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง

ทางด้านผู้ฝึกปราณที่ชมการต่อสู้อยู่ไกลออกไปต่างก็ตกตะลึงเสียจนอ้าปากค้างไปตามๆ กัน

“เห็นได้ชัดว่าเทพมารหลินเตรียมค่ายกลต้องห้ามนี้ไว้แต่แรก ตอนแรกที่เขาทำเช่นนี้ เกรงว่าก็เพื่อป้องกันเรื่องที่จะเกิดขึ้นในวันนี้!”

มีคนตื่นตะลึง ชื่นชมการเตรียมพร้อมล่วงหน้าของหลินสวิน

ตูม!

มีบางคนไม่จำยอม เรียกสมบัติออกมาชิ้นหนึ่งแล้วโจมตีใส่บ้านหลังนั้น

ทว่าสมบัติชิ้นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการโยนหินลงในมหาสมุทร เพียงระลอกคลื่นซัดสาดเข้ามาก็อันตรธานลับไป

ไม่เพียงไม่อาจทลายค่ายกลลงได้ มิหนำซ้ำยังเสียสมบัติไปอีก!

นี่ทำให้คนที่ลงมือผู้นั้นโมโหจนแทบจะกระอักเลือด

“ให้ข้าจัดการเอง!”

ผู้แข็งแกร่งจากเผ่าอีกาทองคนหนึ่งตะคอกงขึ้นมา ตีปีกสีทองอร่ามซัดเปลวไฟเป็นระลอกเข้าไปราวกระแสน้ำ ไหลพุ่งไปยังบ้านพักหลังนั้น

ทว่ากลับไม่เป็นผลเช่นเดิม!

กลับกันยิ่งเป็นเหตุให้เผาผลาญพลังมากเกินไป จนทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนนั้นต้องหอบแฮ่กไม่หยุด

ผู้แข็งแกร่งจากขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลายในที่นั้นต่างมีสีหน้าไม่น่าดู

เทพมารหลินในสมัยก่อนก็สามารถทำให้ใครต่อใครหวาดกลัวแล้ว ทว่าเขาในขณะนี้ทั้งที่บาดเจ็บสาหัสเจียนตาย แต่ดันหนีเข้าไปอยู่ในค่ายกลต้องห้ามเสียนี่!

แล้วจะสู้อย่างไรดี

“ให้ข้าลองเอง!”

ผู้แข็งแกร่งจากเขาวิญญาณหมื่นอสูรคนหนึ่งเคลื่อนไหว นัยน์ตาคู่นั้นของเขาพลันเปลี่ยนเป็นสีเงินอ่อนแปลกประหลาด ปลดปล่อยลำแสงสีเงินสองสายทะลวงเข้าค่ายกลต้องห้าม

ครู่หนึ่งหลังจากนั้นผู้แข็งแกร่งคนนี้กลับมีสีหน้าอึมครึม กัดฟันกรอดกล่าวว่า “นี่คือกระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชันของเผ่าหงส์เขียว พลานุภาพมากพอจะขังสังหารราชันได้ ไม่ใช่ของที่ถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย!”

หลังสิ้นเสียงผู้คนในลานล้วนแต่มีสีหน้าคร่ำเคร่ง อารมณ์ความรู้สึกผิดแปลก กระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชัน! ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าหลินสวินยังมีวิชาเช่นนี้

“น่าชังนัก!”

มีคนโกรธจนอดตะโกนออกไปไม่ได้

โอกาสทองครั้งเดียวในการบุกสังหารหลินสวิน แต่ช้าไปเพียงก้าวเดียวสถานการณ์กลับพลิกผันไปเช่นนี้ ใครเล่าจะไม่อัดอั้น

“ไม่ใช่ว่าพลังที่อยู่ในเมืองสามารถยับยั้งพลังระดับราชันได้หรือ”

มีคนเอ่ยถามขึ้นมา

“นี่คือกระบวนผนึกมรรคราชัน เป็นค่ายกล! มันคนละเรื่องกับการครอบครองพลังระดับราชัน เข้าใจหรือไม่!”

มีคนแย้งกลับไป

“หยุดโต้เถียงได้แล้ว จะไปสนใจค่ายกลพรรค์นั้นทำไมกัน ขอแค่โจมตีไปเรื่อยๆ ก็จะสามารถเผาผลาญพลังของมันให้หมดสิ้นลงได้! ถึงตอนนั้นก็คือเวลาทลายค่ายกล!”

ผู้แข็งแกร่งแห่งเผ่าอีกาทองตะโกนขึ้นมา ทำให้ผู้อื่นในลานต่างเงียบเสียงลง

นี่อาจเป็นวิธีที่สุดแสนโง่เขลา ทว่ากลับเป็นทางเดียวที่มีอยู่ในขณะนี้แล้ว

“นอกจากนี้ ไปเชิญนักสลักวิญญาณส่วนหนึ่งมาเร่งศึกษาความลี้ลับของค่ายกลนี้ซะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะทลายมันไม่ได้!”

เพียงชั่วครู่ขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลายต่างเริ่มเคลื่อนไหว

ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจกล้าถ่วงเวลา ด้วยเหตุที่ยิ่งล่าช้าไปนานเท่าใด ยิ่งเป็นการให้เวลาเทพมารหลินฟื้นฟูพลังมากยิ่งขึ้น

หากให้เขาฟื้นฟูพลังจนถึงระดับสูงสุดแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาแค่คิดก็พาให้คนหนาวสะท้านแล้ว!

ควรรู้ว่าผู้แข็งแกร่งระดับราชันไม่อาจเข้ามาในเมืองได้ นี่ย่อมหมายความว่าที่พึ่งซึ่งทรงอานุภาพที่สุดของแต่ละขุมอำนาจถูกสยบสิ้น

เทพมารหลินที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์สูงสุด ใครเล่าจะอาจหาญเข้าขัดขวาง

“เร็วเข้า โจมตีไปเต็มกำลัง!”

ชั่วครู่หนึ่งที่แห่งนั้นบังเกิดเสียงโครมครามไม่หยุดหย่อน ผู้ฝึกปราณหลายคนพากันสำแดงพลังอย่างสุดความสามารถ โจมตีใส่กระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชันเพื่อให้พลังของค่ายกลสลายไป

เมื่อมีผู้ฝึกปราณที่เค้นพลังจนหมดสิ้นจนเกือบจะยืนหยันไว้ไม่อยู่ ก็จะมีคนอื่นเข้ามาแทนที่ ดำเนินล้อมโจมตีอย่างต่อเนื่อง

โครมครืน!

ฟ้าดินแถบนี้บังเกิดเสียงดังครั่นครืน แสงประกายเรืองรองราวกับระดมจุดพลุก็ไม่ปาน พวยพุ่งและปะทุออกมาดารดาษจนสว่างพร่างพรายอย่างต่อเนื่อง

พร้อมกันนี้ก็มีนักสลักวิญญาณกลุ่มหนึ่งถูกเชิญมา ใช้สารพัดวิธีอนุมานและทลายความลี้ลับของกระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชัน

ที่แห่งนี้คึกคักยิ่ง

พลังของขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลายยังมารวมตัวกันที่นี่อย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าหมายมั่นปั้นมือจะสังหารให้จงได้ จึงทุ่มเททุกอย่างในการกำจัดหลินสวิน

และทั่วทั้งเมืองโบราณเผาเซียนแห่งนี้จึงตกสู่ความโกลาหลและเดือดปะทุเพราะเหตุนี้ ผู้ฝึกปราณจำนวนไม่น้อยที่ได้ยินข่าวต่างเดินทางมาชมการต่อสู้ที่นี่

ชั่วขณะหนึ่งบ้านพักที่หลินสวินอาศัยอยู่ดูเหมือนจะกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน และทุกขุมอำนาจต่างให้ความสำคัญทั้งสิ้น!

หลินสวินจะสามารถหนีพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้หรือไม่

และเหล่าขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลาย จะสามารถทลายกระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชันได้หรือไม่

นี่คือสิ่งที่ทุกคนล้วนให้ความสนใจที่สุด!

เพียงแต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับหลินสวินแล้ว หลังจากก้าวเข้าที่พัก เขาก็เริ่มกระตุ้นกระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชันให้โคจรเต็มกำลัง

เขานำแกนวิญญาณทั้งหมดของตนออกมาเป็นแหล่งพลังของกระบวนค่ายกลนี้ พร้อมกับมอบหมายให้เสี่ยวอิ๋นทำหน้าที่เฝ้ายาม คอยจับตาดูสถานการณ์

ส่วนตัวเขาเริ่มนั่งสมาธิฟื้นฟูบาดแผล ไม่เคยล่าช้าหรือปล่อยเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์แม้แต่น้อย

ข้างกายเขาจัดวางไผ่อสนีหมื่นเคราะห์ของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ น้ำค้างหยกลมทองของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ น้ำยาควบรวมจิตของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ลูกกลอนเจ็ดช่องดาราของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ น้ำแร่อมฤตของแดนพิสุทธิ์อมตะ แร่กระดูกหยกหลากสีของสำนักยุทธ์สมุทรคราม…

แม้แต่โอสถราชันเป็นมัดๆ ก็ยังมี

ครั้งนี้หลินสวินไม่มัวเสียดาย ปรารถนาเพียงฟื้นฟูแผลมรรคให้หายโดยเร็วที่สุด

เมื่อถึงเวลานั้น ย่อมเป็นเวลาแห่งการโต้กลับ!

…………………