นักพรตซือหยวนและอันหลินไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่เห็นได้ชัดว่าสนับสนุนราชันแห่งหลิงไห่
หู้ซานสือเอ้อร์ถอนหายใจ ก่อนเอ่ย “มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสังหาร…แต่อย่างไรก็มีความจำเป็นต้องสังหาร”
ถังซานสือลิ่ว มองไปยังเฉินฉางเซิง
เขาไม่ได้มีความคิดเห็นใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เหลือเพียงเฉินฉางเซิงนั้นจะคิดอย่างไร
เฉินฉางเซิงเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะพยักหน้า
เรื่องนี้ได้ตัดสินใจแล้ว
ตอนนี้อาศัยเพียงคนที่อยู่ในอารามเต๋าเหล่านี้ อาจจะไร้หนทางสังหารมู่ฮูหยิน แต่มู่ฮูหยินต้องตายเท่านั้น และต้องมีสักวันที่ต้องตายแน่
เนื่องจากนี่เป็นปณิธานของพระราชวังหลี และก็เป็นปณิธานของเผ่ามนุษย์เช่นกัน
เฉินฉางเซิงเคยเอ่ยกับลั่วลั่ว เพื่อการตายของเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้ เผ่าปีศาจต้องจ่ายในราคาที่สูงมาก
ในตอนนั้นเขาไม่ได้เอ่ยชัดเจน แต่ลั่วลั่วรู้เจตนาเขาดี นั่นก็คือการตายของมู่ฮูหยิน
ไม่มีผู้ใดยินดีตาย ยิ่งนักปราชญ์ด้วยแล้ว ต่อให้นางคือหญิงราศีกุมภ์อย่างที่ราชามารว่าก็ตาม โลกแห่งจิตวิญญาณช่างแตกต่างกันยิ่งนัก
ดังนั้นเฉินฉางเซิงจึงคิดไม่ตก เหตุใดคืนนั้นเมื่อสี่วันก่อน มู่ฮูหยินจู่ๆ ก็ยั้งมือเอาไว้ไม่ได้สังหารตนเสีย
พลังที่ราวกับคลื่นใต้น้ำแทรกซึมเข้าสู่ถนนในเมืองไป๋ตี้ สั่นสะเทือนเสียจนชนเผ่าที่อยู่สองฟากฝั่งแม่น้ำแดงตกตะลึง หากมิได้มาจากเมืองไป๋ตี้ อย่างนั้นมันจะมาจากที่ใดเล่า
เฉินฉางเซิงมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนภายนอกอาราม ราวกับครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
พายุหิมะหยุดตั้งนานแล้ว บนท้องฟ้ายามค่ำคืนไร้ซึ่งเมฆา สามารถมองเห็นกลุ่มดาวมากมายได้อย่างชัดเจน
บรรพตลูกนั้นที่อยู่ทางทิศเหนือซึ่งถูกดวงดาวสาดประกายส่องเฉกเช่นเดียวกัน ยามนี้จะมีหิมะตกหรือไม่
ต่อให้หิมะไม่ตก แต่น้ำแข็งหิมะที่ทับถมกันอยู่อย่างนั้นก็เพียงพอให้เหน็บหนาวได้ทีเดียว
เทือกเขาแห่งนั้นเหตุใดจึงถูกเรียกว่าเทือกเขาลั่วซิง (ดาวตก) กัน
หลายหมื่นปีก่อน นับตั้งแต่ที่คัมภีร์สวรรค์ตกลงสู่พื้นที่ห่างไกลทะเลและแผ่นดินใหญ่ กระแสเพลิงก็หลั่งไหลไปทั่วทุกหนแห่ง ในเทือกเขาที่หนาวเย็นต่างพบเห็นได้ทั่ว ที่นี่ก็ด้วยหรือ
หากขุดดูเทือกเขาลั่วซิง จะสามารถมองเห็นซากเศษของดวงดาวหรือความว่างเปล่ากันหนอ
……
……
ภายในสิ่งปลูกสร้างบางหลังที่อยู่ในส่วนลึกของเขตพระราชฐาน มีรูปสลักที่ขึ้นรูปด้วยเส้นด้ายสีทองซึ่งได้รับมาจากเมืองเสวี่ยเหล่า
มู่ฮูหยินมองไปที่มันอย่างเงียบเชียบ สีหน้าของนางสงบนิ่ง ราวกับไม่ได้สนใจเลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในพายุหิมะวันนี้ อาจจะพูดได้ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นี่คือผลงานศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุดของท่านเจียสั่วอาจารย์ของข้าเมื่อสี่ร้อยปีก่อน”
ราชามารเดินออกมาจากด้านในของตำหนัก เขาเอ่ยขึ้นมาว่า “คาดไม่ถึงเลยว่าที่แท้มันจะอยู่ในมือของท่านนี้เอง”
“ถือว่าเป็นศิลปะล้ำเลิศจริงๆ น่าเสียดายที่ในเมืองแห่งนี้มีเพียงไม่กี่คนสามารถดื่มด่ำและชื่นชมมันไปพร้อมกับข้าได้”
มู่ฮูหยินละสายตาจากเส้นด้ายอันซับซ้อนในรูปแกะสลักที่ดูเหมือนจะมีความงดงามของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่ไม่มีวันสิ้นสุด นางมองไปยังราชามารก่อนเอ่ยขึ้นมาว่า “ใต้เท้าดูเหมือนจะไม่มีความสนใจในเรื่องนี้”
ราชามารยิ้มก่อนถามออกมาว่า “ท่านอยากเอ่ยอันใดรึ”
มู่ฮูหยินเอ่ยตอบด้วยสีหน้าสงบนิ่งว่า “เหตุใดวันนี้ฝ่าบาทไม่ลงมือ”
ราชามารเอ่ยตอบ “ข้าไม่คิดว่าเฉินฉางเซิงจะกลัวตายถึงเพียงนี้ เขาถึงกลับย้ายพระราชวังหลีทั้งหมดมาไว้ยังที่นี่”
มู่ฮูหยินเอ่ยตอบอย่างเฉยเมยว่า “ฝ่าบาทสูญเสียความเชื่อมั่นไปด้วยเหตุผลนี้นะหรือ”
ราชามารมองไปยังนางเงียบๆ ก่อนเอ่ยว่า “ที่หอทัศนะหลายวันก่อน เจ้าห้ามไม่ให้ข้าลงมือ เหตุใดวันนี้จะมาขอร้องข้า”
เสียงของมู่ฮูหยินเบาลง น้ำเสียงนางดูเบื่อหน่ายคล้ายกับทะเลตะวันตกยามไร้ลมพัด “ครั้งนี้คือครั้งนี้ ครั้งนั้นก็คือครั้งนั้น”
แววตาของราชามารจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นลึกล้ำ ก่อนเอ่ย “สี่วันก่อน เจ้าก็ไม่ได้ลงมือ แล้วครั้งนั้นคือเมื่อไหร่กัน”
พวกเขาล้วนแต่อยากให้เฉินฉางเซิงตาย สุดท้ายแล้วคำถามก็คือใครจะเป็นผู้ลงมือก่อนนั่นเอง
เฉินฉางเซิงนั้นยากสังหาร ระดับขั้นของเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าข่าวลือ แล้วตอนนี้สิ่งยุ่งยากมากกว่าก็คือ เขาได้ย้ายพระราชวังหลีทั้งหมดมาไว้แล้วยังที่นี่
หากมองตามระดับขั้นของผู้ยิ่งใหญ่สำนักฝึกหลวงเหล่านั้น ประกอบกับอาวุธล้ำค่าที่พวกเขานำติดตัวมาด้วย ต่อให้เป็นมู่ฮูหยินเองก็คงรู้สึกว่ายากจัดการ
คราแรกในพระราชวังหลี นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงโอกาสในการสังหารที่เกิดขึ้นจากกฎเกณฑ์ของฟ้าดิน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าบรรดาผู้ยิ่งใหญ่เผ่าปีศาจที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และผู้คนทั่วไปที่ยืนอยู่เคียงข้างเฉินฉางเซิงในเมืองไป๋ตี้ยามนี้
ในท้องฟ้ายามค่ำคืนนี้ไม่มีแม้แต่เมฆ ดวงดาวเด่นชัดหาใดเปรียบ ลมที่พัดมาจากทางทะเลก็ไม่ได้สิ่งใดกีดกั้น พวกมันเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง
ลมทะเลพัดผ่านระหว่างวิหารศิลาต่างๆ สุดท้ายพัดมาอยู่เบื้องหน้านาง
มู่ฮูหยินได้กลิ่นความเค็มของลมทะเล ยังมีความรู้สึกอับชื้นอันแสนจะคุ้นเคย แต่นางไม่ได้คิดถึงแต่อย่างใด
ลมทะเลมักจะทำให้สิ่งมีชีวิตที่ดูมีชีวิตชีวาใกล้เป็นปลาเค็มไร้วิญญาณได้โดยง่าย และความชื้นในอากาศนั้นก็ง่ายที่จะทำให้คนรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ นั่นยังนำมาซึ่งความกดดันมากมายอีกด้วย
แววตาของนางดูอ่อนล้ายิ่งนัก นางเอ่ย “อย่างนั้นก็รอไปอีกสักหน่อยเถิด”
“ท่านกำลังรอสิ่งใดกันแน่”
ราชามารมองไปที่นางพลางเลิกคิ้วเล็กน้อยถามขึ้น “รอให้พวกเขาขุดภูเขาลูกนั้นเสียก่อน เพื่อดูว่าท่านผู้นั้นตายหรือยังรึ”
เมื่อมองเห็นความจงรักภักดีของคนชุดดำและผู้คุมกฎเผ่ามาร สามารถกดดันจนทำให้บิดาผู้ยิ่งใหญ่ของตนตกลงสู่เหวลึก ได้รับความเคารพสูงสุดจากที่ราบสูงหิมะในดินแดนเผ่ามารภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี เขาที่ยังวัยรุ่นอยู่แน่นอนว่าต้องไม่ขาดสติเป็นแน่ แต่ไหนตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าตนนั้นไม่เข้าใจมู่ฮูหยินเข้าไปทุกทีว่านางกำลังคิดเรื่องใดกันอยู่
มู่ฮูหยินเอ่ยขึ้นเสียงเนือยๆ ว่า “เวลานี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการจะเห็นอะไรกันแน่”
ราชามารจ้องเข้าไปในดวงตาของนางแล้วเอ่ย “หรือว่าในยามนี้เรื่องที่เจ้าควรทำไม่ช่การขัดขวางพวกเขา”
มู่ฮูหยินกล่าวว่า “ทำไมรึ”
จู่ๆ ราชามารก็รู้สึกว่าตนทำเรื่องที่ผิดพลาดลงไปแล้ว
บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดสามารถควบคุม หรือแม้แต่กระทั่งเข้าใจในตัวผู้หญิงที่เกิดราศีกุมภ์ได้
มู่ฮูหยินไม่รู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด มองไปทางทิศเหนือด้วยสีหน้าเงียบสงบ
นางไม่รู้จริงๆ ว่าตนนั้นต้องการรอคำตอบแบบใดกันแน่ แต่สิ่งที่นางแน่ชัดก็คือตนนั้นต้องการรอคำตอบอย่างหนึ่งแน่นอน
ไม่ว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว
……
……
ก่อนหน้าจะไปเทือกเขาลั่วซิง เฉินฉางเซิงเคยคิด ตราบใดที่มันยังมีคำตอบอย่างนั้นมันก็คงไม่ดีแน่
หลังจากนั้นเขาก็มองเห็นหน้าผาสีดำผืนนั้น ค่ายกลที่ยากจะกำจัด มองไม่เห็นคำตอบ แล้วก็ไม่มีความจริงเช่นกัน แต่นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
แต่สุดท้ายแล้วความจริงก็มีเพียงเรื่องเดียว จะช้าหรือเร็วคำตอบก็ต้องถูกเปิดเผยออกมาเป็นแน่ และเขาก็พอจะคาดเดาได้แล้ว
สิ่งนี้ทำให้สภาพจิตใจเขาค่อนข้างย่ำแย่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงลั่วลั่วที่รอคอยเขาอยู่ในเขตพระราชฐานด้วยความคาดหวังว่าเขาจะสามารถช่วยเหลือจักรพรรดิขาวออกมาได้
เฉินฉางเซิงนั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าหน้าผาสีดำ ฝักกระบี่พาดอยู่บนหน้าขาของเขา
วันนี้เขาไม่ได้หลับตาทำสมาธิ แต่มองไปยังหน้าผาสีดำที่อยู่ตรงหน้าอย่างเงียบๆ ราวกับจะมองมันให้ทะลุปรุโปร่งก็มิปาน
กระบี่ลือชื่อในยุคก่อนหลายร้อยเล่มที่มาจากสวนโจว ใช้ร่างกายของเขาเป็นจุดตั้งต้น พวกมันเอาแต่ฟาดฟันหน้าผาสีดำไม่หยุดหย่อน แต่พวกเขาไม่ได้ฟาดฟันไปยังพละกำลังที่แท้จริงของหน้าผาสีดำโดยตรง แต่กลับขัดเกลาอยู่ในจุดที่ใกล้ จุดที่ไกล บนทะเลสาบ บนยอดเขา และค่ายกลกักกันที่ไร้รูปร่างนั่น ก็ราวกับหลายวันก่อนนั้นเช่นกัน
รูปแบบค่ายกลกักกันที่มีต้นกำเนิดเหมือนกับพระราชวังถงยามนี้อ่อนแรงลงไปมาก ไม่ได้มีอานุภาพรุนแรงเหมือนในตอนแรกแล้ว
ตรงกันข้ามเลย อานุภาพของหมู่มวลกระบี่นั้นแน่นอนว่าก็ยิ่งไม่ธรรมดาขึ้นไปอีก หากอิงจากตำแหน่งของแต่ละกระบี่ที่ก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีแล้ว พวกมันบดขยี้ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ แต่ไม่หยุดยั้ง
ภายในเทือกเขาลั่วซิง ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยเจตจำนงกระบี่อันน่ากลัว มองไปยังทิศทางใดก็ล้วนเห็นแสงกระบี่ที่แสบตาสว่างไสวได้
ในปีนั้นนักพรตซือหยวนเคยไปเขาหลีซาน และก็ได้มองเห็นภาพฉากนี้ เขาอดนึกถึงการก่อตัวของค่ายกลปกป้องบรรพตจากหมื่นกระบี่ที่ลือชื่อเหล่านั้นไม่ได้
นอกจากนักพรตซือหยวน ราชันหลิงไห่ และผู้อาวุโสจากสำนักฝึกหลวงแล้ว ยังมีคนห้าเหล่าที่มาจากเมืองเวิ่นสุ่ยอีกด้วย ล้วนคอยปกป้องอยู่ข้างเฉินฉางเซิง
เผ่าสยง เผ่าชื่อ และเผ่าใหญ่ๆ อีกหลายเผ่าล้วนส่งนักรบที่แข็งแกร่งที่สุด กล้าหาญที่สุด คอยควบคุมหน้าผาสีดำทั้งสี่ด้านเอาไว้
บริเวณรอบเทือกเขาหลายลี้ รวบรวมไว้ซึ่งผู้แข็งแกร่งจากเผ่าปีศาจกว่าร้อยตน มียอดฝีมือระดับเดียวกันกับจินอวี้ลวี่และเสี่ยวเต๋อล้วนสิบกว่าคน
อีกด้านที่อยู่ไกลออกไปของทะเลสาบ เกิดฝุ่นตลบอบอวล เกิดเสียงคำรามของปีศาจอสูรตะโกนมาอยู่ด้วยเรื่อยๆ มันน่าจะเป็นสัญญาณว่ากองทัพของทุกเผ่าล้วนแล้วแต่ควบคุมเทือกเขาทั้งหมดเอาไว้ได้แล้ว
สถานการณ์เลยมาจนถึงตอนนี้ มีความชัดเจนมากแล้ว ไม่ว่าขุนนางระดับสูงในราชสำนักปีศาจ นายพลต่างๆ ทั้งยังหัวหน้าเผ่าต่างๆ จะเชื่อหรือไม่เชื่อ
อีกไม่นานความจริงก็จะปรากฏตรงหน้าพวกเขา