ตอนที่ 2,470: เสวียนอวิ๋นเจินเหริน!
“ต้วนหลิงเทียน…ร้ายกาจถึงขนาดนั้นเลยหรือ!?”
ซูหลี่มองไปยังร่างในชุดม่วงไกลตาด้วยสีหน้าตกใจทั้งเหลือเชื่อ ขณะเดียวกันแววตายังฉายชัดออกมาถึงสีสันแห่งความทึ่งและคาดไม่ถึง
หากแต่ไม่นานสีหน้าตกใจทั้งเหนือคาดก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน
‘ไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ…เจอเจ้านั่นทีไร ก็มีแต่เรื่องให้ประหลาดใจได้ตลอด ที่สำคัญตอนนี้กระทั่งภรรยามันยังร้ายกาจถึงขนาดนั้น…เรื่องที่มันจะแข็งแกร่งเหนือจินตนาการก็ไม่ถือว่าแปลกอะไรล่ะนะ…’
พอย้อนนึกไปในอดีตว่าแต่ก่อนต้วนหลิงเทียนมักสร้างความประหลาดใจอยู่ร่ำไป รวมถึงได้เห็นพลังฝีมือของเค่อเอ๋อ ซูหลี่ก็รู้สึกว่าเรื่องราวสมควรเป็นแบบนี้แล้ว กระทั่งยังบังเกิดความยินดีจากใจ
“นังหนูหยวนเจี๋ย…สหายอาวุโสซูหลี่ ไฉนแลดูตั้งแง่กับเจ้าเล็กน้อยเล่า?”
ในฐานะเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ ไหนเลยสายตาชายชราจะธรรมดาเหมือนดั่งผู้อื่น ไม่นานก็ย่อมมองเห็นถึงความไม่ลงรอยเล็กๆระหว่างชายหนุ่มชุดม่วงไกลตากับเริ่นหยวนเจี๋ยได้ไม่ยาก
“เอ่อ…มันคงคิดว่าซูหลี่ยังเป็นทาสกระบี่ของข้าอยู่แน่ๆ”
เริ่นหยวนเจี๋ยเองที่เห็นสายตาเอาเรื่องของชายหนุ่มชุดม่วงที่มองมาแต่ไกล ก็รู้สึกหนาวๆร้อนๆขึ้นมาแต่แรก
“หากเข้าใจผิดเรื่องนี้ต่อไป ก็นับว่าใหญ่หลวงมิน้อย…”
ชายชราคลี่ยิ้มเล็กน้อยค่อยหันไปมองกล่าวกับซูหลี่ว่า “อาวุโสซูหลี่หากท่านมิรังเกียจที่จักแนะนำสหายให้พวกเรารู้จัก ข้าเองก็คิดอยากเป็นฝ่ายไปทำความรู้จักครึ่งก้าวเซียนอมตะที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่เคยพบพานดู”
ฟังจากวาจาของชายชราเห็นได้ชัดว่ามันคิดผูกมิตรกับต้วนหลิงเทียน
“เป็นธรรมดาว่าอาวุโสซูหลี่ท่านมั่นใจได้…หลังได้ทำคามรู้จักกับสหายท่านแล้ว ข้ากับนังหนูหยวนเจี๋ยจักให้เวลาสหายเก่าได้พบปะสนทนากันจนเบื่อ โดยไม่คิดรบกวนแต่อย่างใด”
ชายชราเร่งกล่าวเสริมออกมา ด้วยกลัวซูหลี่เข้าใจผิดว่าพวกมันคิดไปร่วมวงการพบปะของสหายเก่าอะไรแบบนั้น
“ข้าย่อมไม่รังเกียจ”
ซูหลี่ส่ายหน้าไปมา จากนั้นก็เหินร่างนำเริ่นหยวนเจี๋ยและชายชราชุดเทาไปหาต้วนหลิงเทียนทันที พริบตาทั้ง 3 ก็บรรลุถึงงเบื้องหน้ากลุ่มต้วนหลิงเทียน
‘หืม?’
ต้วนหลิงเทียนที่รออยู่ ตอนแรกก็คิดว่าซูหลี่จะมาคนเดียว แต่ไม่คิดว่าจะพาอีก 2 คนมาด้วย
หนึ่งในนั้นยังเป็นคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้าอีกด้วย
ในสายตาของต้วนหลิงเทียน
เริ่นหยวนเจี๋ยนั้นเป็นพวกตีชิงตามไฟ…
เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะอคติแบบนี้ เพราะอย่างไรซูหลี่ก็เป็นเพื่อนแท้ของเขา
แต่เริ่นหยวนเจี๋ยผู้นั้นกลับตีชิงตามไฟ ฉวยโอการตอนซูหลี่ถูกจิตมารครอบงำ จึงเลือกขจัดจิตมารให้ซูหลี่แลกกับอิสรภาพซูหลี่ถึง 100 ปี
หากเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเพื่อนแท้ของเขาอย่างซูหลี่ เขาคงคิดว่ามันเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมและยุติธรรม
แต่เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวมันเกิดกับเพื่อนเขา แน่นอนว่าเขาย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา!
“ซูหลี่ เจ้าพานางมาทำอะไร?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วกล่าวถาม พลางมองจ้องไปยังเริ่นหยวนเจี๋ยตาขวาง
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าใจเย็นก่อน…ตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นทาสกระบี่นางอีกแล้ว ดังนั้นเจ้าไม่ต้องมองขู่นางขนาดนั้นหรอก…”
ซูหลี่กล่าวพลางหัวเราะออกมา
อย่างไรก็ตามแม้ปากจะพูดไปแบบนั้น แต่พอเห็นสหายเป็นเดือดเป็นร้อนแทน มันก็ยังรู้สึกซาบซึ้งในใจอยู่ไม่น้อย
เพราะสุดท้ายแล้วเรื่องระหว่างมันกับเริ่นหยวนเจี๋ย หากเอาไปเล่าให้ใครฟัง คนอื่นก็คิดว่ามันเป็นข้อตกลงที่ยุติธรรมแล้ว
เพราะสุดท้ายหากจะพูดกันตรงๆ ข้อตกลงนี้ก็เป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ…
“หือ? เจ้าว่าไงนะ?”
ได้ยินคำของซูหลี่ต้วนหลิงเทียนก็ผงะไปเล็กน้อย
หลังจากนั้นซูหลี่ก็เริ่มอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ต้วนหลิงเทียนฟังทั้งหมดอย่างไม่มีอะไรปิดบัง
“ดังนั้นตอนนี้ข้าเลยกลายเป็นอาคันตุกะอาวุโสของวังเซียนหยวนไปแล้วน่ะ”
หลังได้บอกต้วนหลิงเทียนถึงตื้นลึกหนาบางของเรื่องราว ซูหลี่ก็เผยยิ้มออกมา
และเมื่อได้ฟังคำอธิบายของซูหลี่ อคติที่มีต่อเริ่นหยวนเจี๋ยของต้วนหลิงเทียนก็หายไปทันที
ถึงแม้ซูหลี่จะยังคงยึดถือคำมั่นพิทักษ์วังเซียนหยวน 100 ปีไม่แปรเปลี่ยน แต่การได้กลายเป็นอาคันตุกะอาวุโสของวังเซียนหยวน ก็ย่อมดีกว่าเป็นทาสกระบี่สตรีนางหนึ่งเป็นไหนๆ สองเรื่องนี้เรียกว่าต่างกันคนละโลก!
“ไม่ทราบอาวุโสท่านนี้มีนามว่าอะไรหรือ?”
สายตาต้วนหลิงเทียนพลันหันไปจับจ้องชายชราชุดเทาเบื้องหลังซูหลี่ และคราวนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้พินิจอีกฝ่ายจริงๆจังๆ
มาตอนนี้เขาย่อมรับทราบแล้วว่าที่ซูหลี่เปลีย่นสถานะจากทาสกระบี่กลายเป็นอาคันตุกะอาวุโสของวังเซียนหยวนได้ ล้วนเป็นเพราะชายชราเบื้องหน้าคนเดียว
การตัดสินใจของชายชราไม่เพียงปกป้องศักดิ์ศรีของซูหลี่ แต่ยังชนะใจซูหลี่อีกด้วย
เขาย่อมรู้จักนิสัยของซูหลี่เป็นอย่างดี จึงรู้ได้ไม่ยากว่าซูหลี่ต้องตื้นตันใจกับการจัดการของชายชราแน่นอน
กระทั่งหากเขาเป็นซูหลี่เองก็คงมีตื้นตันกันบ้าง ถึงแม้จะมองเจตนาที่แท้จริงออกก็ตาม
ดังนั้นเขาไม่เพียงแต่รู้สึกว่าชายชราผู้นี้มีพลังฝึกปรือสูงล้ำ วิสัยทัศน์ยังไม่ใช่ชั่วอีกด้วย
กล่าวได้ว่าวิธีรับมือกับซูหลี่นั้น ชายชราได้เลือกหนทางที่ดีที่สุดแล้วจริงๆ
“ข้าเรียกว่า เซียนหยวนจื่อ…น้องหลิงเทียน นามกระเดื่องเลื่องลือของเจ้าข้าเองก็ได้ยินมานานแล้ว”
เผชิญหน้ากับคำถามของต้วนหลิงเทียน ชายชราขอบเขตเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ แห่งวังเซียนหยวน เซียนหยวนจื่อ ก็กล่าวตอบออกมาด้วยรอยยิ้มแจ่มใส
แต่ต้นจนจับทัศนคติทั้งท่าทีที่เผยออกของเซียนหยวนจื่อ เรียกว่าเป็นมิตรมาก
“นอกจากนี้น้องหลิงเทียนอย่าได้เรียกข้าว่าผู้อาวุสงอาวุโสอันใดเลย…เจ้าเรียกหาข้าว่าเหล่าเกอก็ได้ อย่างไรเหล่าเกอ เพียงมีอายุมากกว่าน้องหลิงเทียนแค่เล็กน้อยเท่านั้น”
(เหล่าเกอ ประมาณคำเรียกหาพี่ที่ให้เกียรติอะ จะใช้ท่านพี่แทนนะ)
เซียนหยวนจื่อยังคงกล่าวออกด้วยรอยยิ้มแจ่มใส
เรียกว่าเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ ยามคิดตีสนิทกับต้วนหลิงเทียน ช่างให้รสชาติพิกลดีแท้
จังหวะนี้กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็บอกไม่ถูกจริงๆว่าเขาควรรู้สึกยังไงดี เมื่อถูกตีซี้แบบนี้
“โอย ตาแก่ผู้นี้…หน้ายังหนาได้อีก!”
หานเฉวี่ยไน่ที่อยู่ไม่ไกล อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำออกมา
แม้เสียงบ่นพึมพำของนางจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่นับว่าคนในกลุ่มล้วนได้ยินกันชัด
เซียนหยวนจื่อที่เป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรง ไม่ได้ว่าอะไร เพียงหันไปส่งยิ้มแฉ่งให้หานเฉวี่ยไน่เท่านั้น
ส่วนเริ่นหยวนเจี๋ยที่ลอยยอยู่ข้างๆเซียนหยวนจื่อก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองหานเฉวี่ยไน่ด้วยสายตาตกตะลึง หลังได้ยินวาจานินทาระยะเผาขนดังกล่าว…
สำหรับนาง
เซียนหยวนจื่อคนนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นบรรพบุรุษผู้เฒ่าของวังเซียนหยวนเท่านั้น แต่ยังเป็น 1 ใน 2 ตัวตนที่ทรงพลังที่สุดของวังเซียนหยวนอีกด้วย!
หากไม่ใช่เพราะเซียนหยวนจื่อไม่ถือสาเรื่องนี้ นางคงไม่ทำแค่มองจ้องหานเฉซี่ยไน่แน่นอน!
“ในเมื่อท่านพี่กล่าวมาถึงขนาดนี้ เช่นนั้นข้าเคารพมิสู้เชื่อฟัง…”
ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะถือสาเรื่องพวกนี้แต่แรก เขาย่อมไม่คิดปฏิเสธขัดคออะไรอีกฝ่ายให้วุ่นวาย
ยิ่งไปกว่านั้นการได้รู้จักเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ สำหรับเขาก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร
“ฮ่าๆๆๆ ดี ดี!!”
ได้ยินต้วนหลิงเทียนตอบรับ เซียนหยวนจื่ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างเริงร่า
หลังจากหัวเราะไปสักพัก มันก็หยุดลงค่อยกล่าวต่อว่า “น้องหลิงเทียนเจ้ากับอาวุโสซูหลี่ไม่ได้เจอกันนานปีแล้ว พวกเจ้าคงคิดสนทนารำลึกความหลังกันเป็นธรรมดา เราผู้พี่ย่อมไม่คิดอยู่รบกวน”
“อีกทั้งคงราวๆ 3 ปีก่อนที่แดนลับต่างสวรรค์จะปิดตัวลงข้าก็คิดออกไป…หากน้องหลิงเทียนเจ้าคิดอยากไปเที่ยวระนาบเยียนหวงก่อนแดนลับต่างสวรรค์ปิดตัว เราผู้พี่ย่อมยินดีต้อนรับเป็นพิเศษ”
“เจ้ารับป้ายนี้ไปเถอะ…หลังจากนี้ราวๆ 3 ปีหากน้องหลิงเทียนสนใจไปเที่ยวชมระนาบเหยียนหวง เจ้าสามารถนำป้ายดังกล่าวไปหาข้าที่วังเซียนหยวนได้ทุกเมื่อ”
“แม้วังเซียนหยวนเราจะซ่อนตัวอยู่ในที่เร้นลับ แต่ตราบใดที่น้องหลิงเทียนไปถึงระนาบเหยียนหวงแล้ว ขอเพียงถ่ายพลังลงป้ายสักเล็กน้อย มันสามารถนำพาน้องหลิงเทียนไปยังวังเซียนหยวนได้ไม่ยาก”
ขณะกล่าว เซียนหยวนจื่อก็หยิบป้ายสีม่วงทองออกมายื่นส่งให้ต้วนหลิงเทียน
“ระนาบเหยียนหวง?”
ต้วนหลิงเทียนที่รับป้ายมาอย่างกระฉับกระเฉงกล่าวออกด้วยรอยยิ้มว่า “หากท่านพี่เป็นคนของระนาบอื่นข้าเกรงว่าป้ายนี้คงเสียเปล่า…แต่หากเป็นระนาบเหยียนหวง ข้าเองก็คิดไปเที่ยวชมแต่แรก”
“เช่นนั้นยามข้าไปเยือนระนาบเหยียนหวง คงต้องลำบากท่านพี่เป็นธุระสักหน่อย”
ต้วนหลิงเทียนพูดพลางยิ้มอ่อน
“จริงรึ?”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน สองตาเซียนหยวนจื่อก็ลุกวาวขึ้นมาทันใด
ต้องทราบด้วยว่าแม้มันจะมอบป้ายให้อีกฝ่ายไป แต่มันก็ไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะถ่อไปถึงระนาบเหยียนหวงหรือวังเซียนหยวนเพื่อเยี่ยมเยียนมันแต่อย่างใด
แต่ทว่าพอต้วนหลิงเทียนพูดมาแบบนี้ ก็เสมือนมัน ‘ไม่ตั้งใจปักต้นหลิวกลับได้ต้นหลิวให้ร่มเงา’ แล้วจริงๆ
(ไม่ตั้งใจปักต้นหลิวกลับได้ต้นหลิวให้ร่มเงา = ทำโดยไม่ตั้งใจแต่กลับได้ผลลัพธ์เลิศล้ำ)
ที่แท้ต้วนหลิงเทียนคิดไปเยือนระนาบเหยียนหวงแต่แรก
“เป็นจริง!”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มรับคำ ค่อยหันไปมองจางีย่ที่ลอยอยู่เงียบๆไม่ไกลพลางกล่าวว่า “ท่านพี่นี่เป็นสหายของข้าเรียกว่าจางยี่ สหายข้าคนนี้ก็เป็นคนของสำนักเทียนซือที่ตั้งอยู่ในระนาบเหยียนหวงท่านพอดี…ข้าได้รับปากสหายไว้แล้วว่าจะไปเที่ยวระนาบเหยียนหวงด้วยกัน”
“โอ้? คนของสำนักเทียนซือรึ?”
ทันใดนั้นเซียนหยวนจื่อก็เบนตาไปมองจางยี่ข้างๆ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กล่าวไปข้าเองกับนับว่ามีไมตรีอันดีกับ เสวียนอวิ๋นเจินเหรินของสำนักเทียนซือเจ้าพอดี…หลังกลับไปถึงระนาบเหยียนหวงเมื่อใด ยามไปพบพานสหายเก่าผู้นั้นข้าจักกล่าวถึงเจ้า”
เสวียนอวิ๋นเจินเหริน!
ได้ยินคำของเซียนหยวนจื่อ จางยี่ที่ยังเหม่อๆอยู่ก็ดึงสติกลับมาแจ่มใสฟื้นคืนเต็มตัวทันที
เสวียนอวิ๋นเจินเหรินที่ว่านั่นคือเซียนอมตะเสเพล 9ทัณฑ์ในสำนักเทียนซือของมัน! กระทั่งยังเป็นเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ที่พลังฝีมือสูงสุด!!
ถึงแม้ตัวมันเองจะเป็นคนของสำนักเทียนซือ แต่ในบรรดารุ่นเยาว์ของสำนักเทียนซือมันก็ไม่นับว่าเป็นชนชั้นอัจฉริยะหัวกะทิอะไร อย่าว่าแต่จะเคยสนทนาอะไรกับเสวียนอววิ๋นเจินเหรินเลย กระทั่งได้เห็นยังไม่เคยได้เห็นด้วยซ้ำ!
ทว่าตอนนี้ฟังจากคำของชายชรานามเซียนหยวนจื่อเบื้องหน้า ไม่เพียงแต่อีกฝ่ายจะรู้จักกับตัวตนอันสูงส่งในสำนักเทียนซือของมันเท่านั้น อีกฝ่ายกระทั่งจะเอ่ยถึงตัวมันขณะไปเจออีกด้วย
“ขอบคุณอาวุโส! ขอบคุณอาวุโส!!”
ทันใดนั้นจางยี่รีบประสานมือโค้งคารวะกล่าวขอบคุณออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดีอย่างไร้ซึ่งความลังเลใดๆ
“ฮัยยา เจ้าเป็นสหายของน้องหลิงเทียนก็ไม่ต่างใดกับเป็นสหายข้า เรื่องเท่านี้ยังต้องขอบคุณทำอะไร”
เซียนหยวนจื่อยิ้มให้จางยี่บางๆ ก่อนที่จะหันไปพูดกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มฉีกกว้าง “เอาล่ะ…น้องหลิงเทียนข้ากับนังหนูหยวนเจี๋ยไม่อยู่รบกวนเจ้ากับอาวุโสซูหลี่แล้ว”
“อาวุโสซูหลี่ พวกเรามิได้รีบร้อนอันใด…ท่านกับน้องหลิงเทียนค่อยๆรำลึกความหลังกันเถอะ”
ก่อนจากไปพร้อมเริ่นหยวนเจี๋ย เซียนหยวนจื่อย่อมไม่ลืมหันไปกล่าวบอกซูหลี่
“เอาล่ะ”
ซูหลี่พยักหน้า
ต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่ไม่ได้เจอกันนานปีดีดักแล้ว พอเริ่มสนทนาก็เสมือนเปิดทำนบกันน้ำ วาจาทะลักทลายออกมาดั่งน้ำท่วมทุ่ง ยากจะหยุดยั้งลงได้
เรียกว่าถามไถ่เรื่องราวที่ผ่านกันมากมายอย่างออกรส
ในบทสนทนาย่อมเป็นเรื่องการเดินทาง ทั้งการผจญภัยที่พานพบผ่านมาตลอดหลายปีที่ผ่าน
ซูหลี่ย่อมประหลาดใจกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของต้วนหลิงเทียนไม่น้อย กระทั่งบางจุดยังอดหวาดเสียวจนเหงื่อท่วมไม่ได้ แม้จะเห็นว่าต้วนหลิงเทียนอยู่ตรงหน้าและเรื่องร้ายใดๆสมควรกลายเป็นดีไปหมดแล้ว แต่มันยังอดไม่ได้ที่จะกังวลและหวั่นใจแทนต้วนหลิงเทียนจริงๆ
ส่วนด้านต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังการเดินทางของซูหลี่และประสบการณ์ที่พบเจอ ช่วงแรกๆเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ
แต่พอได้รู้ว่าซูหลี่เป็นคนสังหารกระบี่ที่ 13 ผู้เป็นอาจารย์ด้วยสองมือตัวเองขณะถูกจิตมารครอบงำ ต้วนหลิงเทียนก็รับรู้ถึงความปวดปร่าใจของซูหลี่ได้ทันที…