บทที่ 1900 ไม่ตายไม่หยุด

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ฟังอยู่ข้างหูจนรู้สึกสับสนวุ่นวาย สุดท้ายอวี้เลี่ยนเจินเหรินก็อดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงถามสองคนข้างๆ “ศิษย์พี่ เรื่องนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นเพราะสำนักลมปราณจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”

“พูดเหลวไหลอะไรกัน?” อย่างไรเสียอวี้ซวีเจินเหรินก็ดูแลร้านขายของชำซื่อตรงมาหลายปี มีความรู้ประสบการณ์มากกว่าอีกสองคน “สำนักลมปราณของพวกเราจะก่อให้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไง ข่าวลือปะทุขึ้นในพื้นที่ใหญ่ขนาดนี้ ใช่ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะบงการได้ นี่เป็นการต่อสู้ของบรรดาคนที่อยู่ระดับบนสุดแล้ว สำนักลมปราณของพวกเรายังไม่มีคุณสมบัติจะไปเข้าร่วมหรอก แต่ดูท่าแล้ว ระหว่างอ๋องสวรรค์อิ๋งกับหนิวโหย่วเต๋อ เกรงว่าถ้าไม่มีใครตายก็คงไม่เลิก ความเคลื่อนไหวนี้ค่อนข้างน่าตกใจ พอเกิดเรื่องขึ้นมาจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ที่สะเทือนทั้งใต้หล้าแน่”

อวี้หลิงเจินเหรินส่ายหน้าถอนหายใจ เขาบอกอวี้เลี่ยนตั้งแต่แรกแล้ว ไม่อยากให้หนิวโหย่วเต๋อเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะกลัวว่าจะทำให้เรื่องลุกลามใหญ่โต่ ตอนนี้หมดกัน สำนักลมปราณนับว่าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว

เป่าเหลียนฟังอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร

สุดท้ายคนกลุ่มนี้ก็เดินมาถึงนอกตำหนักคุ้มเมือง เป่าเหลียนมองตำหนักคุ้มเมืองด้วยแววตาสับสนเป็นพิเศษ นี่คือสถานที่ที่นางใช้ชีวิตมาหลายปี แต่ละฉากในอดีตปรากฏขึ้นมาในหัว ตอนนี้ทัศนียภาพยังเหมือนเดิม แต่ผู้คนเปลี่ยนไปแล้ว

“หนิวโหย่วเต๋อผงาดขึ้นที่นี่!” ขณะมองตำหนักคุ้มเมือง จู่ๆ อวี้ซวีเจินเหรินก็ถอนหายใจยาว

ในเขตลานบ้านใหญ่ที่อยู่ลึกเข้าแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มหน้ายกเครายาวคนหนึ่งกำลังนั่งเงียบอยู่ในโถงรับแขก

สตรีวัยกลางคนผู้งดงามสดใสที่สวมชุดลายดอกไม้รีบร้อนเข้ามาข้างใน ในมือถือแผ่นหยกแผ่นหนึ่ง นางเดินสาวเท้ามาหยุดข้างกายชายหนุ่ม แล้วกล่าวด้วยแววตาเป็นประกายราวกับค้นพบสมบัติ “ท่านโหว รีบดูสิ บนแผ่นหยกข่าวลือนี้เป็นตราอิทธิฤทธิ์ของสนมฉินจริงๆ”

ชายชาตรีเอียงหน้ามองมา แล้วถามเสียงเย็น “เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน?”

สตรีวัยกลางคนกำหมัดทุบนวดบนบ่าของเขาเบาๆ “ข้าจะหลอกท่านทำไมล่ะ เป็นตราอิทธิฤทธิ์ของสนมฉินจริงๆ ข้ารู้จักสนมฉินมานานแล้ว เคยส่งจดหมายคุยกัน ถ้าท่านไม่เชื่อข้า ข้าจะหามาเทียบให้ดูก็ได้ ท่านโหว ที่บนแผ่นหยกนี้เขียนไว้คงไม่ใช่เรื่องจริงหรอกใช่มั้ย? อย่าบอกนะว่าอ๋องสวรรค์อิ๋งคิดจะก่อก่อกบฏจริงๆ?”

เพี้ยะ! ชายชาตรีพลันลุกขึ้นยืน แล้วตบหน้าสตรีวัยกลางคนจนเกิดเสียงดังฟังชัด ทำให้นางล้มลงกับพื้น แล้วชี้นางพร้อมตำหนิว่า “เจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง? เรื่องแบบนี้พูดซี้ซั้วได้ด้วยเหรอ? เจ้ากล้ารับประกันมั้ยว่าในบ้านเราไม่ได้หูตาของเบื้องบนปนอยู่? เจ้ารู้มั้ยว่านี่มันเวลาอะไร? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ถ้าแม้แต่นายหญิงอย่างเจ้ายังควบคุมปากตัวเองไม่ได้ ถ้าบ่าวไพร่ได้ยินก็จะแพร่ข่าวลือเหลวไหลไปด้วย ถ้าได้ยินไปถึงหูอ๋องสวรรค์อิ๋ง เจ้าจะให้ท่านอ๋องคิดยังไง?…คำพูดพวกนี้ทำให้คนตายได้ โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ ถ้าเจ้าอยากตายเร็ว ก็อย่าดึงทั้งครอบครัวไปตายกับเจ้าด้วย!”

สตรีวัยกลางคนที่เอามือปิดหน้ารู้สึกน้อยใจมาก นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกผู้ชายของตัวเองตบ ยังไม่เคยได้รับความอยุติธรรมอย่างนี้มาก่อน หยดน้ำตาสั่นไหวอยู่ในดวงตา พอได้ยินแบบนี้ก็ตกใจจนหน้าซีด ตกใจจนน้ำตาไหลย้อนกลับเข้าตา

ในค่ายของทัพใหญ่ที่อยู่ระหว่างภูเขาของดาวเคราะห์แห่งหนึ่ง ในเรือนหลังเล็ก กลุ่มทหารกำลังล้อมโต๊ะนั่งดื่มสุรากัน พอสุราลงท้องก็คุมปากตัวเองไม่อยู่แล้ว

“มารดาเจ้าเถอะ ข้าก็ว่าทำไมยาแก่นเซียนราคาสูงขึ้นขนาดนี้ ที่แท้ก็เป็นผลงานเบื้องบนนี่เอง ดีจริงๆ ยาแก่นซียนหนึ่งหมื่นล้านล้านเม็ด ช่างใจกว้างยิ่งนัก!”

“อย่าพูดจาเหลวไหล เห็นชัดว่ามีคนกำลังวางแผนทำร้ายอ๋องสวรรค์อิ๋ง”

“วางแผนทำร้าย? ก็ได้ นี่เป็นการวางแผนทำร้ายแน่นอน แต่ไม่มีใครตาบอด คนของโถงชุมนุมอัจฉริยะถูกจับแล้วปล่อยเป็นเรื่องโกหกเหรอ? เรื่องที่จู่ๆ หนิวโหย่วเต๋อไต่เต้าขึ้นตำแหน่งผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์เป็นเรื่องโกหก? ยังมีอีกน่ะ ช่วงก่อนหน้านี้คนของตระกูลอิ๋งกว้านซื้อยาแก่นเซียนก็ไม่ใช่ความลับอะไร ต้องการยาแก่นเซียนมากมายขนาดนั้น ที่แท้ปัญหาก็อยู่ตรงนี้นี่เอง! ตรงนี้ไม่มีคนนอก เจ้าก็อย่าหลอกตัวเองเลย”

“ใชแล้ว ข้าได้ยินมา ว่าหลายคนในหมู่พวกเราหายไปเพราะไปร่วมศึกสระน้ำมังกรดำ ตอนนี้ไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว คาดว่าคงตายไปแล้ว ถ้าอยากจะพิสูจน์ข่าวลือก็ง่ายมาก ส่งคนที่หายตัวไปออกมาเพื่อทำลายข่าวลือสิ ถ้าเก่งนักก็ส่งออกมาสิ!”

“ท่านนั้นจะกล้าเอ่ยปากแบบนี้ได้ยังไง ถ้าส่งคนฝั่งพวกเราออกมา แล้วคนในพื้นที่อื่นต้องการให้ส่งตัวคนที่หายไปกลับมาบ้าง จะไม่วุ่นวายใหญ่โตหรอกเหรอ”

“แม่งเอ๊ย บัดซบ ปรับปรุงกอดทัพเหรอ? เขาปรับปรุงกันแบบนี้เหรอ? ไม่ว่าอะไรก็ยอมจ่ายเพื่อที่จะช่วยลูกชายตัวเอง เขากินเนื้อ แต่พวกเราพี่น้องได้กินแค่น้ำแกง ทำอย่างกับเป็นเรื่องผิดมหันต์อย่างนั้นแหละ ถาอยากจะปรับปรุงกองทัพจริงๆ ให้เขาจับตัวญาติเมียในบ้านตัวเองออกมาตรวจสอบให้ดีๆ สิ มีคนไหนบ้างที่ก้นสะอาด”

“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ พ่อพี่ชายน้องชายเมียข้าหัวหลุดจากบ่า เมียข้าพอเห็นข้าก็ร้องห่มร้องไห้ทันที บอกว่าให้ข้าล้างแค้น ปัดโธ่เอ๊ย ข้าจะไปล้างแค้นที่ใครล่ะ? ข้าจะเอาความสามารถจากไหนไปล้างแค้นให้นาง? รำคาญจะตายอยู่แล้ว”

“เหอะๆ ยาแก่นเซียนราคาสูงมาก พวกที่อยู่เบื้องบนสมบัติเยอะ ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง แต่พวกเราได้ค่าจ้างเท่านี้ ไม่มีทางใช้ชีวิตต่อไปได้เลย”

“ข้าก็ว่าอย่างนั้น เรื่องที่คนในครอบครัวพวกเขาก่อขึ้น แต่กลับให้คนเบื้องล่างอย่างพวกเราต้องจ่าย มีสิทธิ์อะไรล่ะ!”

“ทัพใหญ่หลายล้านโดนตีแตกไปแล้ว ยังโดนหนิวโหย่วเต๋อนั่นเล่นงานต่อเนื่องเหมือนเป็นหลานคนหนึ่ง ยังมีหน้านั่งอยู่ตำแหน่งนั้นอีกเหรอ หน้าด้านใช้ได้เลย”

“มารดาเจ้าเถอะ เพื่อความแค้นส่วนตัว แต่เอาชีวิตของทัพตะวันออกหลายล้านไปถมเติม ชีวิตคนเบื้องล่างอย่างพวกเราไม่มีค่าไง ไม่แน่ว่าวันไหนพวกเราอาจจะถูกเขาหลอกเอาชีวิตเข้าไปเกี่ยวข้องได้”

“ความเคลื่อนไหวนี้ไม่ใช่เล็กๆ เลย คงไม่ใช่ว่าจะมีใครลงมือกับท่านนั้นหรอกใช่มั้ย?”

“รีบจับตัวแล้วโค่นล้มสักทีเถอะ เปลี่ยนให้คนอื่นมาขึ้นตำแหน่งแทนยังดีกว่าเขาอีก”

“พอแล้ว ทุกคนพูดให้น้อยๆ หน่อย หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง”

ทั้งในอาณาเขตทัพตะวันออก คำวิจารณ์แบบนี้ล้วนเกิดขึ้นทุกที่

จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิง บ้านเดิมของสนมฉิน อาณาเขตของหวังจัว

แม่ทัพคนหนึ่งเข้ามาในจวน เร่งฝีเท้าเดินมาตลอดทางจนถึงโถงหลัก พอเจอหัวหน้าภาคคนใหม่แล้วทำความเคารพ ก็เข้ามาตรงหน้าแล้วยื่นแผ่นหยกให้แผ่นหนึ่ง พร้อมถ่ายทอดเสียงบอกว่า “นายท่าน ตราอิทธิฤทธิ์บนแผ่นหยกนี้ไม่ผิด เป็นของหวังจัวจริงๆ ดูท่าแล้วหวังจัวคงยังไม่ตาย!”

หัวหน้าภาคคนใหม่กลอกตามองบน “ข้าเองยังไม่รู้เลยว่าเทียบถูกหรือเปล่า? ยังต้องให้เจ้ามาบอกด้วยเหรอ? ที่ให้เจ้ามาไม่ใช่เพราะจะให้พูดเรื่องนี้ ข้าจะถามเจ้า ว่าสถานการณ์เบื้องล่างเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้พูดซี้ซั้วกันใช่มั้ย?”

แม่ทัพส่ายหน้าทันที “เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนั้น ยังจะทนไม่พูดวิจารณ์ไหวหรือขอรับ?”

“ข้าได้ยินข่าวมาแล้ว เบื้องบนกำลังจะส่งกำลังพลตรวจตราเข้ามาพัก เจ้าให้พี่น้อบเบื้องล่างปิดปากให้สนิท กลืนลงท้องไปเลย  ถ้ามาตายเพราะบ่นมากมันไม่คุ้ม พอถึงตอนนั้นโดนฟันหัว ก็อย่าหาว่าข้าปกป้องพวกเจ้าไม่ได้ก็แล้วกัน” หัวหน้าภาคกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

แม่ทัพถอนหายใจ “ถ้าเก่งนักก็ฆ่าให้หมดเลยสิ ข้าอยากจะเห็นว่าถึงตอนนั้นยังจะมีใครทำงานรับใช้เขา”

ตุ้บ! หัวหน้าภาคเตะเขาหนึ่งที “เจ้ายังไม่จบใช่มั้ย? หุบปากเหม็นๆ เดี๋ยวนี้!”

แม่ทัพคนนั้นหัวเราะแห้งๆ แล้ววิ่งออกไป

จากนั้นหัวหน้าภาคท่านนี้ก็นั่งไม่ติดที่แล้ว อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าถอนหายใจเบาๆ “อ๋องสวรรค์อิ๋งเอ๊ยอ๋องสวรรค์อิ๋ง…”

จวนจอมพลสายฉลู แม่ทัพใหญ่หลายคนเข้ามาพร้อมกัน เดินตรงไปยังโถงรับแขก พอเห็นเฉิงไท่เจ๋อนั่งอยู่ในนั้น ทุกคนก็กุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ท่านจอมพล!”

เฉิงไท่เจ๋อโบกมือไปทางซ้ายและขวา บอกใบ้ให้นั่งลง จากนั้นก็ถามว่า “ขวัญกำลังใจทหารเป็นยังไงบ้าง?”

บรรดาแม่ทัพส่ายหน้า หนึ่งในนั้นตอบว่า “ท่านจอมพล อารมณ์ฝูงชนกำลังเดือดพล่าน พากันวิพากษ์วิจารณ์”

เฉิงไท่เจ๋อชมวดคิ้วเงียบๆ

บรรดาแม่ทัพที่นั่งอยู่ตรงนั้นมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ต่างก็กำลังส่งสายตาให้กัน สุดท้ายหนึ่งในนั้นก็แข็งใจยืนขึ้น แล้วกุมหมัดคารวะ “ท่านจอมพล ฟ้าประทานโอกาสทองแล้ว ทำไมไม่ฉวยโอกาสนี้ติดต่อกับฝ่าบาท ข้าคิดว่าฝ่าบาทคงจะไม่มีทางไม่หวั่นไหว”

เฉิงไท่เจ๋อเหลือบตาขึ้นทันที เขาย่อมรู้ว่าคนพวกนี้กำลังพูดถึงอะไร เขามองหน้าทีละคน กำลังตรวจสอบปฏิกิริยาของทุกคน

บรรดาแม่ทัพสบตากันอีกครั้ง แล้วจู่ๆ ทั้งหมดก็ยืนขึ้น กุมหมัดคารวะกล่าวพร้อมกัน “พวกเราสาบานว่าต่อให้ตายก็จะทำตามคำสั่งท่านจอมพลโดยไม่รีรอ!”

นี่คิดจะใช้วิธีปลุกระดมให้สำเร็จชัดๆ! เฉิงไท่เจ๋อเข้าใจความคิดของคนพวกนี้ แต่ละคนมองเห็นโอกาสแล้ว อยากจะให้ตนแวยโอกาสนี้โค่นอิ๋งจิ่วกวง แบบนั้นพวกเขาก็จะได้ดีไปด้วยเหมือนเรือที่ขึ้นสูงตามน้ำ

“ท่านจอมพลกังวลท่าทีของทัพใต้ ตะวันตก เหนือ หรือขอรับ? ตามความเห็นของข้าน้อย ไม่ต้องกังวลสิ่งนี้เลย ท่านจอมพลก็แค่มาแทนที่อิ๋งจิ่วกวง สามารถให้คำสัญญากับอีกสามทัพได้ หลังจากจบเรื่องจะไม่ฝ่าฝืนเส้นทางของอิ๋งจิ่วกวง ร่วมมือกับพวกเขาต่อต้านวังสวรรค์ต่อไป พวกเขาก็ย่อมหมดความกังวลแล้ว”

“ท่านจอมพล ตอนนี้ขวัญกำลังใจทหารหย่อนยานแล้ว ทั้งข้างล่างข้างบนมีแต่เสียงบ่นด่าตระกูลอิ๋ง ผู้ไร้คุณธรรมขาดคนช่วยเหลือ ผู้เปี่ยมคุณธรรมมีคนช่วยเหลือมาก ใครยืนขึ้นริเริ่มก่อน คนนั้นก็จะได้ใจคนไปก่อน ใครติดต่อฝ่าบาทไปก่อน คนนั้นก็จะได้อยู่อันดับต้นๆ พลาดโอกาสนี้ไม่ได้ขอรับ!”

ปั้ง! เฉิงไท่เจ๋อพลันตบโต๊ะยืนขึ้น โต๊ะน้ำชาแตกกระจายบนพื้น เดือดดาลถึงขีดสุดจริงๆ ชี้หน้าพวกแม่ทัพพร้อมตะคอกว่า “บังอาจ! จอมพลผู้นี้ติดตามท่านอ๋องมาหลายปี ได้รับความเมตตาจากท่านอ๋องมากมาย กำลังคิดจะว่าจะช่วยคลายความกังวลให้ท่านอ๋องยังไง แต่พวกเจ้าบังอาจมายุยงให้ข้าวางแผนก่อกบฏ แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน! ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ที่พวกเจ้าติดตามข้ามาหลายปี วันนี้ข้าไม่ปล่อยไปแน่! ข้าเตือนพวกเจ้าไว้เลยนะ ข้าสาบานว่าต่อให้ตายก็จะติดตามท่านอ๋อง ไม่ให้โอกาสพวกโจรกบฏเด็ดขาด วันหลังถ้าใครพูดจาทรยศแบบนี้อีก ประหารไม่ละเว้นแน่นอน! ไสหัวไป!”

บรรดาแม่ทัพก้มหน้าพูดไม่ออก ต่างก็กุมหมัดคารวะเงียบๆ แล้วถอยออกไป พากันถอยหลังมาถึงประตูแล้วหันตัวออกไป

จนกระทั่งเสียงฝีเท้าข้างนอกไกลออกไปแล้ว เฉิงไท่เจ๋อก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง เบื้องล่างให้เขาคิดต่อประมุขชิง แต่กลับไม่รู้ว่าประมุขชิงติดต่อเขามาตั้งนานแล้ว ตอนนั้นเขาไม่ได้ตอบตกลงประมุขชิง และไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้บรรดาแม่ทัพรู้ เขาไม่มีทางแสดงท่าทีออกมาง่ายๆ เพราะใครจะไปรู้ว่าในบรรดาแม่ทัพพวกนี้มีใครแอบฟังคำสั่งอิ๋งจิ่วกวงหรือไม่

หลังจากผ่านไปนานมาก เขาก็หยุดเดิน แล้วหยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมาติดต่อเถิงเฟย จอมพลสายชวด

หารู้ไม่ว่าตอนนี้เถิงเฟยก็กำลังเดินไปเดินมาอย่างลังเลอยู่ในห้องสมาธิเช่นกัน หลังจากได้รับข้อความก็ถามว่า : พี่เฉิงมีธุระอะไรเหรอ?

เฉิงไท่เจ๋อ : ข้าได้รับแผ่นหยกแผ่นหนึ่ง

เถิงเฟยอึ้งไปชั่วขณะ แล้วตอบทันทีว่า : ข้าก็ได้รับมาแผ่นหนึ่งเหมือนกัน

ทั้งสองแทบจะถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมกัน ดูท่าแล้วซือหม่าเวิ่นเทียนคงจะไม่ได้หลอกพวกเขาจริงๆ แค่ก่อนหน้านี้ทั้งสองไม่ได้ถามกันเท่านั้นเอง…

วังสวรรค์ ในตำหนักบูรพา จ้านหรูอี้ที่ขึ้นมาบนตึกศาลาทอดสายตามองปราสาทราชวังที่ยาวติดกันเป็นพืด ดวงตาฉายแววหดหู่ พึมพำกับตัวเองว่า “เมฆลมในใต้หล้าคาดเดาได้ยาก เจ้าไม่ยอมอยู่เงียบๆ สุดท้ายก็ต้องเดินไปหาเส้นทางที่ไม่รู้จัก ไม่ตายก็ไม่หยุด…”

“หนิวโหย่วเต๋อนี่ก็ใจกล้าเหมือนไปกินหัวใจหมีกับถุงน้ำดีเสือดาวมา ช่างกล้ามาสู้กับท่านอ๋อง สักวันจะต้องไม่ตายดี!”

“เขาจะเอากำลังจากไหนไปสู้กับท่านอ๋องล่ะ ไม่ใช่ตระกูลที่อยู่เบื้องหลังตำหนักนารีสวรรค์ยั่วยุหรือไง ในใต้หล้ามีใครไม่รู้บ้างว่าตระกูลนั้นเป็นยังไง ผ่านมากี่ยุคสมัยแล้ว ขึ้นชื่อเรื่องหลบทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่เบื้องหลัง ทำแต่เรื่องที่บอกใครไม่ได้ ตามความเห็นของข้านะ ฝ่าบาทควรจะรีบฉวยโอกาสป้องกันตระกูลนั้น จะได้ไม่ต้องเสียเปรียบโดยไม่รู้ตัว”

หยินซวง ไป๋เสวี่ยบ่นอย่างแค้นเคือง ผลัดกันพูดอยู่ข้างหลังจ้านหรูอี้ กล่าวประณามไม่หยุด

ทั้งใตหล้าในเวลานี้ แม้จะเป็นสถานที่ต่างกัน แต่กลับเกิดเรื่องราวมากมายพร้อมกัน

………………