จินอวี้ลวี่ไม่ได้คุกเข่าลง เขายืนอยู่ในจุดที่ค่อนข้างไกล เมื่อมองไปทางด้านนั้น สีหน้าแววตาของเขาค่อนข้างซับซ้อน
จักรพรรดิขาวอยู่บนพระแท่นศิลาที่ใหญ่โตนั่น เท้าของเขาอยู่ห่างจากพื้นดินหลายจั้งนัก
หากว่ากันตามหลักการแล้ว จะไม่มีทางเหยียบลงบนพื้นดินได้แน่ แน่นอนว่าไม่สามารถยืนขึ้นได้
แต่ตอนนี้เขายืนขึ้นได้แล้ว
ราวกับเทือกเขาหิมะสูงตระหง่านลูกหนึ่งที่ปรากฏขึ้นระหว่างฟ้าดิน
ระหว่างฟ้าดิน คงต้องมีความรู้สึกของตน
เกิดเสียงดังราวกับฟ้าร้องขึ้นจากด้านในของเทือกเขาหิมะสิบกว่าลูก
เกิดหิมะถล่มไปทั่วทุกหนแห่ง พายุหิมะถูกกวาดไปว่าครึ่งภูเขา
เหล่าผู้แข็งแกร่งแห่งเผ่าปีศาจนั้นต่างก็ถูกพลังในลมหิมะนั้นกระแทกไปไกลจากพระแท่นศิลา
พายุหิมะที่บ้าคลั่งเหล่านั้น ต่างตกลงบนอาภรณ์ของจักรพรรดิขาว และหายไปในทันที ราวกับพวกมันแทรกซึมลงสู่ร่างกายของเขา
ในพายุหิมะนั้น จักรพรรดิขาวดำเนินไปด้านหน้าสามก้าว
พายุหิมะแทรกซึมเข้าสู่กาย ร่างกายเขาสูงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อาภรณ์จักรพรรดิก็เหมือนใหม่ สีเทาในดวงตาเขาก็เปลี่ยนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ความหนาวเหน็บกำลังกดดันผู้คน
เขามองไปยังที่อันห่างไกล ถามออกมาด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “หลายปีมานี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง”
ท่านอัครเสนาบดีคุกเข่าลงท่ามกลางพายุหิมะ ใช้ภาษาเข้าใจง่าย และความเร็วในการพูดสูงสุด เพื่อบอกเล่าเรื่องราวสำคัญก่อน
จักรพรรดิขาวเมื่อได้ฟังทั้งหมดแล้ว สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง สงบนิ่งยิ่งนัก
ทางด้านนั้นของพายุหิมะจู่ๆ ก็มีเสียงของจินอวี้ลวี่ดังขึ้น
“เปี๋ยยั่งหงตายแล้ว อู๋ฉยงปี้ก็ตายแล้วเช่นกัน”
เมื่อได้ฟังประโยคนี้ จักรพรรดิขาวก็เพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
พายุหิมะค่อยๆ สงบลง
จินอวี้ลวี่เอ่ยอย่างเยาะเย้ยว่า “ในปีนั้นข้าบอกเจ้าแล้ววว่า หากแต่งภรรยาต้องแต่งผู้ที่มีคุณธรรม ยามนี้มองแล้ววิสัยทัศน์ของเจ้าสู้เปี๋ยยั่งหงยังไม่ได้เลย”
จักรพรรดิขาวยังคงเงียบไม่พูดจา เขาเพียงมองไปยังทิศทางหนึ่งเท่านั้น
ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดของเผ่าปีศาจรวมไปถึงเหล่าทหารทางด้านนั้น ล้วนมองตามสายตาของเขาไป
ที่นั่นคือเขตพระราชฐาน
ตอนนี้ความจริงได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าผู้คนแล้ว
จักรพรรดิขาวถูกกักขังไว้นานหลายปี นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นกลอุบายของมู่ฮูหยิน
ตามความคิดของทุกคนแล้ว นี่ก็ถึงเวลาที่ควรจะนำทัพใหญ่มุ่งหน้าไปยังเมืองไป๋ตี้
แต่จักรพรรดิขาวกลับไม่มีท่าทีว่าจะขยับ
เขาไม่ได้มองไปยังเมืองนั้นอีกต่อไป แต่กับถอนสายตาออกมามองไปยังสิบลี้ที่อยู่ด้านนอก ก่อนจะถามออกไปว่า “เจ้าก็คือเฉินฉางเซิงหรือ”
หลายคนมองตามสายตาเขาไป จึงได้พบว่าที่แท้เฉินฉางเซิงไม่ได้ตามเข้ามาด้วย
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ หลายคนรวมไปถึงผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักฝึกหลวงหลายท่านล้วนจากไปแล้ว เหลือเพียงเขาและถังซานสือลิ่วที่ยังอยู่ที่เดิม
……
……
ระยะห่างออกไปสิบกว่าลี้นั้น เฉินฉางเซิงและจักรพรรดิขาวกำลังจ้องมองกันและกัน
เขาไม่ได้ตอบคำถามของจักรพรรดิขาว
เนื่องจากความเงียบขรึมของเขา บรรยากาศในเทือกเขาหิมะก็ดูแปลกขึ้นมาทันที
ท่านอัครมหาเสนาบดีเผ่าปีศาจเดินมาข้างหน้า ราวกับเตรียมจะเอ่ยสิ่งใด
เกิดเสียงหนึ่งแย่งพูดขึ้นมาก่อน
นั่นคือเสียงของถังซานสือลิ่ว “คำกล่าวของท่านจักรพรรดิเหตุใดจึงไร้มารยาทถึงเพียงนี้”
หลายปีก่อน จูลั่วอยู่ด้านนอกของเมืองฮั่นชิว เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้อยู่ที่นอกเมืองเมืองสวินหยาง ล้วนเคยถามคำถามนี้แล้วเช่นกัน ถามออกมาเหมือนกันทุกคำไม่ขาดไปแม้แต่คำเดียว
ยามจูลั่วและเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้เอ่ยถามนั้น มันแสดงถึงความกังขาในตัวเฉินฉางเซิง หรืออาจจะพูดได้ว่าเป็นการยอมรับอย่างหนึ่ง
เนื่องจากในตอนนั้นชื่อเสียงของเขา เพิ่งจะปรากฏขึ้นบนดินแดนแห่งนี้เท่านั้น
แต่ตอนนี้ไม่ใช่ปีนั้นอีกต่อไป
เขาไม่ได้เป็นเพียงนักพรตหนุ่มที่เพิ่งมาจากเมืองซีหนิง หรือนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงอีกต่อไป ตอนนี้เขาคือใต้เท้าสังฆราชของเผ่ามนุษย์
ต่อให้เป็นจักรพรรดิขาว ถามคำถามเช่นนี้กับเขา ก็ถือเป็นพฤติกรรมที่ไร้มารยาทสิ้นดี
ดังนั้นเมื่อได้ฟังคำกล่าวโทษขอถังซานสือลิ่ว บรรดาผู้อาวุโสของเผ่าปีศาจต่างก็โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก แต่กลับตอบโต้ไม่ได้
จักรพรรดิขาวมองไปทางนั้นอย่างเงียบๆ จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ที่แท้ท่านใต้เท้าสังฆราชเพียงแค่มาดูเรื่องอึกทึกหรอกหรือ”
เขาไม่ได้สนใจถังซานสือลิ่ว แต่คำเรียกขานที่มีต่อเฉินฉางเซิงกลับไม่เหมือนกัน
เฉินฉางเซิงเองไม่ได้ต่อความใด
ยามอยู่กับถังซานสือลิ่ว คำพูดจาของเขาจะมีมากหน่อย
แต่หากยามต้องมีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก คำพูดจาของเขาก็จะมีน้อยหน่อย
เนื่องจากถังซานสือลิ่วจะเป็นผู้ช่วยเจรจาแทนเขา และทั้งสำนักฝึกหลวงล้วนทราบดี ถังซานสือลิ่วพูดจาได้ดีกว่าเขามากนัก
“หากใต้เท้าสังฆราชไม่เป็นคนลงมือ วันนี้จะมีความอึกทึกให้ดูหรือ”
ถังซานสือลิ่วเอ่ยต่อเสียงเรียบ “ด้วยเหตุนี้ ฝ่าบาท วาจาประโยคนั้นของท่านผิดทั้งหมดแล้ว”
ประโยคนั้นของจักรพรรดิขาวราวกับมีความนัย ต้องการชี้ให้เห็นว่าเฉินฉางเซิงแม้อยู่ในที่ห่างไกล แต่ยังสามารถทำให้พวกราชันแห่งหลิงไห่ล่วงหน้าจากไปก่อนได้
การตอบกลับประโยคนี้ของถังซานสือลิ่วก็ชัดเจนยิ่งนัก นั่นก็คือเผ่าปีศาจในฐานะที่เป็นผู้รับผลประโยชน์ ไม่มีเหตุผลใดในการสงสัยการจัดการของอีกฝ่าย
เพียงแต่ประโยคนี้ช่างไม่น่านับถือเสียจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เขากำลังพูดคุยด้วยนั้นเป็นถึงจักรพรรดิขาว
สายตาแห่งความเกลียดชังนับไม่ถ้วนทอดตกลงบนกายเขา
ถังซานสือลิ่วสีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ในตอนนี้ เฉินฉางเซิงแน่ใจแล้วว่าราชันแห่งหลิงไห่และคนอื่นๆ เข้าไปยังเส้นทางลับแล้ว ในที่สุดเขาก็ทำลายความเงียบลง
เขามองไปยังภูเขาน้ำแข็งครึ่งลูกนั้นที่อยู่ไกลออกไปกว่าสิบลี้ เอ่ยขึ้น “ชนรุ่นหลังขอลาก่อน”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ เขาก็นำถังซานสือลิ่วหมุนตัวเดินจากไป
กระเรียนขาวรอคอยพวกเขาอยู่เบื้องหน้าไม่ไกล
และนี่ก็คือสิ่งที่คนพูดกันว่าบทจะไปก็ไป
ช่างตรงไปตรงมาเสียนี่
คิดจนหัวแทบแตก ในที่สุดก็ช่วยจักรพรรดิขาวออกมาได้ มองเห็นคำตอบในที่สุด
ทั้งหมดนี้เป็นกลอุบายของมู่ฮูหยินจริงๆ
สำหรับเผ่ามนุษย์แล้ว นี่ราวกับเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
หากว่ากันตามหลักการ เขาควรจะอยู่ต่อ เพื่อเจรจาเรื่องสำคัญลำดับต่อไปกับเผ่าปีศาจ
แต่เขากลับไม่ได้ทำอย่างนี้ ทั้งยังให้ราชันแห่งหลิงไห่และคนอื่นๆ เดินทางล่วงหน้าไปก่อน
เนื่องจากคำตอบนี้ช่างวิเศษนัก ช่างเหมือนกับที่เขาต้องการไว้ตั้งแต่แรก
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจจากไป
เขาต้องการไปทำเรื่องบางอย่าง
เขาอยากจะเขียนคำตอบลงไปด้วยตัวเอง
……
……
ในตำหนักศิลาหลังนั้นที่อยู่บนจุดที่สูงสุดในเขตพระราชฐาน
ด้านนอกหน้าต่างไม่มีบุปผาสาลี่ แต่มีต้นไหวปลูกอยู่
มู่ฮูหยินเชื่อว่านี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสำนักต้นไหว
ก็เหมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่เทือกเขาลั่วซิงตอนนี้ ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเฉินฉางเซิง
ถึงที่สุดแล้วก็เป็นปัญหาระหว่างนางกับเขานั่นเอง
“ข้าไม่ทราบว่าบิดาของเจ้าเป็นหรือตาย แต่หากให้ข้าเดา เขาน่าจะยังมีชีวิตอยู่”
นางเดินไปริมหน้าต่าง มองไปยังมีห่างไกลก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ต่อให้เขายังมีชีวิตอยู่ แต่ก็จะไม่ปรากฏตัวก็ได้ หากเขาไม่ปรากฏตัว นั่นก็ถือว่ายังมีความรู้สึกกับข้าอยู่ หากเขาปรากฏตัวขึ้นแล้ว นั่นก็จะถือว่าเป็นความไร้เยื่อใยอย่างแท้จริง แต่จวบจนถึงตอนนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการคำตอบแบบใด”
ยามที่เอ่ยออกมา มือของนางลูบเบาๆ ไปบนเส้นผมสีดำของลั่วลั่ว
ลั่วลั่วก้มศีรษะลง สีหน้าซีดขาว ขนตากะพริบเบาๆ ดูออกเลยว่าสภาพจิตใจนั้นตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ต้นไหวด้านนอกหน้าต่างจู่ๆ ก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ใบไม้สีเขียวร่วงหล่นลงมามากมาย มองดูราวกับภาพวาดมีชีวิต
สายตาของมู่ฮูหยินมองผ่านใบไม้สีเขียวออกไป ยังคงทอดมองไปยังที่ห่างไกล เงียบขรึมอยู่นาน จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ช่างเป็นคนที่ไร้เยื่อใยเสียจริง”
ลั่วลั่วควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป นางเงยหน้ามองไปยังมารดาตน
“ท่านถือโอกาสตอนที่บิดาบาดเจ็บสาหัส กักขังเขาไว้ ใช้ศิลาดวงดาวทำร้ายลมปราณปีศาจของเขา สุดท้าย…ท่านกลับเอ่ยว่าเขาไร้เยื่อใยหรือ”
เสียงของนางสั่นไหวเล็กน้อย เนื่องจากทั้งโกรธทั้งเสียใจ “ท่านแม่ ท่านทำทุกอย่างนี้เพื่อดินแดนต้าซีหรือ คุ้มค่าแล้วหรือ”
มู่ฮูหยินมองไปนางเงียบๆ ก่อนเอ่ย “ข้าไม่ชอบเจ้ามาแต่ไหนแต่ไร เนื่องด้วยเจ้าเป็นผู้หญิง”
ลั่วลั่วเม้มปากแน่น ใบหน้าเล็กๆ ของนางเต็มไปความดื้อรั้น ไม่ได้ตอบอะไร
มู่ฮูหยินทราบความหมายของนางดี เอ่ยว่า “เสี่ยวชือไม่จำเป็นต้องฝากฝังความคิดของข้าที่มีต่อโลกใบนี้ แน่นอนว่าไม่ต้องยอมรับข้อร้องขอของข้าเช่นกัน”
ลั่วลั่วไม่เข้าใจ นางถามด้วยความเศร้าใจว่า “แต่นี่มันเนื่องด้วยสาเหตุใดกันเล่า”
“เนื่องจากหญิงสาวส่วนใหญ่นิสัยเปิดเผย” มู่ฮูหยินเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ข้าไม่อยากเป็นคนเช่นนั้น และก็ไม่หวังให้เจ้าเป็นคนเช่นนั้นเช่นกัน ต่อไปไม่ว่าเจ้าจะสมรสกับผู้ใด ก็ต้องจดจำเอาไว้ สุดท้ายแล้วมีแค่ครอบครัวทางแม่เจ้าเท่านั้นที่จะช่วยเหลือเจ้าได้ เนื่องจากผู้ชายทั้งหมดในโลกนี้ล้วนไร้เยื่อใยทั้งสิ้น”
นี่เป็นอีกครั้งที่นางเอ่ยถึงความไร้เยื่อใยและความใจดำของบุรุษ
ต่อให้เรื่องจริงอยู่ตรงหน้า ลั่วลั่วก็อดสงสัยไม่ได้ ถึงเอ่ยถามออกไปด้วยเสียงสั่นเทาว่า “ท่านแม่ ทั้งหมดนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
มู่ฮูหยินมองออกไปแสนไกลนอกหน้าต่าง เอ่ยขึ้น “ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่รู้เรื่องนี้ไปตลอดกาล แล้วก็ไม่อยากเข้าใจว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่”