ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 937 ประมุขรวมตัวที่ศูนย์กลาง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

จักรพรรดิแพรงามมีอาวุธเซียน เรื่องนี้เยี่ยนจ้าวเกอทราบจากปากของจอมยุทธ์เขาโถงเซียนตั้งแต่แรกแล้ว

ฟู่อวิ๋นฉือ จักรพรรดิแพรงามผู้นี้ก้าวสู่ระดับเซียนมามากกว่าพันปี แตกต่างกับจักรพรรดิประกายกาฬอิ่นเทียนเซี่ย ซึ่งจากโลกใบนี้ไปตั้งแต่ยังหนุ่ม

เยี่ยนจ้าวเกอกับมู่จวินสบตากัน บนใบหน้าของทุกคนปรากฏแววประหลาดพิกล

ทวนพระอังคารพิเศษเกินไปแล้ว

ถึงแม้ว่าว่าอาวุธเซียนชิ้นนี้จะรับรู้ว่าตนเป็นอาวุธชิ้นหนึ่ง กระนั้นคนอื่นๆ รวมถึงเยี่ยนจ้าวเกอและมู่จวินต่างมองเขาเป็นจักรพรรดิผู้หนึ่ง

บางทีอาจจะมีแต่ตอนนี้เท่านั้นที่ทุกคนรู้สึกว่าทวนพระอังคารเป็นอาวุธที่แท้จริง

เขาไม่อาจหลอมอาวุธเซียนชนิดอื่นขึ้นมาได้ และไม่อาจกระตุ้นอาวุธเซียนชิ้นอื่นได้

อย่าว่าแต่เขาไม่มี ต่อให้ตอนนี้มีคนมอบอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งกับเขา เขาก็ได้แต่ยืนจ้องอยู่เฉยๆ

กระนั้นปัญหาอยู่ที่ว่า จักรพรรดิแพรงามซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ของเขา ไม่ได้มีแค่มืดเปล่าหมัดเปลือย

และไม่มีใครกำหนดว่า ในตอนที่จักรพรรดิแพรสู้กับทวนพระอังคาร จำเป็นต้องใช้แค่มือเปล่าสู้เท่านั้น ทวนพระอังคารเองก็ไม่ไร้เพียงสาถึงขนาดนั้นเช่นกัน

เป็นอย่างที่คาด หลังจากสองฝ่ายค่อยๆ ออกห่างไป คล้ายกับจะลับหายไปที่ปลายมิติ พริบตาถัดมา ลมปราณที่แข็งแกร่งสายหนึ่งก็บังเกิดขึ้น

ด้วยสายตาของพวกเยี่ยนจ้าวเกอ กลับมองภาพการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองไม่ชัดแล้ว

ทว่าการปะทะกันอย่างรุนแรงที่ไม่เคยมีมาก่อนระเบิดขึ้นห่างออกไป

คลื่นหลงเหลือที่บ้าคลั่งนั้นค่อยๆ กระเพื่อม แล้วกระจายออกไปรอบๆ เหมือนกับคลื่นทะเล

เรือนภาบัวแดงที่พวกเยี่ยนจ้าวเกออยู่สั่นไหวอย่างรุนแรง ถูกกระแทกถอยไปด้านหลัง!

กลับเป็นโลกสีเหลืองตุ่นที่เกิดจากญาณจริงแท้ของประมุขปฐวีหวังเจิ้งเฉิงที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ยังคงอยู่นิ่งที่เดิมไม่ไหวติง

ทว่าโลกที่เหมือนกับไข่ไก่มีขนาดหดเล็กลงอย่างชัดเจน พลังผนึกรวมที่ศูนย์กลางกว่าเดิม ค่อยต้านทานคลื่นหลงเหลือจากการปะทะกันของจักรพรรดิทั้งสองได้

แสงสีชาดของบัวแดงขนาดยักษ์ใกล้ๆ เรือนภาบัว ยามนี้ถูกเก็บกลับมาแล้วเช่นกัน

พวกเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่บนกลีบดอก ตอนนี้กระจัดกระจาย ร่างปลิวไปด้านหลัง

“น่าเสียดายที่ไม่อาจดูต่อไปได้อีกแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางด้วยความเสียดาย บนใบหน้าของมู่จวินที่อยู่ด้านข้างก็ปรากฏความรู้สึกเดียวกัน

จักรพรรดิแพรงามกระตุ้นอาวุธเซียนของตัวเองสู้กับทวนพระอังคาร แต่ว่าผลแพ้ชนะระหว่างทั้งสองฝ่ายจะเป็นอย่างไร พวกเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ไม่อาจยืนยัน

ทว่าแค่เห็นการต่อสู้ครั้งนี้ได้เพียงเท่านี้ สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอ ก็ถือว่าได้ประโยชน์อย่างเปี่ยมล้นแล้ว

ความสนใจในผลลัพธ์ของการต่อสู้ของเขา ณ เวลานี้ ส่วนใหญ่มาจากการพัฒนาของสถานการณ์ต่อจากนี้

เยี่ยนจ้าวเกอย่อมหวังว่า จักรพรรดิแพรงามจะสามารถเอาชนะได้

นี่ไม่เกี่ยวข้องกับที่ในตอนนั้นทวนพระอังคารทำให้เขาต้องไปโผล่ที่โถงเซียน ตรงกันข้าม แม้ว่าจะพบเจออันตราย แต่เยี่ยนจ้าวเกอก็ดีใจที่ได้ทราบถึงการดำรงอยู่ของโถงเซียน

เขาหันไปมองมู่จวิน “หลังจากการต่อสู้นี้จบลง ไม่ทราบว่าข้าสามารถไปเยี่ยมเยียนประมุขอาคเนย์ อาจารย์ของท่านได้หรือไม่”

มู่จวินตอบ “น่าเสียดายนัก เกรงว่าจะไม่ได้ ท่านอาจารย์ออกเดินทางแล้ว”

“หา?” เยี่ยนจ้าวเกองงงัน นี่กลับเป็นสถานการณ์ที่ไม่ได้ทราบจากตอนที่พูดคุยกับหลิวเซี่ยงถง ประมุขพรรคเขาหยกแห่งเขตมหานภากลางเมื่อก่อนหน้านี้

“ไม่กี่วันมานี้ ก่อนที่จะถึงวันต่อสู้ตัดสินระหว่างจักรพรรดิแพรและทวนพระอังคาร ประมุขปฐวีได้กลับมาจากมิติต่างแดน แล้วเชิญท่านอาจารย์ไปยังเขตมหานภากลาง คล้ายมีเรื่องสำคัญ” มู่จวินอธิบาย

“ไม่เพียงแต่ท่านอาจารย์เท่านั้น ได้ยินว่าประมุขคนอื่นๆ ต่างก็ได้รับการเชิญเช่นกัน”

เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตา “เช่นนี้หมายความว่า ประมุขทั้งสิบรวมตัวกันที่เขตมหานภากลางแล้วหรือ”

ก่อนหน้านี้ตอนที่หลิวเซี่ยงถงบอกว่าหลังจากประมุขปฐวีหวังเจิ้งเฉิงกับจักรพรรดิแพรกำหนดวันนัดสู้แล้ว ก็ออกจากโลกซ้อนโลกไปพร้อมกัน ความจริงแล้วเยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกสนใจอยู่บ้าง

ประมุขทั้งสิบคอยเฝ้าอยู่บนโลกซ้อนโลกตลอดเวลา น้อยครั้งจะผละไป ต่างจากที่สามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิมักจะเดินทางอยู่ในมิติต่างแดน

ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ประมุขทิศบนที่มีร่องรอยไม่แน่นอน

ประมุขปฐวีหวังเจิ้งเฉิงแทบจะเป็นผู้ปกครองเขตมหานภากลาง ปกติแล้วจะเฝ้าอยู่ตลอด ภารกิจประจำวันของเขตมหานภากลางส่วนใหญ่ก็มีหวังเจิ้งเฉิงเป็นผู้สะสางเช่นกัน

ในฐานะลูกศิษย์ที่กษัตริย์ดินถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตัวเอง และตัวตนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่ผู้สืบทอดของสามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิ เยี่ยนจ้าวเกอคิดว่าประมุขปฐวีผู้นี้เหมือนกับผู้ดูแลใหญ่ของเขาคุนหลุน

ความจริงแล้วถือว่าถูกต้อง ในวันที่สามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิเข้าฌานไม่ก็ออกเดินทาง หวังเจิ้งเฉิงจะจัดระเบียบเขตมหานภากลาง หรือแม้แต่โลกซ้อนโลกให้เรียบร้อยมีแบบแผน

คนเช่นนี้ออกจากโลกซ้อนโลกอย่างกะทันหัน จะต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาเป็นอันขาด

และตอนนี้ไม่เพียงแต่หวังเจิ้งเฉิงเท่านั้น พวกเฉาเจี๋ย จวงเซิง หลิวเจิงกู่ก็ออกจากดินแดนที่ตนเฝ้าอยู่ ไปรวมตัวกันที่เขตมหานภากลางอย่างผิดวิสัย

เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตัวเอง “ท่านมู่ รบกวนถามสักหนึ่งประโยค ก่อนหน้าเคยมีเรื่องเช่นนี้หรือไม่”

“เคยมี” มู่จวินตอบ “ราวๆ หนึ่งร้อยปีก่อน”

เขาปั้นสีหน้าครุ่นคิด แสดงให้เห็นว่าสนใจเรื่องนี้เช่นกัน

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย คิดในใจว่า ‘จะเกี่ยวข้องกับโถงเซียนและศาสนาพุทธหรือไม่ ตามคำพูดของคนในโลกสูงเลิศนั่น สงครามระหว่างสองฝ่ายมีสภาวะรุนแรงมากขึ้นแล้ว’

‘ดูจากเรื่องนี้ ทุกๆ ร้อยปีที่สองฝ่ายสู้กัน จะเกิดจุดสูงสุดสักครั้งหนึ่ง’

เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตา ‘นานกว่าอายุขัยของคนทั่วไปราวๆ หนึ่ง ตามปกติแล้ว คนที่อายุยืนที่สุดในหมู่คนธรรมดา ก็จะมีอายุประมาณหนึ่งร้อยปี’

ก่อนหน้านี้เขาทายว่าที่ยอดฝีมือระดับสุดยอดบนโลกซ้อนโลกเช่นจักรพรรดิแพรงาม จนถึงจักรพรรดิเอกภพกำเนิดพากันมุ่งหน้าไปยังมิติต่างแดน เป็นเพราะเรื่องการต่อสู้ระหว่างโถงเซียนและศาสนาพุทธ

ตอนนี้ถึงแม้ยังคงไม่มีหลักฐานที่ปรากฏชัด แต่เยี่ยนจ้าวเกอก็แน่ใจแล้วว่าการคาดเดาเมื่อก่อนหน้านี้ของตนไม่ได้ผิด

แต่ไม่ทราบว่าหลังจากประมุขทั้งสิบไปรวมตัวกันที่เขตมหานภากลางแล้ว จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

จะอยู่บนโลกซ้อนโลกต่อ หรือว่าพากันมุ่งหน้าไปยังมิติต่างแดน!

เขาคุนหลุนอย่างน้อยก็ยังคงมีกษัตริย์เร้นลับและจักรพรรดินีเฝ้าอยู่ ในภาพรวมแล้ว สถานการณ์ของโลกซ้อนโลกยังคงปลอดภัย

กระนั้นเมื่อสถานที่แต่ละที่เช่นเขตตะวันอาคเนย์ เขตเพลิงทักษิณ และเขตสุราลัยบูรพาเฉียงไม่มีประมุขในหมู่มนุษย์คอยดูแล จะต้องเกิดความวุ่นวายขึ้นแน่

เมื่อขาดคนคอยควบคุม ผู้มีพลังและอำนาจในแต่ละที่ย่อมมีพื้นที่ให้เคลื่อนไหวมากกว่าเดิม

ทะเลหวงเจียที่เขากว่างเฉิงอยู่ จะไม่เกิดคลื่นลมมรสุมมากเกินไปนัก

หากเป็นในอดีต ไม่แน่ว่าจะมีมังกรร้ายข้ามทะเลมา

เมื่อราวๆ ร้อยปีก่อนหน้านี้ ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องได้เข้ามายังเขตของทะเลหวงเจีย

แต่ว่าในตอนที่ต่อสู้กับเขากว่างเฉิงเมื่อก่อนหน้านี้ ฆราวาสเด็ดดาวกวนลี่เต๋อ ยอดฝีมือในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้า ขั้นสะพานเซียนระท้ายเสียชีวิต ทำให้คนมากมายในเขตตะวันอาคเนย์แตกกตื่นตะลึงลาน

แม้ว่าหลายคนจะคิดว่าเป็นเพราะอานุภาพของอาวุธเซียน แต่ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร กวนลี่เต๋อที่เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าก็ตายที่นี่จริงๆ

คนส่วนใหญ่ล้วนใจเต้นระทึก ไม่กล้าเคลื่อนไหววู่วาม

จะต้องมีคนที่หมายตาอาวุธเซียนอยู่แน่นอน แต่กลับไม่กล้าบุกโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ

ส่วนคนที่อยู่นอกเขตตะวันอาคเนย์ หากคิดจะข้ามแดน กลับไม่ง่ายดายขนาดนั้น

ถึงแม้ประมุขอาคเนย์จะไม่อยู่ แต่ว่าจอมยุทธ์ในเขตตะวันอาคเนย์ก็ยังคงปฏิเสธคนนอกเองอยู่ดี

เพียงแต่เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกเสียดาย ตอนแรกเขาคิดจะฉวยโอกาสที่เข้าไปเยี่ยมเยือนประมุขอาคเนย์เฉาเจี๋ย ฟังเรื่องเกี่ยวกับมารดาของตัวเอง

ถึงอย่างไรในสายตาของเฉาเจี๋ย เยี่ยนจ้าวเกอที่ได้ไปยังโถงเซียนมาแล้วก็สามารถ ‘ปล่อยมือจากหม้อแตก’ ได้แล้ว

‘เสียดาย น่าเสียดายจริงๆ…’ เยี่ยนจ้าวเกอมีใบหน้าเสียดายยิ่ง

………………..