เซียวหลิงโปเข้าใจแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้านี้คือลูกน้องเก่าของผู้ตรวจการใหญ่ ระหว่างทางที่มายังคิดอยู่เลย ว่าถ้าท่านนี้ไม่ให้ความร่วมมือแล้วเขาลงมือโหดร้าย ก็ไม่รู้ว่าฝั่งผู้ตรวจการใหญ่จะไม่พอใจอะไรหรือเปล่า ตอนนี้ย่อมโล่งอกแล้ว ขณะเดียวกันก็มีความมั่นใจ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ทำเรื่องแบบนี้ กังวลว่าจะมีเหตุไม่คาดคิด ตอนนี้พอมีผู้ตรวจการใหญ่คุมแล้วก็ย่อมไม่ต้องกังวล
“รับทราบ!” พวกเซียวหลิงโปเอ่ยรับคำสั่ง
ผู้จัดการเซี่ยแอบชำเลืองมองเหมียวอี้สองครั้ง ตอนที่เรื่องราวยังไม่เปิดเผยจนถึงที่สุด เขาก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรกันแน่ แต่พอได้เห็นเหมียวอี้ปรากฏตัวที่นี่ ในใจเขาก็แอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว ทำไมเจ้าหนุ่มนี่ถึงมาโผล่ที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนอีก นึกถึงเหตุการณ์เลือดไหลนองเป็นแม่น้ำในปีนั้นที่ท่านนี้ยังอยู่ที่นี่สิ!
พอเห็นเหมียวอี้ปรากฏตัวที่นี่ เขาก็สงสัยแล้วว่ากำลังจะเกิดเรื่องที่ตลาดสวรรค์
ส่วนฝูชิงก็บอกเซียวหลิงโปว่า “ด้านนอก ผู้บัญชาการสี่เขตเมืองกำลังรออยู่ ออกไปแล้วบอกตรงๆ ก็พอ”
เซียวหลิงโปกุมหมัดคารวะเขาอีกครั้ง จากนั้นก็รีบนำคนออกไป ไม่กล้าชักช้าเสียเวลา
เหมียวอี้เดินลงบันได กุมมือสองข้างตรงหน้าท้อง เดินช้าๆ ไปทางตึกศาลา โดยมีทุกคนเดินตามหลัง
“พี่รอง บอกพวกพี่ใหญ่สักหน่อยเถอะ ตอนนี้คนของข้าคงจะไปหาพวกเขาแล้ว ให้พวกเขาช่วยเหลือ อย่าทำอะไรขัดใจกัน”
“อืม!” ฝูชิงพยักหน้า แล้วรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ
“เจาชิง บอกพวกอวี้หลิงเจินเหริน บอกให้พวกเขามาพบผู้บัญชาการใหญ่ที่ตำหนักคุ้มเมือง” เหมียวอี้เดินไปข้างหน้าช้าๆ พร้อมออกคำสั่ง
“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อเช่นกัน
นอกตำหนักคุ้มเมือง พวกอวี้หลิงเพิ่งจะมาถึงนอกตำหนักคุ้มเมือง ขณะกำลังมองตำหนักคุ้มเมืองอย่างปลงอนิจจัง จู่ๆ ก็เห็นในตำหนักคุ้มเมืองมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเหาะไปทางเขตเมืองทั้งสี่
ในขณะเดียวกันนี้เอง อวี้หลิงเจินเหรินก็ได้รับข้อความจากหยางเจาชิงเช่นกัน หลังจากติดต่อเสร็จแล้วกำระฆังดาราไว้ เขาก็ถ่ายทอดเสียงบอกคนที่เหลือ “หนิวโหย่วเต๋อให้พวกเราไปพบฝูชิงที่ตำหนักคุ้มเมือง”
“ศิษย์พี่ เขาไม่ได้บอกเหรอว่าไปเจอฝูชิงเรื่องอะไร?” อวี้เลี่ยนเจินเหรินแปลกใจ
อวี้หลิงเจินเหรินส่ายหน้า แล้วขมวดคิ้วครุ่นคิด
อวี้ซวีเจินเหรินยกมือขึ้น “ไปก็ไปเถอะ เขาคงไม่ทำร้ายพวกเราหรอก”
ทั้งสี่เดินตรงไปที่ตีนบันไดของตำหนักคุ้มเมือง แล้วขอให้ทหารยามไปรายงาน ผลปรากฏว่าผ่านไปได้ตลอดทางอย่างราบรื่น มีคนพาพวกเขาไปที่ใต้ตึกศาลาโดยตรง จากนั้นก็เชิญให้พวกเขาขึ้นไปเอง
ทั้งสี่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา สุดท้ายก็ขึ้นไปข้างบนตลอดทาง
พอขึ้นมาบนตึกแล้ว ก็เห็นเหมียวอี้กำลังยิ้มให้เขาอย่างเป็นกันเอง ทั้งสี่อึ้งไปชั่วขณะ ต่างก็นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะมาอยู่ที่นี่ เป่าเหลียนเป็นคนเดียวที่ในดวงตาสื่อหลากหลายอารมณ์
“คารวะผู้ตรวจการใหญ่!” จากนั้นทั้งสี่ก็ทำความเคารพพร้อมกัน เหมียวอี้ในตอนนี้ไม่ใช่เหมียวอี้ในอดีตอีกแล้ว เมื่อเจอกันอีกครั้งก็ไม่กล้าเสียมารยาทใส่
“ไม่ต้องมากพิธี!” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ พลางผายมือ “ขออภัยทุกคนด้วย เมื่อครู่นี้หนิวอุบไว้”
“ไม่เป็นไร!” พวกอวี้หลิงหัวเราะกลบเกลื่อน มีเพียงเป่าเหลียนที่มีสีหน้าเรียบเฉย จึงดึงดูดความสนใจเหมียวอี้
เมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องที่เจ้าสำนักอวี้หลิงพูดเรื่องแต่งงานของทั้งสองในปีนั้น เพียงแต่เรื่องผ่านไปนานมากแล้ว เหมียวอี้ก็แค่ยิ้มเวลานึกขึ้นได้ แต่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
“เป่าเหลียน พวกเราไม่เจอกันนานแล้ว ไม่รู้ว่ายังจำภาพที่ตำหนักคุ้มเมืองในปีนั้นได้หรือเปล่า?” เหมียวอี้ชี้ไปที่นอกหน้าต่าง “ตำหนักคุ้มเมืองสร้างใหม่หลายรอบแล้ว เพียงแต่รูปแบบยังเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนไป ทำให้คนรำลึกถึงมาก”
“ออกไปนานแล้ว จำอะไรไม่ได้แล้ว” เป่าเหลียนตอบเสียงเรียบ
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ “ยังโมโหเรื่องในปีนั้นอยู่อีกเหรอ? เจ้าเองก็รู้สถานการณ์ในปีนั้น ขนาดข้ายังปกป้องตัวเองลำบากเลย ไม่อยากให้เจ้ามาลำบากไปด้วย ข้าถึงได้ไล่เจ้าออกไป แล้วอีกอย่าง เรื่องเกาเหยียนข้าก็ช่วยเจ้าระบายความโกรธแล้วด้วย จะบอกว่าข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้ครั้งหนึ่งก็ไม่ถือว่าพูดเกินไป”
เป่าเหลียนยังกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ “ข้าไม่ได้ขอให้ท่านช่วยเสียหน่อย!”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ทำสีหน้าแปลกๆ หยางเจาชิงมองค้อนนางด้วยสายตาเย็นเยียบ ส่วนฝูชิงก็ยิ้มอ่อน ชิงเยว่กับซิงสบตากันแวบหนึ่ง
อวี้หลิงเจินเหรินตะคอกเป่าเหลียน “พูดอะไรของเจ้า? ยังไม่รีบขอโทษผู้ตรวจการใหญ่อีก”
เป่าเหลียนเม้มริมฝีปากแน่น เห็นได้ชัดว่าไม่อยากเอ่ยปาก
“พอแล้ว!” เหมียวอี้ยกมือห้าม ไม่อยากพัวพันอยู่กับเป่าเหลียนเช่นกัน “เจินเหรินทั้งสามอยู่ก่อน คนอื่นๆ ออกไปก่อนเถอะ”
เป่าเหลียนเป็นคนแรกที่หันหน้าหนีแล้วเดินออกไป ฝูชิง ชิงเยว่และซิงก็ลงไปแล้วเช่นกัน นอกจากหยางเจาชิงก็มีแค่เจินเหรินทั้งสามที่อยู่ข้างๆ
“นั่งลงคุยกันเถอะ!” เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ แล้วตัวเองก็นั่งลงหัวโต๊ะ ส่วนหยางเจาชิงก็ยืนอยู่ข้างๆ เขา
อวี้หลิงเจินเหรินที่นั่งลงทีหลังถามว่า “ไม่ทราบว่าผู้ตรวจการใหญ่เรียกพวกเรามาเพราะมีอะไรจะกำชับ?”
เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ที่จริงก็ไม่มีอะไร เป็นเรื่องของสำนักลมปราณ เคยมีเรื่องของเกาเหยียนแล้ว ถ้าสำนักลมปราณจะบริหารร้านขายของชำต่อไปก็ไม่เหมาะสมแล้ว ข้าอยากจะให้สำนักลมปราณถอนตัวจากร้านขายของชำอย่างเป็นทางการ ส่งร้านขายของชำออกมา แล้วพวกเราค่อยสร้างร้านแบบนี้ขึ้นมาใหม่ เป็นยังไง?”
ศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่ก หลังจากเงียบไปนาน อวี้ซวีเจินเหรินก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ผู้ตรวจการใหญ่ เกรงว่าจะถอนตัวไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น หลายปีมานี้ร้านขายของชำซื่อตรงมีอำนาจหลายฝ่ายคานกันอยู่ ช่องทางการบริหารก็อยู่ในมือสำนักลมปราณมาตลอด ถ้าสำนักลมปราณถอนตัวเมื่อไร การซื้อขายของร้านขายของชำซื่อตรงก็จะพังไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง จะส่งผลกระทบกับผลประโยชน์ของคนไม่น้อยเลย แล้วใครจะยอมมาติดต่อกับพวกเรา?”
เหมียวอี้โบกมือ “เรื่องนี้พวกท่านไม่ต้องกังวล ข้าย่อมมีวิธีการแก้ไขอยู่แล้ว”
ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามสบตากันแวบหนึ่ง อวี้ซวีเจินเหรินถามอย่างสงสัยว่า “เป็นการบริหารในขอบเขตเล็กๆ หรือเป็นการบริหารตอนร้านขายของชำกระจายสาขาไปที่ตลาดสวรรค์ทั้งใต้หล้า?”
“แน่นอนว่ารูปแบบไม่เปลี่ยน บริหารเหมือนตอนที่ร้านขยายสาขาแล้ว” เหมียวอี้กล่าว
อวี้ซวีเจินเหรินส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ผู้ตรวจการใหญ่ แบบนี้ดูจะเพ้อฝัน ทั้งใต้หล้ามีตลาดสวรรค์มากขนาดนั้น แค่ซื้อร้านค้าร้านเดียว ค่าใช้จ่ายก็สิ้นเปลืองจนทำให้รับไม่ไหวแล้ว ถ้าสำนักลมปราณถอนตัวออกจากร้านขายของชำซื่อตรงแล้วทำร้ายคล้ายๆ กันออกมาแข่ง ก็จะต้องโดนอำนาจกดดันแน่นอน”
เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ “คิดมากไปแล้ว เรื่องร้านค้าข้าจะแก้ไขปัญหาเอง เรื่องปกป้องร้านค้าข้าก็จะรับผิดชอบเอง ไม่ต้องให้สำนักลมปราณกังวล”
“เงินทุนล่ะ? ถ้าเปิดร้านค้ามากมายขนาดนั้น แล้วเงินทุนที่ใช้รับซื้อสินค้าล่ะ?” อวี้ซวีเจินเหรินถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “ก็อย่างที่ท่านบอกไว้ หลายปีมานี้การบริหารของร้านขายของชำซื่อตรงอยู่ในมือพวกท่านมาตลอด พอพวกท่านถอนตัวไป การซื้อขายของร้านขายของชำก็จะพังไปครึ่งหนึ่ง เพราอะไรล่ะ? เพราะแหล่งลูกค้าที่สำนักลมปราณสะสมมาหลายปีก็คือต้นทุนที่ใหญ่ที่สุดไง! ทุกคนยังจำได้มั้ยว่าในปีนั้นร้านขายของชำซื่อตรงก่อตั้งกิจการขึ้นมายังไง? ข้ายังจำได้ชัดเจนเลย ตอนนั้นเงินทุนก็ไม่มาก นำสินค้าเข้ามาก่อน พอขายได้แล้วค่อยจ่ายเงิน ตอนที่มีปัจจัยเหมือนในปีนั้นยังสร้างร้านขายของชำขึ้นมาได้เลย ตอนนี้ต่อให้ปัจจัยไม่เยอะ แต่ก็ดีกว่าในนั้นใช่มั้ยล่ะ? เริ่มต้นใหม่ก็แล้วกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก!”
ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามเงียบไปพักหนึ่ง เจ้าสำนักอวี้หลิงก็กล่าวอย่างลังเล “ผู้ตรวจการใหญ่ ร้านขายของชำจะต้องส่งต่องานกันตามปกติ ถ้าจบธุรกรรมไม่ชัดเจน จะต้องมีคนมาหาเรื่องแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นจะมีคนมาหาว่าเราฮุบเงินทอง”
เหมียวอี้ยิ้มตอบ “ข้าบอกแล้ว จะมีคนมาจบการทำธุรกรรมกับพวกท่าน ข้าจะทิ้งปัญหาคาราคาซังไว้ได้ที่ไหนล่ะ แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ข้าต้องพูดให้ชัดเจนก่อน หลังจากสร้างร้านค้าใหม่ขึ้นมาแล้ว สำนักลมปราณครองหุ้นสองส่วน ข้าครองแปดส่วน!”
นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามจำเป็นต้องถ่ายทอดเสียงคุยกันพักหนึ่ง แล้วสุดท้ายก็ให้เจ้าสำนักอวี้หลิงพูดสรุปว่า “ขอเพียงผู้ตรวจการใหญ่แก้ปัญหาที่เพิ่งพูดเมื่อครู่นี้ได้ สำนักลมปราณก็ยินดีทำงานให้ผู้ตรวจการใหญ่!”
“ได้! งั้นตกลงตามนี้” เหมียวอี้ถูไม้ถูมือพลางหัวเราะลั่น ช่องทางรายได้ดีๆ ในปีนั้นถูกกลุ่มผู้มีอำนาจแบ่งไปต่อหน้าต่อตา เขาเรียกได้ว่าต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม แต่ก็ไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่าย จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่มีกำลังที่จะแย่งสิ่งที่เสียไปในปีนั้นกลับคืนมาได้ เขากำลังดึงฟืนที่กำลังไหม้ออกจากใต้หม้อเพื่อก่อเตาใหม่ ใช้อีกวิธีการเพื่อแย่งกลับมา นี่คือความมุ่งมาดปรารถนาดั้งเดิมของเขา หยางชิ่งไม่รู้
ในขณะนี้เอง ด้านนอกตลาดสวรรค์ก็มีเสียงดังวุ่นวายดังมา ความเคลื่อนไหวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นเดือดพล่าน
ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามตกใจ มองไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
อวี้เลี่ยนเห็นเหมียวอี้ยกถ้วยน้ำชาดื่มอย่างสบายๆ เหมือนคนไม่เป็นอะไร จึงอดไม่ได้ที่จะเตือนว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ เหมือนตลาดสวรรค์จะเกิดเรื่องแล้วนะ”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ไม่ต้องกังวล เป็นเรื่องเล็กน้อย ข้าส่งคนไปยึดทรัพย์ในร้านค้าของตระกูลอิ๋งเอง” พอพูดจบก็เสริมอีกว่า “ไม่ใช่แค่ที่นี่นะ แต่เป็นร้านค้าของตระกูลอิ๋งในตลาดสวรรค์ทุกแห่ง ยึดทรัพย์หมดแล้ว แต่น่าเสียดายที่เก็บของพวกนั้นเข้ากระเป๋าตัวเองไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องกลุ้มใจเรื่องเงินทุนของร้านค้าแล้ว!”
“…” ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามงงเป็นไก่ตาแตกทันที
สถานการณ์เหมือนกับตลาดสวรรค์แห่งอื่น ร้านค้าทั้งหมดของตระกูลอิ๋งถูกยึดทรัพย์ไปแล้วจริงๆ ยึดทรัพย์ จับคน ปิดร้าน ปิดเมือง ติดประกาศ รีบอ้างคำสั่งราชินีสวรรค์เพื่อรวบรวมคนในร้านค้าทั้งเล็กทั้งใหญ่ รวมทั้งพ่อค้าต่างถิ่นที่สัญจรไปมาด้วย ล้อมร้านค้าทั้งหมดของตระกูลโค่ว ตระกูลก่วงและตระกูลฮ่าวเอาไว้ สั่งคนในร้านค้าว่าเข้าได้เท่านั้น ออกไม่ได้
แน่นอน คนเยอะก็ไร้ระเบียบอย่างเลี่ยงไม่ได้ บางส่วนก็หัวหลุดลงพื้นแล้ว
แน่นอนว่าสถานการณ์ของตลาดสวรรค์บางแห่งนั้นต่างออกไป ตอนที่เกิดเรื่อง ผู้บัญชาการใหญ่บางคนไม่อยู่ที่ตลาดสวรรค์ แต่โชคดีที่คนของตระกูลเซี่ยโห้วให้ความร่วมมือเรื่องข่าวสาร ถ้าผู้บัญชาการใหญ่ไม่อยู่ ก็ลงมือควบคุมพวกผู้บัญชาการไว้ก่อนแล้วค่อยลงมือ โดยรวมนับว่าราบรื่น
จวนท่านปู่สวรรค์ เซี่ยโห้วลิ่งที่สวมชุดขาวดุจหิมะยังคงบรรเลงกู่ฉินอย่างเต็มที่
เว่ยซูโค้งตัวถ่ายทอดเสียงรายงานอยู่ข้างๆ “นายท่าน หนิวโหย่วเต๋อควบคุมสถานการณ์ที่ตลาดสวรรค์ไว้ได้อย่างราบรื่น”
คล้ายกับเสียงอาวุธกระทบกัน เซี่ยโห้วลิ่งกวาดมือบนสายฉิน หยุดดีดฉินแล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “สงสัยคนที่หนิวโหย่วเต๋อส่งไปจะทำงานได้ประสิทธิภาพสูงมาก ดูออกเลยว่าตั้งใจเลือกคนมาก…อดบ่นไม่ได้จริงๆ” ยิ้มบางๆ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับเหมียวอี้
พอติดต่อได้แล้ว เหมียวอี้ก็บอกว่า : ท่านปู่สวรรค์ ตอนนี้ควบคุมตลาดสวรรค์ได้อย่างราบรื่นแล้ว
เซี่ยโห้วลิ่ง : ข้ารู้แล้ว
เหมียวอี้ : ท่านปู่สวรรค์ ถ้าสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง จะให้คนของท่านกับคนข้างข้าร่วมมือกันต้านศัตรูได้หรือเปล่า?
เซี่ยโห้วลิ่งเลิกคิ้ว : ไม่ใช่ว่าไม่ช่วยเจ้า แต่พวกเราคุยกันไว้ก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ เจ้าเป็นตัวหลัก ข้าเป็นตัวเสริม คนของข้าจะไม่กระโดออกมาอย่างเปิดเผย ข้าคิดว่าข้าไม่ได้ผิดสัญญานะ?
เหมียวอี้ : ท่านปู่สวรรค์ ท่านน่าจะเข้าใจนะ สิ่งที่อันตรายที่สุดยังอยู่ตอนหลัง ทัพที่ตั้งค่ายอยู่ใกล้ๆ ได้ข่าวแล้วจะตามมาทันที ถ้าโดนบีบจนต้องสู้กันขึ้นมา คนที่ข้ากระจายไว้ที่ตลาดสวรรค์แต่ละแห่งนั้นน้อยเกินไป
เซี่ยโห้วลิ่ง : สถานการณ์แบบนี้ เจ้าก็น่าจะรู้ตั้งแต่แรก อย่าบอกนะว่าจนป่านนี้แล้วเจ้าเพิ่งรู้ตัว เล่นลูกไม้อะไรของเจ้า?
………………