บทที่ 1147 กลับตัวกลับใจแล้วว่างั้น?

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,147 กลับตัวกลับใจแล้วว่างั้น?

หลินเป่ยเฉินกำลังโกรธแค้นเป็นอย่างมาก

เมื่อสักครู่ เขากำลังศึกษาวิธีการสร้างค่ายอาคมกระบี่จากผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักกระบี่มนตรา และจังหวะที่กำลังกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจเพราะสามารถสร้างค่ายอาคมได้สำเร็จนั้นเอง ไม่ทราบเลยว่าเป็นตัวชั่วร้ายผู้ใดที่เปิดประตูมิติออกมา มิหนำซ้ำยังมีกระบี่เล่มหนึ่งพุ่งเข้าใส่ศีรษะของหลินเป่ยเฉินอีกด้วย…

โชคดีที่หลินเป่ยเฉินสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว

มิเช่นนั้น ศีรษะของเขาก็คงถูกเสียบทะลุไปแล้ว

กระบี่ปริศนาเล่มนั้นพุ่งเข้ามาด้วยมวลพลังที่น่าหวาดกลัว

ทำให้ที่คาดศีรษะทองคำของเขาขาดสะบั้น

หากในกระบี่มีพลังรุนแรงมากกว่านี้ เส้นผมจำนวนหนึ่งของเด็กหนุ่มก็อาจถูกตัดแหว่งไปก็เป็นได้

หลินเป่ยเฉินทั้งตกตะลึง หวาดกลัว และโกรธแค้นในเวลาเดียวกัน เขาไม่เสียเวลาคิดอะไรมาก พุ่งกระโจนเข้าใส่ประตูมิติเพื่อคิดบัญชีแค้นกับเจ้าของกระบี่ทันที…

ดังนั้นเขาจึงคิดไม่ถึงว่าตนเองจะมาปรากฏกายอยู่ในสุสานแห่งนี้

เด็กหนุ่มจำได้ดีว่า เมื่อครั้งสุดท้ายที่ตนเองมาที่นี่ เขาได้เก็บกู้กระบี่เพลิงโลกันตร์ขึ้นมาจากก้นบ่อลาวาแห่งนี้เอง

หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้อง… ก็คืออากวงเป็นผู้เก็บกู้ขึ้นมาต่างหาก

แต่รายละเอียดไม่ใช่สิ่งสำคัญ

สิ่งสำคัญคือกระบี่เล่มนั้นกลายเป็นของเขาแล้ว

เอ่อ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญในตอนนี้

หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปยังเจี๋ยนอู่จีที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง

คนผู้นี้มีลักษณะแปลกประหลาดมาก รูปร่างหน้าตาธรรมดา สวมใส่เสื้อคลุมที่เรียบง่าย ดูถ่อมตัวแต่กลับแฝงไว้ด้วยความหรูหรา ลวดลายที่ประดับอยู่บนเสื้อคลุมน่าจะเป็นคนของสำนักมหากระบี่ เพียงมองดูแวบเดียว หลินเป่ยเฉินก็รู้แล้วว่าตาเฒ่าผู้นี้จะต้องเป็นคนสำคัญของสำนักมหากระบี่แน่นอน…

และทันทีที่หลินเป่ยเฉินปรากฏตัวในสุสานใต้ดิน ประตูมิติสีขาวดำที่ปรากฏอยู่ทางด้านหลังของเขาก็หายวับไป

ในเวลาเดียวกันนี้

เจี๋ยนอู่จีจ้องมองกระบี่ของตนเองที่กำลังสั่นสะท้านอยู่ในมือของหลินเป่ยเฉินด้วยความไม่เข้าใจ หัวคิ้วของชายชราขมวดมุ่น เขาชี้มือออกไปที่กระบี่และกล่าวเสียงดังว่า “ส่งกระบี่ของข้าคืนมา”

กระบี่โบราณที่อยู่ในมือของหลินเป่ยเฉินยิ่งเพิ่มแรงสั่นสะเทือนมากยิ่งขึ้น

“เป็นของเจ้าจริง ๆ ด้วยสินะ…”

หลินเป่ยเฉินใช้สองมือกุมด้ามจับกระบี่อย่างแนบแน่น รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะว่า “เจ้าชั่วร้ายเกินไปแล้ว คิดใช้กระบี่เล่มนี้ลอบสังหารข้า… เจ้าต้องชดใช้”

เด็กหนุ่มยกมือชี้ไปที่ศีรษะของตนเอง “ที่คาดศีรษะทองคำของข้าเสียหาย มันมีมูลค่าเป็นศิลาบูชาถึงหนึ่งหมื่นก้อน ได้โปรดจ่ายคืนมาเดี๋ยวนี้”

เจี๋ยนอู่จีเบิกตาโตด้วยสีหน้าประหลาดใจ

เพราะกระบี่โบราณที่ถืออยู่ในมือของหลินเป่ยเฉินนั้น คนธรรมดาไม่สามารถถือได้เด็ดขาด…

เด็กคนนี้มีพลังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

“ไม่ตอบหมายความว่าอย่างไร?”

เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นว่าชายชราไม่ยอมตอบอะไรเลยสักคำ จึงกล่าวต่อ “เฒ่าบัดซบ หากเจ้าไม่คิดชดใช้ค่าเสียหาย ข้าก็จะไม่คืนกระบี่เล่มนี้กลับไปเด็ดขาด อย่าหาว่าข้าไร้เหตุผลก็แล้วกัน ในเมื่อนี่เป็นกระบี่ของเจ้า ก็ถือว่าเราหายกันแล้ว”

พูดจบ มือของเด็กหนุ่มก็เป็นประกายวูบวาบ

แล้วกระบี่ของเจี๋ยนอู่จีก็หายวับไป

มันถูกเก็บเอาไว้ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์

โชคดีที่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา หลินเป่ยเฉินใช้จ่ายศิลาบูชาและนำผลกวนเจี๋ยออกมาแจกจ่ายให้ผู้อื่นได้รับประทานจำนวนมาก มิฉะนั้นพื้นที่เก็บของในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ก็คงไม่เพียงพอเก็บกระบี่เล่มนี้เป็นแน่แท้

และเมื่อกระบี่โบราณที่สั่นไหวอย่างรุนแรงเข้าไปอยู่ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ มันก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นไฟล์รูปภาพ .jpg รูปหนึ่ง หาได้มีพลังทำลายล้างรุนแรงอีกไม่

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าบางครั้งการโลภมากเกินไป ก็อาจทำให้ตนเองถึงคราวตายได้เช่นกัน”

เจี๋ยนอู่จีผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักมหากระบี่ระเบิดเสียงหัวเราะเยาะหยัน “เด็กน้อย กระบี่เล่มนั้นเป็นอาวุธขั้นเซียนระดับสูง เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงนำไปเก็บไว้ในวัตถุเก็บของวิเศษ? ช่างโง่เขลาจริง ๆ หากเจ้ายังไม่อยากตาย รีบนำกระบี่ของข้าออกมาเดี๋ยวนี้…?”

แต่แล้วสีหน้าเหยียดหยามของชายชราก็แปรเปลี่ยนเป็นความตกตะลึง

เพราะภาพที่เจี๋ยนอู่จีจินตนาการเอาไว้ก็คือกระบี่ของตนเองจะต้องแทงทะลุออกมาจากวัตถุเก็บของวิเศษในร่างกายของหลินเป่ยเฉิน

แต่เหตุการณ์นั้นกลับไม่เกิดขึ้น

ไม่ว่าเจี๋ยนอู่จีจะพยายามเรียกกระบี่ของตนเองกลับคืนมาเพียงใด กระบี่ที่เป็นของศักดิ์สิทธิ์ประจำสำนักมหากระบี่ของเขามาหลายชั่วอายุคนกลับไม่ตอบสนองอีกแล้ว

นี่แทบไม่ต่างจากถูกผู้คนขโมยของไปอย่างซึ่งหน้า

เป็นไปได้อย่างไร?

เจี๋ยนอู่จีทั้งตกใจและโกรธแค้น

ในเวลาเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินก็เริ่มจับต้นชนปลายได้แล้วว่ากำลังเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น

เขาเห็นฉู่อวิ๋นซุนกับลู่กวนไห่เช่นเดียวกับสตรีที่สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดจากคณะทูตของกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง…

ทุกคนกำลังต่อสู้อย่างหนักหน่วง

และฝ่ายตรงข้ามก็มีความแข็งแกร่งไม่แพ้กัน

ว่าแต่พวกเขาจะสู้กันไปเพื่ออะไร?

นี่คือคำถามสำคัญที่ปรากฏขึ้นในใจของหลินเป่ยเฉิน

หลังจากนั้น เขาก็เห็นเสี่ยวหราน เจ้าสำนักกระบี่เมฆาพลิ้วพร้อมด้วยลูกศิษย์จำนวนมากยืนอยู่ด้านหลัง

พวกเขาเป็นเพียงมือกระบี่ชนชั้นสามัญประจำเมืองไป๋หยุน โดยรวมมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์เท่านั้น แต่ทุกคนก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม พวกเขาเป็นเสมือนสุนัขเฝ้าประตูไม่ยอมปล่อยให้มีผู้บุกรุกผ่านเข้าสู่ปลายสะพานอีกด้านหนึ่งไปแม้แต่คนเดียว…

หืม?

เสี่ยวหรานมีสภาพย่ำแย่พอสมควร

แขนขาดไปข้างหนึ่ง ใบหน้าก็ซีดขาว

ยืนแทบไม่ไหวแล้ว

สีหน้าเศร้าโศกไม่ต่างจากคนที่เพิ่งเห็นบุตรชายของตนเองตายไปต่อหน้าต่อตา…

“รีบหนีไป”

เมื่อเสี่ยวหรานหันมาเห็นหลินเป่ยเฉิน เขาก็จดจำเด็กหนุ่มได้และร้องตะโกนออกมาทันที “เร็วเข้า รีบไปจากที่นี่… รีบหนีไป!”

หนีไป

รีบหนีไป

หลินเป่ยเฉินเป็นมือกระบี่ยอดอัจฉริยะที่แท้จริงของเมืองไป๋หยุนในรอบหลายสิบปี

เด็กหนุ่มผู้นี้อาจเป็นความหวังสุดท้ายที่จะช่วยกอบกู้ศักดิ์ศรีของเมืองไป๋หยุนกลับคืนมาได้ในอนาคต

ดังนั้น ถึงเขาจะรู้ว่าหลินเป่ยเฉินมีพลังต่อสู้เทียบเท่าขั้นเซียนระดับ 6 แต่ถึงอย่างไรเสี่ยวหรานก็มองเด็กหนุ่มเป็นกลุ่มคนรุ่นหลัง ไม่สมควรต้องมาเสี่ยงตายในสงครามครั้งนี้เลย

“เฮ้ย สุนัขรับใช้อันดับหนึ่งของฉู่อวิ๋นซุน ทำไมถึงได้มาห่วงใยเราได้วะเนี่ย?”

หลินเป่ยเฉินตกใจเล็กน้อย

ก็อีกฝ่ายเป็นคนชั่วไม่ใช่หรือ?

หรือว่าจะล้างมือแล้ว?

กลับตัวกลับใจแล้วว่างั้น?

เฮ้อ สงสัยพวกเขาคงได้แรงบันดาลใจในการกลับตัวเป็นคนใหม่จากเราแน่ ๆ เลย

หลินเป่ยเฉินคิดได้เช่นนี้ก็ยิ้มออกมาอย่างร่าเริง แต่ยังไม่ทันได้ส่งเสียงทักทายผู้ใด ผู้มีพลังขั้นเซียนระดับ 4 จากสำนักมหากระบี่กลุ่มหนึ่งก็ควงกระบี่ตรงเข้ามา จู่โจมใส่พวกของเสี่ยวหรานด้วยความดุดันอำมหิต…

เอ๊ะ?

นี่ใจคอคนของสำนักมหากระบี่เหล่านั้นคิดจะสังหารพี่น้องร่วมเมืองของหลินเป่ยเฉินต่อหน้าต่อตาเขาเชียวหรือ?

ไม่กลัวตายกันบ้างหรืออย่างไร?

ไม่คิดว่ามันไร้ยางอายมากเกินไปหน่อยหรือ?

หรือว่าการแสดงความแข็งแกร่งของเขาบนยอดเขาหลุนเจี๋ยนเฟิงยังไม่น่ากลัวมากพอ?

หลินเป่ยเฉินโคจรพลังปราณธาตุทองคำ

วูบ! วูบ! วูบ!

บรรดากระบี่ที่อยู่ในมือของซากศพบนสะพานหินพลันลอยขึ้นไปในอากาศ พวกมันพุ่งตัวเป็นลำแสงสีทองคำ บินฉวัดเฉวียนด้วยความปราดเปรียวเป็นอย่างยิ่ง

ในเวลาเดียวกันนี้ กระบี่ในมือของคนจากสำนักมหากระบี่ก็เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง ทันใดนั้น พวกมันก็หลุดออกจากมือและพุ่งแทงใส่ใบหน้าของผู้เป็นเจ้าของกระบี่

“อ๊ากกก…!”

เสียงร้องโหยหวนดังระงม เหล่าผู้มีพลังขั้นเซียนระดับ 4 ของสำนักมหากระบี่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถึงแก่ความตายไปเสียแล้ว

กระบี่หลายสิบเล่มปักใส่ร่างกายของคนกลุ่มนั้นอย่างหนาแน่น

แทบจะกลายเป็นเม่นตัวหนึ่ง