ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 201 นกกระเรียนนำลมฝนมาสู่ค่ำคืน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

พลังศักดิ์สิทธิ์อันบ้าคลั่งนั้นยังไม่ทันจะตกลงมาถึงตัวบ้าน แต่ลมฝนก็พลันมาถึงก่อนแล้ว

ลมพายุที่กรีดร้องหอบม้วนเอาทรายสีเหลืองที่อยู่บนพื้นขึ้นมาเป็นพายุ มันกระจายไปรอบด้านอย่างต่อเนื่อง ราวกับมาถึงยังพื้นที่รกร้างก็มิปาน

ราชามารยืนอยู่บนผืนทรายสีเหลือง แววตามืดมนยิ่งนัก สีหน้าเขาดูซีดเผือดลงมาก

แต่นั่นไม่ได้เป็นเพราะหวาดกลัว แต่เป็นเพราะภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ เขากำลังทำให้เลือดของตนเดือดพล่านขึ้นมา หลังจากนั้นจึงเริ่มแผดเผาอย่างบ้าคลั่ง

ลมปราณที่เย็นเฉียบและหนาแน่นพรั่งพรูออกมาจากร่างมารของเขา ก่อนพุ่งออกไปถึงผืนฟ้า

ผมสีดำของเขากระจายตัวอยู่บนแผ่นหลัง โบกสะบัดไปพร้อมกับพายุทรายนั่น ราวกับอสรพิษนับพันตัวเลยทีเดียว

เสื้อคลุมปีศาจเปล่งประกายแสงวิบวับออกมา ดูภายนอกเหมือนกับเปลวไฟไร้อุณหภูมิที่กำลังลุกโชนอยู่

ตามไฟเย็นที่กำลังกระจายตัวไป ลมปราณปีศาจค่อยๆ ปกคลุมครึ่งหนึ่งของลานบ้านอย่างรวดเร็วโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ต้นไม้ที่ยืนต้นอย่างโดดเดี่ยวอยู่ต้นนั้น

สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดก็คือ สีรัตติกาลค่อยๆ ทยอยเข้าปกคลุม ณ ที่แห่งนั้น

สีรัตติกาลก็คือความหนาวเย็นเช่นนั้น มันเต็มไปด้วยลมปราณแห่งความเงียบงันและมืดมิด มันแสดงให้เห็นถึงลำดับขั้นตอนที่เคร่งขรึมและโหดร้ายที่สุด

พลังที่ส่องสว่างโชติช่วงนั้น กลับให้ความอบอุ่นเสียอย่างนั้น หรือแม้แต่จะพูดได้ว่ามันค่อนข้างร้อนเลยทีเดียว ภายนอกของความศักดิ์สิทธิ์มีลมปราณของสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตชีวาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอยู่

ตัวบ้านด้านที่มีบริเวณติดกับพื้นที่ของตระกูลเซี่ยงนั้น พื้นที่ไม่น้อยเลย เมื่อเปรียบเทียบกับลมปราณที่ยิ่งใหญ่สองสายนี้กลับเทียบกันไม่ได้เลย

ทันใดนั้น ก็ถูกปกคลุมไปด้วยลมปราณสองสายนี้

ด้านหนึ่งคือแสงแห่งรัตติกาลอันไร้ที่สิ้นสุด

อีกด้านคือแสงสว่างไร้พรมแดน

หลังจากนั้นพวกมันก็ได้พบกัน

หากว่ากันตามหลักการแล้ว หลังการพบกันของลมปราณที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงสองสายนี้ ก็ควรจะก่อให้เกิดเหตุการณ์ฟ้าถล่มดินทลายอย่างรุนแรง

แต่ภาพนั้นกลับไม่ได้เกิดขึ้น ตรงกันข้าม ทุกสิ่งล้วนเงียบสงบเสียอย่างนั้น หรือแม้แต่จะพูดได้เลยว่ามันสงบนิ่งมาก

แม้แต่ปลาที่ว่ายอยู่ในแม่น้ำบนภูเขาที่อยู่ใต้หน้าผาก็ล้วนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย

มีเพียงลูกแกะบนเนินเขาเท่านั้นที่เอาแต่มองท้องฟ้าอันสับสน พวกมันไม่เข้าใจว่าเหตุใดกลางวันและกลางคืนจึงปรากฏออกมาพร้อมกัน

ลมปราณสองสายนี้ล้วนเป็นลมปราณที่บริสุทธิ์ที่สุดระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์

ต้นกำเนิดของความยิ่งใหญ่ที่เห็น ก็คือความแตกต่างที่สำคัญของสิ่งที่เล็กที่สุด

การแข่งขันที่แท้จริงมักจะเกิดขึ้น ณ จุดที่บอบบางที่สุด อาทิเช่น เม็ดทรายหนึ่งเม็ด หรือไม่ก็ลมหนาวเฮือกหนึ่ง

อย่างน้อยๆ ในระยะเวลาอันสั้นนี้ ก็ยากจะเห็นภาพอะไรที่มโหฬารเช่นนี้

แต่นี่ไม่ได้หมายความถึงความสงบที่แท้จริง

สิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในอันตรายที่เล็กน้อยที่สุด เมื่อหาพบแล้ว อาจจะเกิดผลที่ก่อให้เกิดการทำลายล้างขึ้น

เฉินฉางเซิงทราบดี ราชันแห่งหลิงไห่รวมไปถึงคนอื่นๆ ล้วนทราบดี แต่กลับไม่ได้สนใจ เนื่องจากในเวลานี้พลังแห่งแสงสว่างนั้นเห็นได้ชัดว่าได้เปรียบยิ่งนัก

เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดราชามารถึงเลือกการรับมือเช่นนี้ หรือเขานึกว่าอาศัยเพียงพลังมารของตนก็สามารถเอาชนะค่ายกลพระราชวังหลีได้

พลันเกิดเสียงนกกระเรียนขึ้น

นกกระเรียนคือวิหคเซียน ดวงจิตแข็งแกร่งยิ่งนัก เมื่อมันรับรู้ได้ถึงความอันตราย จึงโผบินออกไป

เกิดเสียงพิณดังขึ้น

นักเล่นพิณตาบอดกอดพิณโบราณไว้ ปลายเท้ากวาดไปบนพื้นดินเบาๆ ก็ดำเนินไปได้ไกลกว่าสิบจั้ง ชายเสื้อทั้งสองข้างโบกสะบัดปลิว

ทันใดนั้นเสียงพิณพลันแหลมสูงขึ้น ราวกับอาภรณ์จะฉีกขาดออกเสียให้ได้

ครึ่งหนึ่งของตัวบ้านจู่ๆ ก็ปริออกเป็นรอยแตก

ค่ายกลพระราชวังหลีแผ่พลังอันสว่างไสวออกมา เปล่งประกายวนเวียนรอบกายเขา

เมื่อมองออกไปไกลๆ เขาก็เป็นเหมือนดั่งนกกระเรียนเทพตัวหนึ่ง ที่พุ่งตัวเข้าไปยังเมืองยมโลก

เขาไม่ได้เป็นเพียงคนจรที่เลี้ยงตัวยามแก่ในเมืองเวิ่นสุ่ยอีกต่อไป และก็ไม่ได้เป็นดั่งคนตายทั้งเป็นที่มีหัวใจดั่งต้นไม้แห้งเฉาอีก

เขาเป็นผู้อาวุโสของพรรคฉางเซิงที่ความสามารถในการรบน่ากลัว ระดับขั้นที่สูงลึกล้ำ และเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ท่านนั้นเมื่อร้อยปีก่อน

เสียงพิณดังขึ้นอีกครั้ง

เกิดคลื่นที่มองไม่เห็นนับสิบขึ้น พวกมันฟังคำสั่งจากนิ้วมือเขา นิ้วมือเคลื่อนตัวออกจากทำนองพิณ สั่นสะเทือนออกไปรอบด้าน

พรมแดนของรัตติกาลยามค่ำคืนถูกฉีกระเบิดออกเป็นโพรงใหญ่ ในเวลานี้พวกมันถูกเสียงพิณที่ไร้รูปร่างฉีกทึ้งจนขยายใหญ่กว่าเดิม

เมื่อรัตติกาลมาถึง เงาของราชามารพลันเปลี่ยนเป็นเลือนราง ราวกับลี้กายไปท่ามกลางรัตติกาลเสียอย่างนั้น

ทุกคนล้วนแจ้งแก่ใจ ต่อให้ค่ายกลพระราชวังหลีประสบความสำเร็จจริง ในตอนที่ราชามารพรางตัวในรัตติกาลได้สำเร็จ หากจะบีบให้เขาเผยตัวออกมาอีก ต้องใช้พละกำลังมากกว่าเดิมเป็นแน่

และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ มันจะต้องสูญเสียเวลามากยิ่งกว่าเดิมเป็นแน่

ไม่มีผู้ใดทราบว่าจักรพรรดิขาวและมู่ฮูหยินสุดท้ายแล้วผลแพ้ชนะเป็นอย่างไร และก็ไม่มีผู้ใดทราบว่าผู้ชนะผู้นั้นจะออกหน้าห้ามปรามไม่ให้สำนักฝึกหลวงสังหารราชามารเสียหรือไม่

ท่ามกลางผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ที่อยู่นอกตัวบ้าน พลังอำนาจที่แท้จริงของนักเล่นพิณตาบอดผู้นั้นสูงส่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ดังนั้นปฏิกิริยาของเขาจึงรวดเร็วที่สุด

เมื่อเสียงพิณดังขึ้น รัตติกาลก็ค่อยๆ จางลง ร่างกายที่พร่าเลือนของราชามารค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นหลายส่วน

ในแววตาของราชามารวาบประกายแสงเล็กละเอียดกว่าหลายสาย

เสียงพิณที่ไร้รูปร่างนั้นทอดเงาลงในจิตใจเขา

หลังจากนั้นเกิดจุดสีดำขึ้นมากมายในแววตาเขา

มันคือมันคือโล่ป้องกันอันมืดมิดที่สะท้อนอยู่ในดวงตาเขา

เกิดเสียงดังลั่นแต่คมกริบขึ้นมา

เกราะที่มืดดำกว่าสิบชิ้นโอบล้อมอยู่รอบกายของราชามาร ไม่ทิ้งช่องโหว่ใดไว้เลย

เสียงพิณที่มองไม่เห็นนั้นและการโจมตีของนักเล่นพิณตาบอดที่ติดตามมา ล้วนถูกขวางกั้นไว้ด้วยโล่เกราะเหล่านั้น

เกิดรอยแตกหักที่มีมากกว่าร้อยรอยขึ้นบนพื้นผิวของโล่เกราะเหล่านั้น หลังจากนั้นก็หายไป

เม็ดทรายสีเหลืองทองที่กำลังโบยบินถูกสีรัตติกาลอาบย้อม และลอยไปอยู่เบื้องหน้าของโล่เกราะเหล่านั้น ในทันใดนั้นเองก็ถูกบดให้เป็นฝุ่นผงเล็กละเอียด

เสียงกรีดร้องหลายเสียงดังขึ้นนอกตัวบ้าน

“เกราะที่สิบเจ็ดของโลกยมบาล”

……

……

ในฐานะที่เป็นเจ้าแผ่นดินของทางเหนือ เมื่อกล้าเดินทางมายังเมืองไป๋ตี้โดยลำพัง แน่นอนว่าราชามารต้องมีที่พึ่งพาเป็นแน่

ศาสตรามารที่ทัดเทียมกับศาสตราเทพอย่างเกราะที่สิบเจ็ดของโลกยมบาลประเภทนี้ เขาต้องยังมีอีกมากเป็นแน่

นักเล่นพิณตาบอดไม่รู้สึกแปลกใจ เขาใช้แสงสว่างมากมายมุ่งหน้าบุกทะลวงเข้าไปอีก

เมื่อเห็นคู่ต่อสู้บุกทะลวงผ่านรัตติกาลเข้ามา ราชามารสีหน้าไม่เปลี่ยนเลย เขายื่นมือออกไปหยิบกระบี่เล่มหนึ่งจากในรัตติกาล

กระบี่นั้นสีดำปลอดทั้งด้าม มองไม่เห็นถึงความสามารถใดของมัน แต่ราวกับสามารถดึงดูดเอาสายตาของผู้คนในที่นั้นรวมถึงแสงสว่างเอาไว้ได้

ไม่ได้เกิดเสียงกรีดร้องใดๆ ขึ้นอีก

ผู้ที่รู้จักกระบี่แห่งนี้ล้วนตกตะลึงจนมิอาจเอ่ยคำใดได้

กระบี่อาทิตย์อัสดง

นี่คือกระบี่ประจำกายของราชามารองค์ก่อน

กระบี่ด้ามนี้เคยประมือกับเคล็ดวิชาดาบสองท่อน ณ นอกเมืองลั่วหยางมาก่อนหน้า ทั้งยังเคยเจอกับหอกน้ำค้างเทพมาก่อน

เมื่อเทียบกับกระบี่เล่มนี้แล้ว กระบี่กางเขนใต้ของหนานเค่อเล่มนั้นแทบจะเทียบอะไรไม่ได้เลย

เมื่อเทียบกับกระบี่เล่มนี้แล้ว สีของเกราะที่สิบเจ็ดโลกยมบาลช่างหม่นหมอง

……

……

กระบี่อาทิตย์อัสดงสะบั้นลงในฉับพลัน

รัตติกาลมืดครึ้ม ราวกับร่วงหล่นลงบนพื้นดินเป็นรอยยาวหลายร้องจั้งตามการเคลื่อนไหวของราชามาร

อำนาจอันน่าเกรงขามยากจะจินตนาการได้ ทะยานเข้าหานักเล่นพิณตาบอดเสียงดังสนั่น

เฉินฉางเซิงไม่ทราบว่านักเล่นพิณตาบอดจะสามารถรับมือกับอานุภาพของกระบี่มารที่ตกทอดมานี้ได้หรือไม่ และก็ไม่มีความจำเป็นต้องทราบด้วย

เมื่อราชามารชักกระบี่ เขาเองชักกระบี่เช่นกัน

มือขวาของเขายังคงกำไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์สำนักฝึกหลวงไว้แน่น พลางควบคุมค่ายกลพระราชวังหลีเอาไว้ กดพลังแห่งรัตติกาลทั้งผืนฟ้าเอาไว้ ขัดขวางการหนีไปของราชามาร

เขาไม่จำเป็นต้องกำด้านกระบี่เอาไว้ เพียงแค่ขยับความคิดเท่านั้น กระบี่มากมายก็พุ่งตัวออกมา

กระบี่ลือชื่อมากมายเจ็ดร้อยกว่าเล่มต่างพุ่งตัวออกมาจากคมฝัก ทันใดนั้นเองก็พุ่งตัวผ่านระยะทางร้อยกว่าจั้ง โจมตีราชามารทันที

วันนี้เขาต้องสังหารราชามารให้ได้ แน่นอนว่าต้องใช้วิธีการที่โหดเหี้ยมที่สุดในการลงมือเป็นแน่

เจตจำนงกระบี่ที่มุ่งมั่นพุ่งตัวทะลุผ่านพื้นที่ระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ ราวกับต้องการกรีดทั้งแสงสว่างและรัตติกาลออกจากกัน

กระบี่กว่าเจ็ดร้อยเล่มสะท้อนแสงสว่าง เชื่อมต่อกันตั้งแต่ต้นจนจบ มันพุ่งออกตัวไปด้วยพลังที่ไม่อาจต้านทานได้

ณ สวนโจว ในปีนั้น เขาเคยแสดงพลังหมื่นกระบี่กลายร่างเป็นมังกรมาแล้ว

หลังจากนั้นเนื่องจากสาเหตุหลายประการ เขาก็ไม่ได้แสดงวิถีกระบี่ที่ทรงพลังแข็งแกร่งเช่นนี้อีก

แต่กระบี่ของเขาในวันนี้ มีความรู้สึกบางประการและอานุภาพหลายส่วนของกระบี่ในปีนั้น

เสียงโลหะกระทบกันหลายเสียงดังขึ้นในค่ำคืนแห่งรัตติกาล ต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน

เจตจำนงกระบี่เจ็ดร้อยกว่าสาย ตัดสะบั้นผ่านฟ้าดินทั้งหมด คมกริบกว่าเสียงพิณของนักเล่นพิณตาบอดผู้นั้นหลายส่วน

แม้แต่นักเล่นพิณตาบอดเองก็ยังต้องถอยออกไปยืนด้านข้าง รอให้เจตจำนงกระบี่ที่ราวกับพายุฝนนี้กระหน่ำลงมาเสียก่อน

เศษซากเล็กละเอียดมากมายกระจายไปรอบทิศทาง บนพื้นดินปรากฏรูเล็กละเอียด และที่ไม่อาจคาดเดาความลึกได้มากมาย

กำแพงที่อยู่ใกล้ที่สุดนั้นก็ได้กลายเป็นเศษเล็กละเอียดอย่างไร้วี่แวว ต่อมาก็ถูกลมพัดหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ไม่ว่าจะเป็นเสียงหรือภาพ ล้วนแปลกประหลาดอย่างนั้น กระทั่งทำให้ผู้คนขนลุกไปกันหมด

หลังจากนั้น มรสุมกระบี่เจ็ดร้อยกว่าสายก็หยุดลงชั่วคราว

เกราะที่สิบเจ็ดของโลกยมบาลที่อยู่รอบตัวราชามารนั้นหายไปแล้ว

ศาสตรามารในตำนานนั้น เกราะที่สิบเจ็ดของโลกยมบาลก็ถูกทำลายไปโดยง่ายเสียอย่างนี้