บทที่ 590.2 เด็กคนนั้นที่อยู่ในมุม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ท่ามกลางแสงสนธยา ทางฝั่งของร้านเหล้า เตี๋ยจ้างรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เหตุใดเมื่อตอนกลางวันเฉินผิงอันเพิ่งจากไปได้ไม่นานก็กลับมาดื่มเหล้าอีกแล้ว?

กิจการของร้านเหล้าไม่เลว อย่าว่าแต่ไม่มีโต๊ะว่างเลย แม้แต่พื้นที่ว่างๆ ก็ยังไม่มี นี่ทำให้ตอนที่เฉินผิงอันมาซื้อเหล้า อารมณ์จึงดีขึ้นได้ไม่น้อย

เตี๋ยจ้างยื่นเหล้าราคาถูกที่สุดไปให้หนึ่งกา ถามว่า “นี่คือ?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เกิดเรื่องบางอย่าง หนิงเหยาบอกข้าว่าไม่โกรธ พูดแบบน่าเชื่อถือว่านางไม่โกรธจริงๆ แต่ข้ากลับรู้สึกว่าไม่เห็นจะเหมือนอย่างที่นางพูดเลย”

เตี๋ยจ้างไม่ได้ทำท่ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น นางเอ่ยปลอบใจว่า “หนิงเหยาไม่เคยพูดจาวกวนอ้อมค้อม นางบอกว่าไม่โกรธก็แสดงว่าไม่โกรธจริงๆ เจ้าคิดมากไปแล้วล่ะ”

เฉินผิงอันตอบกลับอย่างอัดอั้นว่า “เถ้าแก่ใหญ่ ไหนเจ้าลองมาสิว่าเป็นข้าที่มองคนได้แม่นยำ หรือเป็นเจ้าที่มองคนได้แม่นยำกันแน่?”

ตอนนี้เตี๋ยจ้างรู้สึกสมน้ำหน้าอีกฝ่ายได้อย่างสบายใจแล้ว “ถ้าอย่างนั้นเถ้าแก่รองก็ดื่มเหล้าหลายๆ กาหน่อย เหล้าในร้านของพวกเรามีมากพอ กฎเดิม คนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี นอกจากคนที่เพิ่งฝ่าทะลุขอบเขตแล้วล้วนห้ามลงบัญชีเชื่อค่าเหล้าเหมือนกันทั้งหมด”

เฉินผิงอันหิ้วกาเหล้า หยิบตะเกียบและจานกับแกล้มมานั่งอยู่ข้างทาง ด้านข้างคือผู้ฝึกกระบี่ผีขี้เหล้าที่มักจะมาอุดหนุนที่ร้านบ่อยๆ คือคนประเภทที่ว่าหากอยู่ห่างเหล้าวันหนึ่งก็จะตายให้ได้ ขอบเขตประตูมังกร นามว่าหานหรง เหมือนกับเฉินผิงอันที่ทุกครั้งจะดื่มแค่เหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ราคาหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น ตอนแรกๆ เฉินผิงอันบอกกับเตี๋ยจ้างว่า ลูกค้าที่เป็นเช่นนี้ควรจะยิ้มแย้มสานสัมพันธ์บ่อยๆ ตอนนั้นเตี๋ยจ้างอึ้งตะลึงไป เฉินผิงอันจึงได้แต่อธิบายอย่างอดทนว่า เพื่อนของผีขี้เหล้าล้วนเป็นผีขี้เหล้า อีกทั้งยังเป็นพวกที่สุมหัวกันดื่มอย่างเอาเป็นเอาตายด้วย เมื่อเทียบกับพวกคนที่สามวันห้าวันจะมาดื่มเหล้าดีๆ เพียงลำพังสักหนึ่งกาแล้ว ฝ่ายแรกคือลูกค้าที่ดีที่เพิ่งจะลุกเดินออกจากโต๊ะไปได้ไม่กี่ก้าวก็นึกอยากจะกลับมานั่งลงใหม่อีกครั้ง การค้าทุกอย่างบนโลกใบนี้ที่ทำครั้งเดียวจบล้วนไม่ใช่การค้าที่ดี

ตอนนั้นเตี๋ยจ้างยังถึงขั้นเห็นเป็นจริงเป็นจังว่าคำพูดพวกนี้ล้ำค่าดุจหยกดุจทองคำ จึงจดแต่ละประโยคลงสมุดบันทึกเอาไว้ ทำเอาเฉินผิงอันที่มองดูอยู่ด้านข้างกลุ้มใจแทบตาย เถ้าแก่ใหญ่ของเราคนนี้ทำการค้าไม่เป็นจริงๆ ไม่รู้เลยว่าสิบกว่าปีมานี้เปิดร้านมาได้อย่างไร? ตนเพิ่งจะเป็นร้านผ้าห่อบุญมาแค่ไม่กี่ปีเอง? หรือว่าตนพอจะมีพรสวรรค์ในการทำค้าอยู่บ้างจริงๆ?

หานหรงยิ้มถาม “เถ้าแก่รอง มาดื่มเหล้าแก้กลุ้มหรือ? ทำไม โดนไล่ออกมาหรือ? ไม่เป็นไร พี่ใหญ่หานอย่างข้าคือผู้มีประสบการณ์ด้านความรักอย่างโชกโชน จะถ่ายทอดแผนการอันแยบยลให้เจ้า ส่วนเจ้าก็จ่ายค่าเหล้าแทนข้า เป็นอย่างไร การค้านี้ คุ้มค่า!”

เฉินผิงอันเคี้ยวกับแกล้ม จิบเหล้าหนึ่งอึกแล้วเอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “ฟังแผนเจ้าต่างหากที่จะทำให้เสียเรื่อง และข้าก็แค่ออกมาจิบเหล้าเท่านั้น อีกอย่างใครต้องเป็นผู้ถ่ายทอดแผนการแยบยลให้แก่ใครก็ยังไม่แน่? ป้ายสงบสุขที่แขวนไว้บนกำแพงร้าน พี่ใหญ่หานเขียนอะไรไว้ ดื่มเหล้าก็เลยลืมไปหมดแล้วหรือ? ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ในร้านมีป้ายสงบสุขมากมายขนาดนั้น กลับมีอยู่แผ่นเดียวที่หันเอาฝั่งที่เขียนชื่อแนบติดผนัง ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่หานเจ้าเห็นร้านพวกเราเป็นสถานที่บอกรักหรืออย่างไร? แม่นางคนนั้นยังจะกล้ามาดื่มเหล้าที่ร้านข้าอีกไหม? ค่าเหล้าวันนี้เจ้าจ่ายสองส่วนเลย”

“ไม่เอาน่า พี่น้องกันคุยเรื่องเงินจะทำลายมิตรภาพเอานะ”

ห้านิ้วของหานหรงยกชามเหล้าขึ้นดื่มช้าๆ หนึ่งอึก จากนั้นก็เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “ที่นี่ของพวกเรามีชายโสดอยู่มากมาย แต่คนที่รักเดียวใจเดียวอย่างข้ากลับหาได้ยากยิ่ง วันหน้าหากข้าได้โอบกอดสาวงามกลับบ้านจริงๆ ข้าก็จะถือว่าร้านของเจ้าศักดิ์สิทธิ์ รับรองว่าวันหน้าจะมาแก้บนแน่นอน ถึงเวลานั้นข้าจะสั่งเหล้าราคาเงินเกล็ดหิมะห้าเหรียญมาสองกาเลย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตกลง ถึงเวลานั้นข้าจะแถมให้เจ้าอีกกา”

หานหรงถาม “จริงรึ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แต่เป็นแบบราคาหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะนะ”

หานหรงกล่าวอย่างผิดหวัง “ไม่มีความพิถีพิถันเอาเสียเลย เถ้าแก่รองผู้ยิ่งใหญ่ อายุยังน้อยแต่มีความสามารถ โดดเด่นเกินฝูงชน คนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่เป็นดั่งหงส์และมังกรในหมู่คน…”

เฉินผิงอันด่าขำๆ “หยุดเลยๆ พี่ใหญ่หาน หากข้าพ่นเหล้าออกมา เจ้าชดใช้ให้ข้าเลยนะ?”

เตี๋ยจ้างที่อยู่ห่างไปไกลมองคนสองคนที่คุยกันอย่างถูกคอก็ให้รู้สึกนับถือ เถ้าแก่รองผู้นี้คุยเก่งจริงๆ

เฉินผิงอันเคยบอกว่าเขาชอบดื่มเหล้าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่จริงๆ เพราะบนโต๊ะเหล้าของใต้หล้าไพศาล เป็นเหล้าเหมือนกัน แต่คนที่กุมอำนาจใหญ่จอกเหล้าลึก คนไร้อำนาจกลับจอกเหล้าตื้น

หานหรงหัวเราะหึหึ พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็เอ่ยว่า “เถ้าแก่รอง เจ้าอ่านตำรามามาก ช่วยข้าคิดหาบทกลอนที่ทำให้คนอิจฉาตาร้อนสักบทได้ไหม มาตรฐานไม่ต้องสูงเกินไปนัก เอาแบบประโยค ‘เคยฝันว่าชิงเสินมารินเหล้าให้’ น่ะ แม่นางที่ข้าชอบคนนั้นดันชอบอะไรทำนองนี้ หากเจ้าช่วยพี่ใหญ่สักครั้ง ไม่ว่าจะได้ผลหรือไม่ เดี๋ยววันหน้าข้าจะช่วยลากพวกผีขี้เหล้ากลุ่มใหญ่ให้มาอุดหนุนร้านเจ้า หากดื่มไม่ถึงสิบไห วันหน้าข้าจะเปลี่ยนแซ่ตามเจ้าเลย”

“เจ้าคิดว่าการแสร้งทำตัวเป็นคนสุภาพมีความรู้ก็เหมือนการดื่มเหล้า แค่มีเงินก็ยกมาวางบนโต๊ะได้ชามแล้วชามเล่าอย่างนั้นหรือ ไม่มีเรื่องดีแบบนี้หรอก”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “อีกอย่างข้าผู้อาวุโสก็ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่รับใครเป็นลูก”

หานหรงยกชามเหล้าขึ้น “พวกเราสองพี่น้องมีมิตรภาพอันลึกซึ้ง จะดีจะชั่วก็ลองแต่งให้พี่ใหญ่สักบทเถอะ ต่อให้มีแค่ประโยคสองประโยคก็ยังดี ไม่เป็นลูกชาย แต่เป็นหลานของเจ้าแทนได้ไหมล่ะ?”

เฉินผิงอันชูชามเหล้าขึ้น “ขอข้ากลับไปคิดดูก่อนได้ไหม? แต่พูดประโยคที่มีจิตสำนึกสักหน่อย อารมณ์ศิลปินจะบังเกิดหรือก็ไม่ยังต้องดูว่าดื่มเหล้าได้ถึงระดับหรือไม่”

หานหรงหันหน้าไปตะโกนเสียงดังให้เตี๋ยจ้าง “เถ้าแก่ใหญ่ เหล้าไหนี้ของเถ้าแก่รอง ข้าจ่ายให้เอง!”

เตี๋ยจ้างพยักหน้ารับ ในใจคิดว่าขอแค่เฉินผิงอันยินดีขายเหล้าไปเรื่อยๆ คาดว่าใช้เวลาไม่กี่ปีก็คงไปเปิดร้านที่หัวกำแพงเมืองได้แล้วกระมัง

สตรีร่างสูงเพรียวคนหนึ่งเดินนวยนาดมาถึง มาหยุดอยู่ตรงหน้าเถ้าแก่รองที่กำลังอธิบายให้พี่ใหญ่หานฟังว่าอะไรคือ ‘แสงบิน’ นางยิ้มกล่าวว่า “ขอรบกวนเวลาคุณชายเฉินสักครู่ได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ก่อนหันหน้าไปพูดกับหานหรงว่า “เจ้าไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร แค่นางเข้าใจก็พอแล้ว”

เฉินผิงอันเดินไปบนถนนใหญ่พร้อมกับสตรีผู้นั้น เขายิ้มเอ่ยว่า “แม่นางอวี๋มีใจแล้ว”

ผู้ที่มาก็คืออวี๋เชี่ย สตรีที่ทำให้ฟ่านต้าเช่อเจ็บปวดรวดร้าวปานจะขาดใจ

สีหน้าของอวี๋เชี่ยไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไร เพียงแต่ว่าครู่เดียวนางก็เอ่ยเนิบช้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เรื่องคืนนั้น ข้าได้ยินมาแล้ว แม้ข้ากับฟ่านต้าเช่อจะไม่อาจเดินด้วยกันไปจนถึงท้ายที่สุด แต่ข้าก็ยังอยากจะมาขอโทษคุณชายเฉินด้วยตัวเอง เพราะถึงอย่างไรเรื่องนั้นก็เกิดจากข้า เดือดร้อนให้คุณชายเฉินต้องมาเป็นที่รองรับโทสะเปล่าๆ บางทีพูดอย่างนี้อาจไม่ค่อยเหมาะนัก หรืออาจถึงขั้นทำให้คุณชายเฉินรู้สึกว่าข้าเสแสร้งแกล้งพูดจาไปตามมารยาท ไม่ว่าจะอย่างไรข้าก็ยังหวังว่าคุณชายเฉินจะให้อภัยฟ่านต้าเช่อ เขาเป็นคนดีมากจริงๆ เป็นข้าที่ผิดต่อเขา”

“หากฟ่านต้าเช่อไม่ใช่คนดี ข้าก็คงไม่ยอมรับคำด่าจากเขาหรอก”

เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ใครบ้างที่ไม่เคยดื่มเหล้าจนเมามาย บุรุษดื่มสุรา พร่ำเอ่ยชื่อของสตรีออกมา ต้องเป็นเพราะชื่นชอบนางมากจริงๆ ส่วนด่าคนเพราะความเมา กลับไม่ควรคิดเป็นจริงเป็นจังได้เลย”

“ขอบคุณคุณชายเฉินมาก”

อวี๋เชี่ยยอบตัวคารวะ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่รบกวนการดื่มสุราของคุณชายเฉินกับสหายแล้ว”

พออวี๋เชี่ยจากไป เฉินผิงอันก็ย้อนกลับไปที่ร้าน ไปนั่งดื่มเหล้าต่อ หานหรงกลับไปแล้ว แน่นอนว่ายังไม่ลืมจ่ายค่าเหล้าให้เขาด้วย

เตี๋ยจ้างขยับเข้ามากระซิบถาม “เรื่องอะไร?”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “เรื่องของฟ่านต้าเช่อนั่นแหละ อวี๋เชี่ยมาขอโทษแทนเขา”

เตี๋ยจ้างกระตุกมุมปาก “ก็ไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้เฉินซานชิวโมโหหรอกหรือ ในบรรดาภูเขาคุณชายน้อยใหญ่รอบตัวฟ่านต้าเช่อ เฉินซานชิวคือคนที่นั่งอยู่ในอันดับหนึ่งเชียวนะ หากเฉินซานชิวพูดแรงๆ สักคำ วันหน้าอวี๋เชี่ยก็อย่าได้หวังว่าจะอยู่ร่วมกับคนทางแถบนั้นได้เลย”

เฉินผิงอันยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร

เรียบง่ายแค่นี้เสียที่ไหน

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “พวกเรามาเดิมพันกันว่าฟ่านต้าเช่อจะโผล่มาหรือไม่ดีไหม?”

เตี๋ยจ้างพยักหน้า “ข้าเดิมพันว่าเขาต้องมาแน่นอน”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม กำลังจะพยักหน้ารับ

เตี๋ยจ้างกลับเปลี่ยนคำพูด “ไม่เดิมพันแล้ว”

เฉินผิงอันมีสีหน้าเสียดายเล็กน้อย เตี๋ยจ้างจึงรู้สึกว่าการที่ตัวเองไม่เดิมพันกับอีกฝ่ายเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว คิดไม่ถึงว่าไม่ถึงครึ่งก้านธูป ฟ่านต้าเช่อก็มาแล้ว

เตี๋ยจ้างกลอกตามองบน

ฟ่านต้าเช่อมาถึงที่ร้าน ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็สั่งเหล้าหนึ่งกามานั่งข้างกายเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แม่นางอวี๋บอกแล้วว่าเป็นนางที่ผิดต่อเจ้า”

ฟ่านต้าเช่อก้มหน้าลง ใบหน้าพลันนองไปด้วยน้ำตา แล้วก็ไม่ได้ดื่มเหล้า เพียงแค่ถือชามเหล้าค้างไว้อย่างนั้น

เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น ชนกับชามขาวในมือฟ่านต้าเช่อเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยว่า “อย่าคิดสั้นอย่างนึกอยากให้เกิดสงครามเสียตั้งแต่พรุ่งนี้ แล้วจะพาตัวเองไปตายอยู่ทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้รู้แล้วรู้รอดกันไป”

ฟ่านต้าเช่อดื่มเหล้าในถ้วยจนหมด “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

เฉินผิงอันเอ่ย “เดาเอา”

ฟ่านต้าเช่อกล่าวว่า “อย่าให้เป็นเพราะข้าที่ทำให้เจ้ากับเฉินซานชิวไม่อาจเป็นเพื่อนกัน หรือไม่พวกเจ้าก็ยังเป็นเพื่อนกัน แต่ในใจกลับมีหนามทิ่มตำให้ยอกแสลง”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”

ฟ่านต้าเช่อพยักหน้ารับ “แบบนั้นก็ดี”

เฉินผิงอันเอ่ย “หากวันนี้เจ้าไม่มาหาข้า ข้าก็จะไปหาเจ้าอยู่ดี”

ฟ่านต้าเช่อยิ้มกล่าว “น้ำใจรับไว้แล้ว แต่ไม่มีประโยชน์หรอก”

เฉินผิงอันเอ่ย “เจ้าในเวลานี้ต้องรู้สึกเจ็บปวดอย่างแน่นอน เสียงแมลงวันเสียงยุงดังหึ่งๆ ก็เหมือนเสียงฟ้าร้อง มดเดินผ่านถนนรู้สึกเหมือนข้ามภูเขาทั้งลูก ข้าพอจะมีวิธีอยู่บ้าง เจ้าอยากลองดูหรือไม่?”

ฟ่านต้าเช่อถามอย่างสงสัย “วิธีอะไร?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ต่อยตีสักรอบ เจ็บตัวก็เหมือนเจ็บใจ จะรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง”

ฟ่านต้าเช่อเอ่ยอย่างกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย “เจ้าคงจะไม่ได้หาโอกาสซ้อมข้าหรอกกระมัง? ขว้างชามเหล้าร้านเจ้าแตกไปหนึ่งใบ เจ้าต้องอาฆาตแค้นขนาดนี้เชียวหรือ?”

เฉินผิงอันเอ่ย “ไม่เชื่อก็ตามใจเจ้า”

แต่สุดท้ายฟ่านต้าเช่อก็ยังเดินไปยังมุมเลี้ยวของตรอกกับเฉินผิงอัน ไม่รอให้ฟ่านต้าเช่อตั้งกระบวนท่าก็ถูกหมัดหนึ่งต่อยให้ล้มคว่ำ พอล้มหลายครั้งเข้า สุดท้ายใบหน้าของฟ่านต้าเช่อก็เต็มไปด้วยคราบเลือด เขาโงนเงนลุกขึ้นยืน เดินโซซัดโซเซอยู่บนถนน เฉินผิงอันปล่อยหมัดเสร็จก็หยุดมือ ยังคงมีสีหน้าผ่อนคลายอยู่ดังเดิม เขาเดินไปหยุดอยู่ด้านข้าง หันหน้ามายิ้มถามว่า “เป็นอย่างไร?”

ฟ่านต้าเช่อเช็ดหน้า แบฝ่ามือออกดูแล้วเงยหน้าด่าดังลั่น “รู้สึกดีกับท่านปู่เจ้าน่ะสิ! หากข้ากลับไปด้วยสภาพนี้ ไม่แน่ว่าพวกซานชิวอาจคิดว่าข้าคิดสั้นจริงๆ ก็ได้”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลูกผู้ชายเลือดออกนิดหน่อยจะนับเป็นอะไรได้ ไม่อย่างนั้นเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ของข้าที่เจ้าดื่มเข้าไปก็เสียเปล่า จำไว้ว่าจ่ายเงินค่าเหล้าก่อนแล้วค่อยไป ส่วนชามใบนั้นก็ช่างมันเถิด ข้าไม่ใช่คนที่ชอบคิดเล็กคิดน้อย จดจำเรื่องเล็กๆ พวกนี้ไม่ได้หรอก”

เฉินผิงอันหยุดเดิน “ข้ามีธุระนิดหน่อย”

ฟ่านต้าเช่อจึงเดินไปที่ร้านเพียงลำพัง

เฉินผิงอันหันหลังกลับ ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ได้ทำให้เจ้าตกใจกระมัง?”

คือเด็กหนุ่มจางเจียเจิน

จางเจียเจินส่ายหน้า เอ่ยว่า “อยากถามว่าตัวอักษรคำว่าเหวิ่นนั้น หากอิงตามความหมายเดิมของอาจารย์เฉิน ควรจะอธิบายอย่างไร?”

เฉินผิงอันเอ่ย “คำว่าเหวิ่น ยังสามารถอธิบายได้อีกอย่างหนึ่งว่า ‘คนไม่รีบร้อน’ ความหมายใกล้เคียงกับคำว่าช้า ช้าแต่ว่าไร้ข้อผิดพลาด สุดท้ายแสวงหาความเร็ว จึงกลายเป็นรีบร้อน”

จางเจียเจินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มอย่างเข้าใจ เงยหน้าขึ้นมองเฉินผิงอันที่เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วถามว่า “อาจารย์เฉิน ข้าเรียนไม่ได้ทั้งวรยุทธและกระบี่ ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเมื่อข้ามีเวลาว่างและท่านอาจารย์ก็อยู่แถวที่ร้านพอดี ข้าสามารถมาขอความรู้เรื่องการอธิบายตัวอักษรจากอาจารย์เฉินได้ไหม?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ย่อมได้อยู่แล้ว วันหน้าข้าจะมาที่นี่บ่อยๆ”

จางเจียเจินขยิบตา

เฉินผิงอันหันกลับไปมอง คือหนิงเหยา

หนิงเหยาถาม “ดื่มเหล้าอีกแล้วหรือ?”

เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้ กลิ่นเหล้าหึ่งไปทั้งตัว หากกล้าดึงดันไม่ยอมรับ ก็ไม่ใช่ว่าต้องถูกซ้อมปางตายหรอกหรือ?

หนิงเหยาพลันเดินมาจูงมือเขา

คนทั้งสองไม่ได้เอ่ยอะไรกัน เพียงเดินผ่านร้านเหล้า เดินขึ้นไปบนถนนใหญ่ทั้งอย่างนี้

หนิงเหยาถาม “ทำไมเจ้าถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เลียนแบบคำพูดของคนบางคนว่า “เฉินผิงอันเอ๋ย ต่อให้วันหน้าเจ้าโชคดีได้แต่งภรรยา เป็นไปได้มากว่านางคงเป็นพวกสมองมีปัญหา สายตาไม่ดี”

หนิงเหยาไม่เอ่ยตอบโต้อย่างที่หาได้ยาก นางเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจากนั้นก็เอาแต่หัวเราะอยู่กับตัวเอง นางหัวเราะจนตาหยี ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาด้านหน้า ชูนิ้วโป้งห่างจากนิ้วชี้ประมาณชุ่นกว่า พูดเหมือนพึมพำกับตัวเองว่า “ชอบแค่นี้ ก็ไม่เลยหรือ?”

หนิงเหยารู้สึกสงสัยเล็กน้อยเพราะนางสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันหยุดยืนนิ่ง เพียงแต่ว่ามือของคนทั้งสองยังจับกันอยู่ ดังนั้นหนิงเหยาจึงหันกลับไปมอง ไม่รู้ว่าทำไม เฉินผิงอันถึงได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่าริมฝีปากสั่นระริก “หากมีวันหนึ่งข้าจากไปก่อน เจ้าจะทำอย่างไร? หากยังมีลูกของพวกเราด้วย พวกเจ้าจะทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันที่ไม่ใช่เด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานของตรอกหนีผิง ยิ่งไม่ใช่เด็กเล็กที่สะพายตะกร้าสมุนไพรใบใหญ่มานานแล้ว อยู่ดีๆ พอคิดถึงเรื่องนี้ก็พลันเสียใจ เสียใจอย่างมาก

ความยากลำบากทั้งหมดที่สามารถกลั่นออกมาเป็นคำพูดได้ ถึงท้ายที่สุดย่อมค่อยๆ เลือนหายไปเอง มีเพียงความเจ็บปวดที่แอบซ่อนไว้เท่านั้นที่เศษเล็กเศษน้อยของมันจะมารวมตัวกัน นานปีแล้วปีเล่า คล้ายเด็กใบ้ผู้โดดเดี่ยวที่นั่งขดตัวหลบอยู่ในมุมห้องหัวใจ เด็กคนนั้นทำเพียงแค่เงยหน้ามองสบตากับตัวเองทุกคนที่เติบใหญ่อยู่เงียบๆ โดยไม่เอ่ยคำใด

——