ตอนที่ 1166 กระจกส่องหล้า

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 1166 กระจกส่องหล้า
“ฮ่ะๆ ข่าวสารของหอเป๋ยโต่วช่างว่องไวจริง ศึกใหญ่ครั้งนี้เกี่ยวพันถึงความรุ่งโรจน์หรือล่มสลายของเผ่ามนุษย์เรา นิกายปีศาจลี้ลับของข้าย่อมไม่ตระหนี่ถี่เหนียว กลองศึกยกพลสิบทิศ พวกเรานำมาทั้งหมดไม่ขาดสักใบ” ผู้เฒ่าผอมแห้งอาภรณ์สีดำหัวเราะลั่นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ดียิ่งนัก ครั้งนี้นิกายเราก็นำเรือรบนภาทมิฬมาร้อยกว่าลำเช่นกัน เมื่อสงครามเริ่มต้น อาศัยความแข็งแกร่งทนทานของเรือรบเหล่านี้คงพอทำให้กองทัพใหญ่ของเผ่าแมลงเจอความยากลำบากได้ไม่น้อย แต่ไม่รู้ว่าค่ายกลทวิลักษณ์ปฐพีวินาศที่สหายเซวียนเคยสัญญาไว้เตรียมไปถึงไหนแล้ว ถึงอย่างไรหากถูกเผ่าหนอนผีเสื้อรุกเข้าประชิด เรือรบนภาทมิฬก็คงสำแดงพลังออกมาไม่ได้เท่าไร” สตรีอาภรณ์สีเหลืองจากนิกายเทียนกงเลิกคิ้วแล้วหันไปถามบัณฑิตชุดขาวด้านข้าง

“ฮูหยินเจินวางใจได้ ผู้เชี่ยวชาญค่ายกลห้าร้อยกว่าคนของนิกายเรารีบเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนจนมาถึงที่นี่แล้ว เมื่อศึกใหญ่เริ่มขึ้นจะไม่ให้ทุกท่านผิดหวังแน่นอน” บุรุษวัยกลางคนชุดบัณฑิตจากสำนักเฮ่าหรานได้ยินก็แย้มยิ้มแล้วเอ่ยออกมาเรียบๆ

“ฮึๆ กองทัพปีศาจโบราณจากหุบเขาปีศาจสวรรค์ของข้าก็ไม่ต้องให้ทุกท่านกังวลใจเช่นกัน แม้ไม่กล้าพูดว่าจะกวาดเผ่าหนอนผีเสื้อจนราบ แต่ไม่มีทางปล่อยให้พวกมันสบายแน่นอน” บุรุษร่างใหญ่คิ้วเข้มที่สวมเสื้อหนังหมีสีน้ำตาลของหุบเขาปีศาจสวรรค์ไม่รอให้คนอื่นถามก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนอย่างมั่นอกมั่นใจ

ต่อจากนั้นผู้คนที่นั่นก็ทยอยเล่าสิ่งที่นิกายของตนเตรียมไว้เพื่อศึกตัดสินครั้งนี้ ขุมกำลังของกลุ่มอำนาจใหญ่อย่างสี่ยอดนิกายใหญ่กับแปดตระกูลใหญ่เผยออกมาในยามนี้อย่างชัดเจน นิกายอายุหมื่นปีเหล่านั้นเทียบไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

“ดูแล้วทุกท่านเตรียมตัวมาพรักพร้อมยิ่งนัก ไม่สู้ทบทวนแผนการวางยาพิษอีกสักหน่อยเถิด” หลังจากทุกคนที่นั่นพูดทีละคนจนครบ ปรมาจารย์มู่คงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ที่นั่งสง่าผ่าเผยหลับตาทำสมาธิอยู่ตลอดก็ลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วเอ่ยขึ้นมา

“ใช่แล้ว เรื่องการวางยาพิษเกี่ยวพันถึงความสำเร็จหรือล้มเหลวของสงครามครั้งนี้จะละเลยไม่ได้เด็ดขาด ยามนี้สงครามใหญ่ใกล้จะเริ่มต้นแล้วต้องตรวจสอบให้มั่นใจรอบสุดท้ายจึงจะดี” บุรุษวัยกลางคนชุดบัณฑิตจากสำนักเฮ่าหรานพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ยาพิษทดสอบอย่างลับๆ มาหลายครั้งแล้ว ผลลัพธ์ไม่น่าเป็นห่วงอย่างสิ้นเชิง แต่ผู้ที่วางยาพิษจะต้องเลือกสรรอย่างรอบคอบ หากส่งผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ไปทำภารกิจย่อมเลี่ยงการถูกจับจ้องได้ยาก หากระดับพลังต่ำเกินไปก็เกรงว่ายังไม่ทันทำภารกิจสำเร็จก็คงกลายเป็นอาหารเข้าปากเหล่าแมลงเสียก่อน หลังจากข้ากับพวกสหายมู่หารือกันจึงตัดสินใจจะเลือกผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ที่มีฝีมือแข็งแกร่งจำนวนหนึ่งจากแต่ละนิกายมาทำภารกิจครั้งนี้” สตรีอาภรณ์สีเหลืองเหลือบมองมู่คงจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ

เมื่อเอ่ยคำนี้ออกมา คนอื่นที่อยู่ที่นั่นนอกจากคนของสี่ยอดนิกายใหญ่ล้วนเปลี่ยนสีหน้ากันหมด

ตามที่วางแผนกันไว้ก่อนหน้านี้ ภารกิจวางยาพิษจะต้องลอบเข้าไปลึกในกองทัพของเหล่าแมลงเมื่อศึกใหญ่เริ่มขึ้น เรียกได้ว่าอันตรายยิ่งยวด นิกายแต่ละแห่งล้วนเห็นศิษย์ระดับแก่นแท้เป็นหัวกะทิและทะนุถนอมพวกเขาอย่างยิ่ง เพราะอย่างไรพวกเขาก็เป็นอนาคตและความหวังของแต่ละสำนัก จะวางใจให้ออกไปทำภารกิจเช่นนี้ได้อย่างไร

“ทุกท่านต้องขบคิดให้กระจ่าง ศึกใหญ่ครั้งนี้ หากพวกเราพ่าย ไม่ต้องพูดถึงศิษย์ในนิกาย เกรงว่าแม้แต่สิ่งที่สืบทอดมาทั้งหมดคงไม่มีเหลือ จนถึงตอนนี้เวลานี้ยังมีสิ่งใดให้ลังเลอีก?” สายตาของมู่คงทอประกายวูบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา

ผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์คนอื่นที่นั่นได้ยินก็ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงทยอยพยักหน้า

เมื่อเห็นทุกคนตกลง หัวหน้าของพันธมิตรเช่นฮูหยินอาภรณ์สีเหลืองแห่งนิกายเทียนคงและมู่คงเป็นต้นก็สีหน้าผ่อนคลายขึ้น

“ในเมื่อทุกท่านไม่มีความเห็นอื่น อีกประเดี๋ยวแต่ละนิกายก็เสนอรายชื่อผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้มาสักสิบคนเถิด พวกเราสี่ยอดนิกายใหญ่จำนวนจะมากกว่าหน่อย แต่ละนิกายส่งมายี่สิบคน แต่เรื่องนี้จะต้องเป็นความลับ ตอนนี้อย่าเพิ่งปล่อยให้กระจายออกไป” มู่คงเอ่ยเอื่อยเฉื่อย

ได้ยินคำนี้ ผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ของนิกายอื่นก็ล้วนพยักหน้า

ถึงอย่างไรสี่ยอดนิกายใหญ่ก็ทำจนถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาย่อมไม่สะดวกกล่าวอะไรอีก

ขณะที่ผู้ฝึกฝนระดับใหญ่โตทั้งหลายของแผ่นดินจงเทียนกำลังหารือกัน บนที่รกร้างแห่งหนึ่งหน้ายอดเขาสองโลกห่างจากเมืองหนานฮุยหลายลี้ มีเงาคนผลุบโผล่หลายร่างกำลังซุ่มซ่อนอยู่บนเขาร้างลูกหนึ่ง

เงาคนหลายร่างนี้ไม่แผ่ลมปราณออกมาเลยแม้แต่น้อย เห็นชัดว่าใช้วิชาซ่อนเร้นอำพรางอันสูงส่งอยู่

บุรุษหน้าดำร่างสูงคนหนึ่งในนั้นโผล่ศีรษะครึ่งหนึ่งออกมาจากหลังก้อนหินแล้วมองไปยังเขาร้างด้านล่าง

เมื่อมองออกไปภาพตัวภูเขาของยอดเขาสองโลกด้านหน้าก็เข้ามาสู่สายตา มันเป็นเขตภูเขาที่มียอดเขาสูงต่ำทอดยาว ภูมิประเทศสูงชัน ไกลออกไปเหล่าแมลงมากมายยั้วเยี้ยกำลังแห่แหนมาจากหลายทิศทาง มากมายจนทำให้ยอดเขาทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยจุดสีลายพร้อย

กองทัพใหญ่ของเผ่าหนอนผีเสื้อเบื้องหน้ามีมากถึงนับล้านตัว

ด้านบนของแมลงเหล่านี้ยังมีเมฆทะมึนก่อตัวหนาแน่น เผ่าหนอนผีเสื้อที่บินได้กางปีกโปร่งใสสีเลือดพุ่งฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้าเหนือผืนดินรกร้างเป็นระยะ ทำให้คนรู้สึกเหมือนจะบดบังท้องนภากลบแสงตะวันจนมิด

ลึกเข้าไปในเขตภูเขาที่ไกลออกไปอีก แมลงเผ่าหนอนผีเสื้อระดับล่างหลายหมื่นตัวรวมตัวกันเป็นภูเขาสีดำลูกน้อยลูกหนึ่ง เผ่าหนอนผีเสื้อระดับสูงที่เห็นชัดว่าขนาดตัวใหญ่โตกว่าแมลงปกติไม่น้อยรวมตัวกันอยู่ร้อยกว่าตัวคล้ายกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง

บุรุษหน้าดำมองอยู่ครู่หนึ่งก็หันกลับไปส่งสัญญาณมือให้กับคนหลายคนที่อยู่ด้านหลัง พวกเขาพรางตัวเคลื่อนที่ไปด้านหน้าอย่างเงียบเชียบ

ทันใดนั้นเมฆทะมึนที่ก่อตัวหนาบนท้องฟ้าก็ฟาดอสนีบาตสีดำหลายสายพุ่งแหวกท้องนภาในพริบตา

ต่อจากนั้นเงาคนร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวบนท้องฟ้าเหนือผืนดินรกร้างอย่างไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้าพร้อมกับอสนีบาตที่ร่วงลงมา แม้ไม่เห็นร่างนั้นเคลื่อนไหวอย่างใด แต่แสงสีดำผืนหนึ่งกลับซัดสาดลงมาอย่างรวดเร็วเกือบเทียบเท่าสายฟ้าแลบ

“แย่แล้ว…”

สีหน้าของบุรุษหน้าดำเปลี่ยนไปโดยพลัน แรงกดดันจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งบนร่างแผ่ออกมาอย่างไม่มีเก็บออมไว้สักนิด เขาเป็นถึงยอดฝีมือระดับดาราพยากรณ์ขั้นต้นผู้หนึ่ง

เขาประกบฝ่ามือสองข้างตรงหน้าอกปานสายฟ้า เสียงพรึ่บดังขึ้นสองครั้ง บนแผ่นหลังพลันมีปีกเนื้อสีเทาขนาดหลายจั้งคู่หนึ่งงอกออกมาแล้วกระพืออย่างแรง ร่างกายพร่าเลือนวูบเดียวบินออกไปห่างร้อยจั้งจนหลบพ้นแสงสีดำที่สาดลงมา

“เอ๋”

เงาคนกลางท้องฟ้าอุทานแผ่วเบา เสียงกังวานออกมาจากปากคล้ายตกใจเล็กน้อย

แม้บุรุษหน้าดำจะหลบพ้น แต่ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์หลายคนที่เหลือกลับตอบสนองไม่ทันอย่างสิ้นเชิง ร่างกายถูกแสงสีดำทะลุทะลวง ชิ้นส่วนกระจัดกระจายไปรอบด้านประหนึ่งถูกระเบิดกลายเป็นเศษเนื้อเกลื่อนพื้น แม้แต่ดวงวิญญาณก็หนีไม่รอด

บุรุษหน้าดำหน้าถอดสี เขาอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาคำหนึ่ง หมอกโลหิตกลุ่มหนึ่งล้อมร่างของเขาเอาไว้ในทันใด

แสงสีเลือดสว่างวูบหนึ่งก่อนจะกลายเป็นเงาร่างที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการแปดร่างเหาะเร็วจี๋ไปคนละทิศทาง

เงาคนบนฟ้ามองเงาร่างสีเลือดมากมายที่แยกย้ายกันไปคนละทางแล้วแค่นเสียงหยันออกมาคำหนึ่ง มันยกมือขึ้นจี้ดรรชนีใส่อากาศหลายครั้งติดกัน แสงสีดำประหลาดปรากฏขึ้นบนร่างของมันอีกครั้ง จากนั้นจึงเปล่งแสงวูบหนึ่งแล้วก่อตัวเป็นหอกยาวที่มีปราณสีดำวนเวียนแปดเล่ม

มันยกมือข้างหนึ่ง หอกยาวสีดำพลันพุ่งพรวดแยกย้ายออกไปสี่ทิศ เลือนหายไปเพียงวูบเดียวก็ไล่ตามทันเงาคนสีเลือดที่เหาะเร็วจี๋หนีอยู่

ฉึก!

เสียงกรีดร้องดังขึ้นครั้งหนึ่ง เงาสีเลือดเจ็ดร่างบนท้องฟ้าถูกหอกยาวสีดำทะลวงผ่านแล้วสลายหายไปพร้อมเสียงดังสนั่น เหลือเพียงเงาสีเลือดร่างหนึ่งทางฝั่งซ้ายสุด

บนแผ่นหลังของเขามีเงายักษ์สูงสิบกว่าจั้งร่างหนึ่งลอยขึ้นมา สองแขนที่มีแสงสีเลือดรายล้อมยกไขว้ขวางอยู่หน้าบุรุษหน้าดำ ทว่าบนสองแขนของยักษ์กลับมีรูขนาดเล็กจิ๋วรูหนึ่งอยู่บนนั้น

เวลานี้บุรุษหน้าดำเผยสีหน้าหวาดหวั่น ปากอ้าเล็กน้อยแต่มีเพียงเสียงแหบพร่าไม่กี่คำที่ดังออกมาจากในลำคอ ตรงหน้าอกถูกหอกยาวสีดำเล่มหนึ่งเสียบทะลุ เลือดไหลรินออกมาตามตัวหอกแล้วร่วงลงมาหยดแล้วหยดเล่า

เมื่อเพ่งมองให้ดีจึงพบว่าหอกยาวสีดำมีเส้นสายสีดำเรียวเล็กคล้ายเส้นผมนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาทิ่มแทงตามตำแหน่งต่างๆ บนร่างบุรุษหน้าดำ

ต่อจากนั้นร่างกายของบุรุษหน้าดำก็แห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็วชนิดที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเขาก็กลายเป็นศพแห้งๆ ร่างหนึ่งร่วงหล่นจากท้องฟ้า

เงาคนบนท้องฟ้าหัวเราะเย็นชา ร่างกายขยับวูบเดียวหายไปอย่างไร้ร่องรอย

มันไม่ทันสนใจป้ายหยกสีดำอันประณีตชิ้นหนึ่งข้างเอวของศพแห้งกรังบนพื้นที่กำลังแตกสลายอย่างเงียบเชียบ

ในห้องโถงประชุมของเมืองหนานฮุย เหล่าผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ทั้งหลายยังคงหารือเรื่องสงครามครั้งใหญ่กันอยู่ ทันใดนั้นผู้เฒ่าผอมแห้งอาภรณ์สีดำจากนิกายปีศาจลี้ลับก็เปลี่ยนสีหน้าไปโดยพลัน

“สหายซือถู เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” บุรุษวัยกลางคนชุดบัณฑิตของสำนักเฮ่าหรานสังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผู้เฒ่าชุดดำได้ในทันทีแล้วเอ่ยถามออกมา

เมื่อคำนี้ถูกเอ่ยออกมา คนที่เหลือต่างก็พากันมองมาด้วย

ผู้เฒ่าชุดดำเงียบงันไม่พูดไม่จาแต่โบกมือข้างหนึ่ง กระจกกลมขนาดเท่าฝ่ามือที่มีปราณสีดำวนเวียนอยู่รอบด้านบานหนึ่งลอยออกมาจากในแขนเสื้อ

เขางอนิ้วแล้วดีดออกไปหนึ่งหน แสงสีดำสายหนึ่งฉายออกมาจากกระจกกลมสีดำแล้วก่อตัวเป็นม่านแสงผืนหนึ่งคลี่ออกกลางอากาศ ม่านแสงหมุนวนอยู่ครู่หนึ่งภาพหลายภาพก็ทยอยปรากฏขึ้นมา ภาพเหตุการณ์ที่ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์หลายคนถูกสังหารที่ยอดเขาสองโลกนั่นเอง

เมื่อเห็นภาพนี้ ชั่วขณะหนึ่งไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา

“สหายซือถู ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ผู้นี้คือผู้อาวุโสเวินของนิกายท่านมิใช่หรือ?” ประมุขหอเป๋ยโต่วดูจบก็ถามขึ้นมาทันที

“ไม่ผิด” ผู้เฒ่าผอมแห้งอาภรณ์สีดำสีหน้าย่ำแย่เล็กน้อย แต่ยังคงตอบแช่มช้า

“คนผู้นี้ยกมือก็สังหารผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์คนหนึ่งได้ คงจะต้องเป็นระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์อย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย!” ประมุขหอเป๋ยโต่วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เหล่าผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ของนิกายยอดบริสุทธิ์เช่นเสวียนอวี๋ เฟิงชิงและมู่คงได้ยินคำนี้ก็สบตากัน

“หากข้ามองไม่ผิด ผู้ที่ลงมือน่าจะเป็นร่างแยกของราชินีหนอนผีเสื้อ” มู่คงเอ่ยเอื่อยเฉื่อย

“ไม่ผิดแล้ว ดูจากลมปราณบนร่าง เหมือนมากจริงๆ” ผู้เฒ่าผอมแห้งจากนิกายปีศาจลี้ลับฟังจบก็เอ่ยขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น

ผู้เฒ่าชุดดำเองก็เคยประมือกับร่างแยกของราชินีหนอนผีเสื้อเมื่อครั้งศึกใหญ่ที่นิกายปีศาจลี้ลับ ดังนั้นเขาจึงนับว่าค่อนข้างคุ้นเคยกับมัน

“ศึกตัดสินครั้งนี้ ร่างแยกของราชินีหนอนผีเสื้อจะต้องอยู่ที่นี่แน่นอน แต่ไม่รู้ว่ามันมีร่างแยกกี่ร่างกันแน่?” บุรุษร่างใหญ่คิ้วหนาจากหุบเขาปีศาจสวรรค์ฟังมาถึงตรงนี้ก็มุ่นคิ้วเอ่ยขึ้น

“ตอนเยาว์วัยข้าได้อาวุธเวทนามว่ากระจกส่องหล้ามาครอง มันสามารถรวมพลังจิตสัมผัสของคนหลายคนไว้ในตัวแล้วแผ่ขยายออกไปในพริบตาพร้อมกันได้ แม้ร่างแยกของราชินีหนอนผีเสื้อนั่นจะระดับพลังสูงกว่าข้าย่อมหนีไม่พ้นการสอดส่องของกระจกบานนี้ ไม่สู้สหายทุกท่านช่วยข้าอีกแรง สำรวจสถานการณ์ของกองทัพใหญ่ของเหล่าแมลงเหล่านั้นสักหน่อยดีหรือไม่” ประมุขหอเป๋ยโต่วสายตาทอประกายวูบหนึ่งแล้วเอ่ยออกมาช้าๆ

“คิดไม่ถึงว่าประมุขหอเป๋ยโต่วจะครอบครองอาวุธพิสดารชิ้นนี้ด้วย เรื่องนี้ไม่สมควรชักช้ารีบใช้วิชาดูเถิด หากตรวจสอบสถานการณ์ของอีกฝ่ายได้ย่อมเป็นประโยชน์กับศึกตัดสินอย่างมาก ข้าเชื่อว่าพลังจิตสัมผัสของตนนับว่าแข็งแกร่งพอตัว ข้าจะช่วยท่านประมุขอีกแรง” ผู้เฒ่าอาภรณ์สีดำจากนิกายปีศาจลี้ลับฟังจบก็คล้อยตามอย่างยินดียิ่ง

คนที่เหลือฟังแล้วต่างก็พากันพยักหน้า มียอดฝีมือระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ที่พลังจิตสัมผัสแข็งแกร่งสามคนยินดีลงมือช่วยทันที