บทที่ 1154 ระเบิดพลังแฝง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,154 ระเบิดพลังแฝง

“เราชนะแล้ว”

เสี่ยวหรานเจ้าสำนักกระบี่เมฆาพลิ้วถอนหายใจออกมายาวแรงด้วยความโล่งอก ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ

นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็น

พวกเขาเป็นฝ่ายชนะ

เมืองไป๋หยุนเป็นฝ่ายชนะ

เมื่อการต่อสู้ครั้งนี้จบลง บรรดาสำนักใหญ่แห่งแผ่นดินตงเต้า ไม่ว่าจะเป็นสำนักกระบี่สายฟ้าวายุหรือสำนักคฤหาสน์กำยานต่างก็มองข้ามเมืองไป๋หยุนไม่ได้อีกต่อไป

ลำพังหลินเป่ยเฉินเพียงผู้เดียว ก็สามารถสร้างชื่อเสียงสั่นสะเทือนได้ทั้งแผ่นดินตงเต้าแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น เด็กหนุ่มผู้นี้ยังสามารถควบคุมกระบี่นับร้อยเล่มสังหารผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสูงได้ถึงหกคน วันนี้เมื่อเขาสามารถฆ่าพวกของเจี๋ยนอู่จีได้ วันหน้าหลินเป่ยเฉินก็ย่อมสามารถฆ่าเจ้าสำนักคนอื่น ๆ ได้เช่นกัน

นับดูในโลกใบนี้ ยังมีผู้ที่สามารถต้านทานกระบี่ของหลินเป่ยเฉินได้สักกี่คน?

แน่นอนว่าในใต้หล้าไม่ได้มีแต่ผู้ที่ใช้กระบี่เท่านั้น

ยังมียอดฝีมือแข็งแกร่งอีกมากมายที่ไม่ได้ใช้กระบี่เป็นอาวุธ

แต่ถึงกระนั้น หลินเป่ยเฉินกลับสามารถสร้างความโดดเด่นได้เหนือล้ำกว่ากลุ่มคนเหล่านั้นแล้ว

ศิษย์คนอื่น ๆ ของเมืองไป๋หยุนก็โล่งใจเช่นกัน

ประเสริฐ

การต่อสู้ยุติลงสักที

“ว่าแต่ว่าอาจารย์อาสือนำศิษย์สำนักกระบี่อมตะไปช่วยเหลือจวนท่านเจ้าเมืองไม่ใช่หรือขอรับ แล้วนี่หายไปไหนกันหมด?”

หลินเป่ยเฉินควบคุมกระบี่นับร้อยเล่มของตนเองให้กลับไปลอยอยู่รอบกายขณะถามออกมา

หวังว่าคงไม่ได้ถูกฆ่าตายกันไปหมดแล้วนะ?

ไม่น่าเป็นไปได้

เพราะพวกเขามีอากวงกับเซียวปิงคอยรักษาความปลอดภัย

“เจ้าช่วยเก็บกระบี่ไปก่อนได้หรือไม่”

ฉู่อวิ๋นซุนมองหลินเป่ยเฉินด้วยสายตาเย็นชา เมื่อการต่อสู้ยุติลง ท่านเจ้าเมืองหนุ่มก็ฟื้นคืนสติกลับมาและจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความเกลียดชังดังเดิม

หลินเป่ยเฉินชำเลืองมองกระบี่นับร้อยเล่มที่บินวนเวียนอยู่รอบกายก่อนตอบว่า “เก็บไม่ได้ขอรับ”

ทุกคนพูดอะไรไม่ออก

เจ้าเด็กคนนี้ต้องการอะไรกันแน่?

หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าลำบากใจ

นั่นเป็นเพราะทุกคนไม่รู้ว่ากระบี่หลายร้อยเล่มเหล่านี้เคยเก็บอยู่ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ แต่บัดนี้ พื้นที่เก็บไฟล์เหล่านั้นถูกใช้เก็บสมบัติจากพวกของเจี๋ยนอู่จีหมดสิ้น ในนั้นจึงไม่เหลือพื้นที่ให้เก็บกระบี่เกือบสามร้อยเล่มเหล่านี้กลับคืนไปอีกแล้ว

ดังนั้นหลินเป่ยเฉินจึงตั้งใจปล่อยพวกมันไว้ข้างนอกเช่นนี้

และการมีกระบี่สามร้อยเล่มบินวนเวียนอยู่รอบกาย มันก็ดูเท่ดีไม่ใช่หรือ?

“ไม่มีใครมาช่วยเหลือพวกเราที่จวนท่านเจ้าเมือง”

เสี่ยวหรานรีบตอบเร็วไว “ตอนที่คนของสำนักมหากระบี่โจมตีพวกเรา พวกมันได้สร้างค่ายอาคมกั้นอยู่โดยรอบ ทำให้ผู้คนของสำนักอื่น ๆ ในเมืองไป๋หยุนไม่สามารถเข้ามาช่วยเหลือจวนท่านเจ้าเมืองได้ และด้วยขั้นพลังของสือจงเซิ่ง พวกเขาคงไม่สามารถทะลวงค่ายอาคมผ่านเข้ามาได้เด็ดขาด…”

หากเป็นในอดีตอาจจะใช่

แต่ไม่ใช่ในวันนี้

หลินเป่ยเฉินลอบคำนวณในใจ อากวงกับเซียวปิงอยู่ที่นั่นทั้งคน ยังจะมีสิ่งใดขัดขวางพวกเขาได้อีก?

“จริงด้วยสิขอรับ อาจารย์ติงอยู่ที่ไหน?”

หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง

เสี่ยวหรานอ้าปากกำลังจะตอบ…

แต่ทันใดนั้น สีหน้าของหลินเป่ยเฉินก็แปรเปลี่ยนไป

ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทั้งสิ้น สายตาของทุกคนจ้องมองไปยังกลุ่มศัตรูที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของสะพานหิน

กลุ่มศัตรูที่เหลือรอดอยู่เพียงกลุ่มเดียวกำลังฟื้นฟูพลังกลับขึ้นมาอย่างช้า ๆ

และมวลพลังคุกคามที่หนักหน่วงกว่าพวกของเจี๋ยนอู่จีก็แผ่ออกมา

“มียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่อย่างนั้นหรือ?”

เจิ้นหรู่หลงเจ้าสำนักกระบี่กังวานถามด้วยน้ำเสียงสงสัย สีหน้าเคร่งเครียด

หลินเป่ยเฉินบังคับฝูงกระบี่ของตนเองให้บินไปหากลุ่มคนเหล่านั้น

มียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่จริงหรือไม่?

ถ้ามีจริงก็ประเสริฐ

ยิ่งอีกฝ่ายแข็งแกร่งเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งตื่นเต้นเท่านั้น

เพราะยิ่งศัตรูมีระดับพลังสูงส่งมากเท่าไหร่ ทรัพย์สินของมีค่าที่พกติดตัวก็ยิ่งมีมูลค่ามากเท่านั้น

“อ๊ากกก”

ทันใดนั้น เสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากปากของหนึ่งในผู้อาวุโสประจำสำนักมหากระบี่

หลินเป่ยเฉินทันได้เห็นแสงสว่างพุ่งออกมาจากร่างกายของชายชราผู้นี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าในร่างกายของชายชรามีหลอดไฟขนาดใหญ่ติดตั้งเอาไว้ และขณะนี้หลอดไฟดวงนั้นก็กำลังปล่อยแสงสว่างออกมาผ่านทุกรูขุมขนบนผิวหนัง…

พลังลมปราณที่คุกคามหนักหน่วงถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกับแสงสว่างเหล่านี้

แต่เห็นได้ชัดว่าชายชราไม่สามารถทนรับพลังในร่างของตนได้

นี่หมายความว่ามันไม่ใช่พลังของเขาเอง

เพียงไม่กี่ลมหายใจ สีหน้าของผู้อาวุโสคนนั้นจากสำนักมหากะบี่ก็บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดทรมาน เสียงร้องที่โหยหวนน่าขนลุกดังออกมาจากปากไม่หยุดยั้ง

ทันใดนั้น ชายชราก็ลืมตากว้าง

ลำแสงสีทองคำพุ่งออกมาจากดวงตาของเขา

“คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ”

เสียงของผู้อาวุโสจากสำนักมหากระบี่เปลี่ยนไป

“เป็นเขา!!”

เม่ยฮัวโส่วเจ้าสำนักกระบี่สายฟ้าวายุอุทานออกมา “เว่ยหมิงเฉิน”

ฮั่วเฟยฮัวและเจิ้นหรู่หลงมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปโดยทันที

พวกเขาจำได้ดี

พลังคุกคามที่ปลดปล่อยออกมาจากตัวผู้อาวุโสของสำนักมหากระบี่คนนี้ หากไม่ใช่ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ซึ่งเป็นหัวหน้านักบวชคนใหม่ของวิหารเทพพงไพรและเป็นผู้ที่บงการแผนร้ายในครั้งนี้ทั้งหมดแล้ว ยังจะเป็นผู้ใดได้อีก?

ไม่ผิดแน่

ลู่กวนไห่กับฉู่อวิ๋นซุนกลับมามีสีหน้าเคร่งเครียดอีกครั้ง

เป็นไปไม่ได้

สุสานใต้ดินมีค่ายอาคมครอบทับเอาไว้ สามารถตัดขาดทุกสิ่งทุกอย่างจากโลกภายนอก

และ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ก็กำลังต่อสู้อยู่กับผู้อาวุโสฉีไม่ใช่หรือ?

ดังนั้นเขาจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

“นี่คือพลังแฝง”

สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดนามแม่นางหลินค้นพบอะไรบางอย่างจึงพูดออกมา “เดิมที เว่ยหมิงเฉินได้แบ่งเศษเสี้ยววิญญาณของตนเองเป็นพลังแฝงอยู่ในร่างกายของบุคคลผู้นี้ เมื่อพลังแฝงนั้นถูกเปิดใช้งาน ตัวเขาก็จะกลายเป็นร่างแยกของเว่ยหมิงเฉิน… บางทีก่อนหน้านี้เว่ยหมิงเฉินอาจจะทำเช่นนี้เพื่อไว้คอยจับตาดูพวกของเจี๋ยนอู่จีก็เป็นได้ นับว่าเป็นคนที่เจ้าเล่ห์ร้ายกาจจริง ๆ”

เว่ยหมิงเฉินผู้นี้เป็นบุคคลที่ยากต่อการรับมือ

ทุกคนรู้สึกปวดหัว

ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดชายหนุ่มจากวิหารเทพพงไพร ถึงได้ก้าวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งสูงส่งภายในระยะเวลาเพียงไม่นาน

แต่นั่นทำให้ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายแวววาว

“ร่างแยก?”

เขาค่อย ๆ เดินเข้าไปสำรวจดู ‘เว่ยหมิงเฉิน’ และพูดว่า “นี่ ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่ ไม่ทราบว่าเจ้าได้ยินหรือไม่?”

“หลินเป่ยเฉิน พลังของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนข้าประหลาดใจทีเดียว”

‘เว่ยหมิงเฉิน’ เงยหน้าขึ้นจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉิน

เสียงของเขายังคงเรียบเฉยปราศจากอารมณ์ความรู้สึกไม่ต่างจากเครื่องจักรกล “บัดนี้ หากเจ้าสาบานที่จะสวามิภักดิ์ต่อข้า เรื่องที่ผ่านมาก็จะถือว่าเราเลิกแล้วต่อกัน และข้าจะให้ชีวิตที่เป็นอมตะแก่เจ้า”

“ฮ่า ๆๆ”

หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากและตอบว่า “จงรับประทานกระบี่ของข้าซะเถอะ”

ฝูงกระบี่ของหลินเป่ยเฉินพลันพุ่งเข้าใส่ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ไม่ต่างไปจากฝนดาวตก

“เจ้าคิดผิดแล้ว”

‘เว่ยหมิงเฉิน’ ยกมือขึ้นโบกสะบัดอย่างแรง

ทันใดนั้น ฝูงกระบี่ของหลินเป่ยเฉินก็ถูกมวลพลังสีทองคำซัดกระเด็นลอยออกไป

“คิดจะสู้งั้นหรือ?”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะ แววตาเป็นประกายวาวโรจน์

สำหรับศัตรู เขาไม่มีคำว่าเมตตา

หาก ‘เว่ยหมิงเฉิน’ รู้สึกว่าหลินเป่ยเฉินจะแสดงความเมตตาต่อ ‘คนบริสุทธิ์’ นั่นก็จะกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่

เพราะ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ คงไม่ปล่อยให้คนบริสุทธิ์มีชีวิตอยู่รอดอีกต่อไปสักคนเดียว

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

พลัน เศษเนื้อเศษหนังเศษกระดูกปลิวกระจาย

“นี่มันอะไรกัน?”

หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าไม่เข้าใจ

ปรากฏว่ากลุ่มคนของสำนักมหากระบี่ที่เหลืออยู่ อยู่ดี ๆ ร่างกายก็ระเบิดกระจาย

ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ฝีมือของหลินเป่ยเฉิน

และเมื่อคนเหล่านั้นร่างกายระเบิด โลหิตที่สาดกระเซ็นออกมากลับไม่ได้เป็นสีแดง

แต่เป็นสีทองคำ

โลหิตสีทองคำเหล่านั้นบรรจุด้วยพลังที่แปลกประหลาด ละอองโลหิตเหล่านั้นต่างก็สาดกระเซ็นใส่ฝูงกระบี่ของหลินเป่ยเฉิน

ฉ่า! ฉ่า! ฉ่า!

ได้ยินเสียงการกัดกร่อนจนโลหะละลายดังขึ้น

วูบ! วูบ!

บรรดาฝูงกระบี่ที่ลอยอยู่ในอากาศค่อย ๆ หลอมละลายเปลี่ยนรูปทรงจนอ่อนตัวลง

จนพวกมันกลายเป็นเพียงก้อนโลหะตกกระทบพื้นสะพานหิน

“นี่มันอะไรกัน?”

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง

เขารีบควบคุมกระบี่เงินของตนเองกลับมา

บนตัวกระบี่ปรากฏหยดน้ำสีทองคำไหลกลิ้งอยู่เป็นจำนวนหลายหยด

หลินเป่ยเฉินควงกระบี่สะบัดหยดน้ำทองคำเหล่านั้นออกไป

กระบี่ของเขากลับมาสะอาดเอี่ยมอีกครั้ง

เด็กหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก

แต่กระบี่เล่มอื่น ๆ เกือบสามร้อยเล่มของเขาได้เสียหายไปหมดแล้ว

ค่ายอาคมกระบี่ถูกทำลาย

เพราะในร่างกายของหลินเป่ยเฉินขณะนี้ เขาไม่เหลือกระบี่เล่มอื่น ๆ ที่มีความเหมาะสมให้ควบคุมอีกแล้ว

“พึ่งพาเพียงพลังภายนอก มันจะแข็งแกร่งสู้พลังของตนเองได้อย่างไร”

‘เว่ยหมิงเฉิน’ ยกมือโบกสะบัด แล้วกระบี่เล่มหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้นก็ลอยหวือเข้าไปอยู่ในมือของเขา และเมื่อโคจรพลังลมปราณใส่เข้าไป กระบี่เล่มนั้นก็ระเบิดลำแสงสีทองออกมาเจิดจ้า

วูบ!

ตัวคนและกระบี่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขาตวัดกระบี่ทิ่มแทงหลินเป่ยเฉินทั้ง ๆ ที่ยืนอยู่ห่างกันหลายสิบวา

“กระบวนท่าที่หนึ่ง”

หลินเป่ยเฉินร่ายรำกระบี่ในมือ

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

ทันใดนั้น เงาของคนสองคนก็ต่อสู้พัวพันกันหลายสิบกระบวนท่า

หลินเป่ยเฉินตกตะลึงที่พลังของตนเองตกเป็นรองฝ่ายตรงข้ามอยู่หลายส่วน แม้แต่แขนของเขาก็เริ่มรู้สึกชาดิกแล้ว

‘เป็นแค่ร่างแยกแท้ ๆ ทำไมแม่งเก่งจังเลยวะ?’

เด็กหนุ่มอดคิดในใจไม่ได้