ตอนที่ 1353 จิ่วเยี่ยผู้ร้ายกาจ

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

มู่เฉียนซีกล่าว “มาหาข้า!?”

“จื่อโยวบอกว่าเจ้าเข้าร่วมประลองการปรุงยาแห่งดินแดนสี่ทิศ ในฐานะที่ข้าเป็นบุรุษของเจ้า ข้าก็ต้องมาให้กำลังใจเจ้าไม่ใช่เหรอ?”

“ให้กำลังใจ!” มู่เฉียนซีกะพริบตากริบ ๆ

“แล้วข้าก็มีของบางอย่างจะมอบให้ซีด้วย!” จิ่วเยี่ยกล่าวต่อ

จิ่วเยี่ยเอาสมุนไพรวิญญาณบางอย่างออกมา มู่เฉียนซีกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “เจ้าหามาครบหมดแล้วเหรอ!”

“หากไม่ต้องตามมัวแต่ตามหาตระกูลสัตว์เทพโบราณก็จะเร็วกว่านี้!” จิ่วเยี่ยตอบ

“นี่ก็เร็วมากแล้ว!” มู่เฉียนซีดีใจมาก

สมุนไพรวิญญาณทั้งหมดที่จะใช้หลอมยาช่วยชีวิตเจ้าลามกเซี่ยหามาได้ครบแล้ว

นี่เป็นยาลูกกลอนขั้นสวรรค์ นิรันดร์ยังไม่ตื่น นางไม่มีพลังวิญญาณมากพอที่จะหลอมยาขั้นนี้ได้

ทว่า

เมื่อนึกถึงของที่องค์รัชทายาทเป่ยกงส่งมาให้แล้ว มันไม่เพียงแต่จะช่วยให้นางมีพลังวิญญาณเพียงพอที่จะหลอมยาในการประลองครั้งนี้ได้เท่านั้น แม้แต่ยาหยินหยางอนันต์ก็หลอมได้เช่นกัน

ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว!

น้ำเสียงอันน่าตกใจเสียงหนึ่งดังขึ้น “พวกเจ้า…”

“ผู้อาวุโสหวง…”

“……”

ผู้อาวุโสหูรู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบมาด้วยความกระวนกระวายใจ

“ข้าไม่คิดเลยว่าตำหนักเป่ยหานอย่างพวกเจ้าจะกล้าลงมือฆ่าผู้อาวุโสของสำนักโอสถฯ ต่อให้องค์รัชทายาทเป่ยกงจะหนุนหลังพวกเจ้า พวกเจ้าก็…”

สายตาอันเย็นยะเยือกคู่หนึ่งจ้องมองมาที่ผู้อาวุโสหู รูม่านตาของผู้อาวุโสหูหดตัวลงด้วยความหวาดกลัว

น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกดังก้องขึ้นในหูของผู้อาวุโสหู “มดปลวกพวกนี้ องค์ชายอย่างข้าเป็นคนฆ่าเอง สำนักโอสถฯ มีความเห็นใดหรือไม่”

ผู้อาวุโสหูอดที่จะสั่นสะท้านขึ้นไม่ได้ รีบถอยหลังไปจนเกือบจะออกไปจากประตูแล้ว

พลังอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ สวมหน้ากากปีศาจเช่นนี้ ทำให้คนกลายเป็นกระดูกขาวเช่นนี้ แถมยังแทนตัวเองว่าองค์ชายอีกด้วย!

“อะ องค์ชายจิ่วเยี่ย…”

เขาไม่มีทางลืมได้ว่าก่อนที่เขาจะมายังดินแดนสี่ทิศ องค์ชายจิ่วเยี่ยเกือบจะฆ่าคนของสำนักโอสถฯ ไปจนหมดสิ้น เพียงเพราะสมุนไพรวิญญาณเพียงไม่กี่ชนิด

นั่นนับว่าเป็นความน่าสังเวชครั้งแรกตั้งแต่ได้ก่อตั้งสำนักโอสถฯ มาเลยก็ว่าได้

และดาวมฤตยูอันน่าสะพรึงกลัวผู้นี้กลับมาปรากฏตัวที่ดินแดนสี่ทิศ เหตุใดเขาถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนเช่นนี้กันนะ!

ผู้อาวุโสหูตัวแข็งทื่อราวกับเป็นรูปปั้นไปแล้ว องค์ชายจิ่วเยี่ยฆ่าคนเหล่านั้นไปแล้ว เขาจะกล้าเอ่ยปากพูดอะไรได้อีกล่ะ

และต่อให้ท่านเจ้าสำนักของพวกเขายืนอยู่ตรงนี้ ก็คงจะไม่กล้าออกความเห็นใดแน่นอน

ผู้อาวุโสหูยิ้มพลางกล่าวว่า “คนพวกนี้ทำให้องค์ชายจิ่วเยี่ยขุ่นเคืองใจ ฆ่าไปแล้วก็ไม่เป็นไร สำนักโอสถฯ ของพวกเราจะบังอาจกล้าตำหนิท่านได้อย่างไรกันเล่า”

พยายามอดทนกับความกลัวที่เกิดขึ้น แต่ในน้ำเสียงที่เขาพูดออกมานั้นก็ยังคงสั่นเครืออยู่ดี

มู่เฉียนซีเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน ที่แท้จิ่วเยี่ยไม่เพียงแต่สร้างความน่าหวาดกลัวให้กับคนของดินแดนสี่ทิศเท่านั้น แต่เขายังมีชื่อเสียงโด่งดังในดินแดนซวนเทียนอีกด้วย!

จิ่วเยี่ยไม่ได้พูดจาไร้สาระกับผู้อาวุโสหูมากนัก เขาโอบเอวมู่เฉียนซีและพานางไปทันที

เขาไม่ชอบสถานที่แห่งนี้ มิสู้กลับไปยังอาณาเขตของซีเสียยังดีกว่า

จิ่วเยี่ยพามู่เฉียนซีไปแล้ว ดวงตาของกู้ไป๋อีเย็นยะเยือกขึ้น

และผู้อาวุโสหูที่ราวกับตกอยู่ในนรกเมื่อครู่ ในตอนนี้สามารถพูดได้เลยว่าเขาได้ตกลงมาอยู่ในทุ่งหิมะที่มาพร้อมกับพายุหิมะที่พัดกระโชกอย่างรุนแรงเข้าแล้ว

ถึงแม้ว่าหัวหน้าตำหนักเป่ยหานผู้นี้จะเป็นแค่หัวหน้าตำหนักของกองกำลังระดับสาม แต่เผชิญหน้ากับเขาเช่นนี้ ผู้อาวุโสหูกลับต้องระมัดระวังตัวโดยไม่รู้ตัว

“ท่านหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน ที่นี่ข้าจะจัดการเอง ไม่รบกวนท่านแล้ว”

เขาเป็นถึงผู้อาวุโสของสำนักโอสถฯ อยู่ในดินแดนซวนเทียน เขาไม่เคยต้องมารู้สึกกล้ำกลืนฝืนใจเช่นนี้มาก่อน แต่ลงมาที่ดินแดนต่ำต้อยอย่างดินแดนสี่ทิศแห่งนี้ กลับต้องมาทำตัวเป็นผู้น้อย อยากตายจริง ๆ!

เพราะการแทรกแซงของจิ่วเยี่ย สำนักโอสถฯ ได้สูญเสียศิษย์ไปหลายคนแล้วไม่ว่า นี่ยังต้องมาสูญเสียผู้อาวุโสชั้นยอดไปอีกด้วย

พวกเขาโกรธแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร พวกเขาไม่อยากรนหาที่ตาย ทำได้แค่รีบจัดการการประลองครั้งนี้ให้เสร็จสิ้น และรีบออกไปจากที่นี่

“นายท่าน กลับมาแล้ว ข้าคิดว่านายท่านจะอยู่ให้หญิงงามปรนนิบัติอยู่ที่ตำหนักเป่ยหานเสียอีก นึกไม่ถึงเลยว่าจะกลับมา หรือว่านายท่านอยากจะให้ข้า…”

เมื่อรู้ว่ามู่เฉียนซีกลับมา เซียวเหยาก็แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างสวยงามเปิดประตูเข้ามา

แต่ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาก็เห็นร่างในชุดดำนั้นเข้า เขาตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง

เขาเผยรอยยิ้มเจื่อน ๆ ออกมา ก่อนจะกล่าวว่า “ขะ ข้า เอ่อ เมื่อครู่ข้าละเมอน่ะ งั้นข้าขอตัวกลับไปนอนก่อนนะ ข้า…”

ที่ผ่านมาเซียวเหยาเป็นคนที่หน้าด้านหน้าทนมาโดยตลอด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจิ่วเยี่ย เขาก็ไม่มีความกล้าหาญเช่นนั้นแล้ว!

เขายังไม่ทันหนีรอดออกไป จู่ ๆ พลังหนึ่งก็พุ่งเข้ามากระแทกร่างจนร่างของเขากระเด็นลอยออกไปไกล

อ๊า! เสียงกรีดร้องดังขึ้น

มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “คงจะไม่เป็นอะไรมากกระมัง! หากเป็นอะไรไป เจ้าจะหาหัวหน้านักพิษมาจากไหนให้ข้า?”

จิ่วเยี่ยตอบ “แค่นี้ไม่ตายหรอก!”

แววตาของจิ่วเยี่ยยิ่งลึกล้ำขึ้น มู่เฉียนซียื่นมือไปกอดเอวเขาพลางกล่าว “ข้าเก็บสมุนไพรในดินแดนโอสถจนเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว กลับมาถึงรังตัวเองข้าก็อยากจะนอนพักผ่อนเอาแรงสักหน่อย องค์ชายจิ่วเยี่ย ตามสบายนะ!”

ห้องของมู่เฉียนซี ไม่อาจขวางไหล่ของจิ่วเยี่ยได้

เขาคว้าร่างที่เหนื่อยล้าอ่อนแรงราวกับไม่มีกระดูกของมู่เฉียนซีมากอดไว้ในอ้อมแขน มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าบอกว่าตามสบาย ไม่ใช่ให้เจ้ามาขึ้นเตียงสักหน่อย”

“สิ่งที่ข้าอยากทำ มีเพียงแค่เรื่องเดียว!” จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีแน่น

เขาจูบลงบนดวงตาของมู่เฉียนซี “ซีพักผ่อนเถอะ ข้าจะไม่เสียงดังรบกวนเจ้า”

“ข้าไม่เชื่อหรอก!”

แสงอันตรายปรากฏขึ้นนัยน์ตาของจิ่วเยี่ย “หรือซีต้องการให้ข้าทำสิ่งใด ซีถึงจะเชื่อ”

มู่เฉียนซีมุดหัวเข้าผ้าห่ม ก่อนจะกล่าวว่า “คำไหนคำนั้น หากเจ้ากล้าเสียงดังรบกวนข้าแล้วละก็ ข้าจะทำให้เจ้าต้องกลายเป็นคนไร้ประโยชน์แน่ คอยดู”

“ข้าไม่รบกวนแน่นอน ข้ายังมีเวลา!” จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีแน่น

มู่เฉียนซีหลับสบายมาก เก็บสมุนไพรวิญญาณมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาครึ่งเดือน เหนื่อยเปลี้ยเพลียแรงอย่างที่สุด นางหลับไหลไปถึงสองวัน บ่ายคล้อยถึงจะตื่นขึ้นมา

แสงตะวันยามอัสดงสาดส่องกระทบบนใบหน้า มู่เฉียนซีลืมตาขึ้นมา จากนั้นก็เอามือลูบไล้หน้าอกของจิ่วเยี่ย

ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกคู่นั้นเคร่งขรึม เขากล่าว “ตื่นแล้วเหรอ?”

“อืม!”

มู่เฉียนซียังไม่ทันได้พูดอะไร ริมฝีปากของนางก็ถูกปิดกั้นเสียแล้ว จิ่วเยี่ยรักษาคำพูด ไม่ได้กระทำสิ่งใดในตอนที่นางหลับ

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำสิ่งใดหลังจากที่นางตื่นขึ้นมาแล้ว

อย่างไรเสีย เขาก็อดทนมานานมากถึงเพียงนั้น ท่าทางเกียจคร้านที่เพิ่งตื่นนอนนั้นมีเสน่ห์มาก ต่อให้เป็นองค์ชายจิ่วเยี่ย ก็ไม่อาจห้ามใจได้แล้ว

มู่เฉียนซีถูกเขาจูบจนหายใจไม่ออก นางผลักจิ่วเยี่ยและกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย ข้าหิวแล้ว เจ้า…เจ้าสงบจิตใจก่อนสิ!”

“แต่หากเจ้าสงบจิตใจไม่ได้จริง ๆ ข้าจะฉีดยาให้เจ้าสักเข็มเป็นเช่นไร?” มู่เฉียนซีกล่าวข่มขู่เขา

จิ่วเยี่ยมองมู่เฉียนซีพลางกล่าว “ซีหิวแล้วเหรอ ข้าจะไปทำอาหารให้เจ้ากิน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ใบหน้าของมู่เฉียนซีก็แข็งทื่อไปทันที คำข่มขู่ของนางสู้จิ่วเยี่ยไม่ได้เลย

มู่เฉียนซีดึงจิ่วเยี่ยไว้และกล่าวว่า “อย่าไปนะ อันที่จริงข้าก็ไม่ได้หิวอะไรขนาดนั้นสักหน่อย!”

จิ่วเยี่ยก้มหน้าลงเล็กน้อยขยับเข้าใกล้มู่เฉียนซี และจูบนางอย่างอ่อนโยนราวกับชิมอาหารรสเลิศก็มิปาน

มู่เฉียนซีรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเข้าปากเสือแล้ว ทันใดนั้นจิ่วเยี่ยก็ปล่อยมู่เฉียนซี ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าจะกินเป็นเพื่อนซีเอง!”

ใบหน้าของมู่เฉียนซีเผยความดีใจออกมา ก่อนจะกล่าวว่า “ดีเลย!”

ทั่วทั้งเมืองเป่ยหานล้วนแต่มีนักปรุงยาทั้งสิ้น ตอนนี้โรงเตี๊ยม หอสุราล้วนแต่มีคนนั่งดื่มด่ำกันเต็มไปหมด แต่ทันทีที่จิ่วเยี่ยย่างเท้าเข้าไป เถ้าแก่ก็จัดเตรียมห้องพิเศษที่ดีที่สุดให้เขาได้

ท่านผู้นี้น่ากลัวเกินไปแล้ว! ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะล่วงเกินได้

หลังจากที่กินอิ่ม มู่เฉียนซีก็ถูกจิ่วเยี่ยเดินโอบไหล่ออกมาและเดินจากไป

มู่เฉียนซีกัดมือเขา ก่อนจะกล่าวว่า “นี่เจ้าจงใจจะเลี้ยงให้ข้าอิ่ม แล้วคิดจะกินข้าใช่หรือไม่?”

“ร้ายกาจยิ่งนัก!”

.