ตอนแรกวางแผนว่าบทที่แล้ว คือบทสุดท้ายของนิยายเล่มนี้ของผมเฟยเซียน และเป็นมหาบทสรุปของหนังสือเล่มนี้
แต่หลังจากวางแผนเนื้อหาพวกนี้ให้เป็นส่วนเสริมต่อขยายแล้ว ก็ได้คิดอยู่สักพัก เลยตัดสินใจเอามารวมเข้ากับเนื้อหาหนัก ทุกท่านเชิญรับชมตามอัธยาศัย 😊
……………….
ในชีวิตนี้ของหวังเป่าเล่อเคยคุกเข่าให้อยู่ไม่กี่คนเท่านั้น นอกจากบิดามารดาของตน และผู้มีพระคุณรวมถึงอาจารย์ตนเองแล้ว…
ยามนี้ เขาคุกเข่าลงไปยังทิศที่ชายชุดดำนั้นจากไป น้ำตาอาบหน้า โขกศีรษะคำนับอย่างเงียบเชียบ
เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองจึงน้ำตาไหล เห็นได้ชัดว่า เขาปรารถนาอิสระ เห็นได้ชัดว่า…เขาเฝ้ารอคอยเสรีภาพอยู่ จนกระทั่งอาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่วันที่เขาถูกตัดแยกออกมาวันนั้น เขาก็ได้แต่เฝ้ารอวันที่ตนเองจะเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ทุกเมื่อเชื่อวัน
กระทั่งหลังการเดินทางผ่านเมืองเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาแล้ว เขาก็ได้กลับไปสู่ประตูโลกเบื้องบน ไปยังทะเลทรายกว้างใหญ่บนโลกาชั้นที่สองของมิติต้นกำเนิด สถานที่ที่ร่างต้นของเขากักตนอยู่
ในตอนแรก ความตั้งใจแท้จริงที่จะเดินไปเบื้องหน้าร่างต้นนั้น ครั้งแรก…ก็เพื่อวางแผนแลกเปลี่ยนกับร่างต้น
ในตอนแรก เขายินดีและเต็มใจไปโลกเบื้องบนแทนร่างหลัก พร้อมผจญอันตรายครั้งใหญ่ถึงแก่ชีวิต ต่อให้จะเก้าตายรอดหนึ่งก็จะช่วงชิงอนาคตมาให้ร่างหลักให้ได้ เขาสามารถละทิ้งได้ทุกสิ่ง หวังเพียงว่า เมื่อตนเองทำสำเร็จแล้ว ทางร่างต้นตรงนี้จะตัดเหตุผลต้นกรรมกับตัวเขา แล้วจากนั้น…เขาก็คือตัวเอง
และมีสิทธิในการควบคุม…ความตายได้
ความตาย เป็นสิทธิอันยิ่งใหญ่ชนิดหนึ่ง มีเพียงคุมมันได้ด้วยตนเองจึงนับว่ามีอิสระ
สำหรับเรื่องนี้ร่างต้นมิได้เห็นชอบแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่กลับใช้พลังแปรเป็นผนึกเต๋าสี่สาย บีบคั้นกักขังเขาเอาไว้ ท่ามกลางความไม่เข้าใจของหวังเป่าเล่อ
หลังจากนั้น ก็ดึงเอากฎแห่งหกปรารถนาออกจากร่างของเขา หลังจากทิ้งเขาไว้ในที่กักตนแล้ว ตัวของร่างต้นก็ออกจากทะเลทรายไป…
หวังเป่าเล่องุนงง ไม่เข้าใจ แต่ภายใต้การผนึกนี้ ความคิดของเขาเปลี่ยนเป็นเชื่องช้าลง และสุดท้ายก็หลับลึก นานจนกระทั่งเขาได้ยินคนร้องเรียกชื่อของตนเอง และเมื่อลืมตาขึ้นมา เขาก็มองเห็นร่างต้นของตนเองอยู่ในพื้นที่ห่างไกลในโลกาชั้นแรก
เมื่อได้ยินเสียงของร่างต้น สัมผัสได้ว่าผนึกนั้นถูกปลดแล้ว ปราณโลหิตจำนวนมหาศาลพร้อมทั้งพลังปราณเข้าหล่อหลอม นอกจากนี้เขายังสัมผัสได้ถึงการบำรุงดวงจิตเทพของตน ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน จนกระทั่ง…เขาได้ยินประโยคนั้น
“หวังเป่าเล่อ นามนี้ มอบแก่เจ้าแล้ว…”
ประโยคนี้ ราวกับตราประทับสลักลึกลงไป
นามนี้ เป็นสัญลักษณ์ของบุคคลหนึ่ง กระทั่งว่าในหมู่บางเผ่าตระกูล ก็ถือได้เหมือนดวงวิญญาณแท้ มีมาแต่กำเนิด ตายแล้วไม่สิ้นสูญ…แต่ในพริบตานั้น นามหวังเป่าเล่อนี้ถูกร่างต้นตัดแยก แล้วมอบให้แก่เขาทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่
ในพริบตาที่ได้นามนี้มานั้น หวังเป่าเล่อ…ถึงค่อยได้รับอิสรเสรี…อย่างแท้จริง
ตัวของเขาในยามนี้ ไม่ว่าจะเป็นความเกี่ยวพันกับตัวของชายชุดดำหรือมหาเทพเองก็ตาม ล้วนไม่มีเหตุต้นผลกรรมใดๆ เกี่ยวข้อง ทุกเรื่องอันเลวร้ายได้ถูกชายชุดดำรับเอาไปแล้ว ส่วนทุกเรื่องที่ดีงาม ก็เป็นตัวเขาที่รับเอาไว้
เรื่องราวเช่นนี้…ในยามแรก หวังเป่าเล่อควรจะดีใจ เพราะว่านี่มิใช่สิ่งที่เขาปรารถนาหรอกหรือ…
แต่กลับกลายเป็นว่า เขาในยามนี้ ในใจปรากฏความเจ็บปวดขึ้นมาอย่างไม่รู้สิ้นสุด
ความเจ็บปวดชนิดนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อที่คุกเข่าอยู่บนภูเขาหินตรงนั้นตัวสั่นสะท้าน จนกระทั่งว่า…ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไร มีเสียงถอนหายใจดังมาจากข้างหลังของเขา เงาร่างหนึ่ง ปรากฏอยู่ข้างกาย ฝ่ามืออันอบอุ่นนั้นค่อยๆ วางบนไหล่ของเขา
“เป่าเล่อ เขาเป็นคนที่ควรค่าแก่ความเคารพ”
“เจ้าอย่าทรยศต่อทางเลือกของเขาล่ะ”
หลังจากหวังเป่าเล่อหันหน้าไปก็พบว่าผู้ที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่น แต่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดนั้นคือบิดาของหวังอีอีที่ยืนอยู่ข้างกายตน
“ผู้อาวุโส…”
“ไปเถอะ ตามข้าไปยังดินแดนเซียน อีอีกำลังรอเจ้าอยู่ ศิษย์พี่ของเจ้าเองก็รอเจ้า…” บิดาของหวังอีอี ส่ายหน้ามองไปยังท้องฟ้าห่างไกลก่อนจะก้าวเท้าจากไป
หวังเป่าเล่อที่อยู่บนภูเขาหิน นิ่งเงียบเนิ่นนาน เขามองไปยังทิศที่ชายชุดดำหายลับ หลังจากถอนหายใจก็ติดตามย่างก้าวของบิดาหวังอีอี ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างออกไปไกล
เวลาไหลผ่าน
ท่ามกลางเวลาอันยาวนาน ซึ่งไหลผ่านเบื้องหน้าของหวังเป่าเล่อไปนั้น โดยไม่รู้ตัวเขาก็ตามบิดาของหวังอีอีกลับมาดินแดนเซียน ในพริบตาที่เหยียบเข้าดินแดนแห่งเซียนนี้ เขาก็พบกับหวังอีอี…ที่รอคอยเขามาตลอด
เพียงแต่ว่า…เบื้องหน้าแววตาอบอุ่นและแตกตื่นยินดีของนาง หวังเป่าเล่อกลับก้มศีรษะ คล้ายอยากหลีกหนีเล็กน้อย โดยเฉพาะมีคนบอกเขาไว้ก่อนอยู่แล้ว เวลาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกสิ่งและเยียวยาทุกอย่าง
แต่ว่า…สำหรับหวังเป่าเล่อ ราวกับจุดนี้ไม่ได้มีอยู่ เพราะว่าตัวเขาที่กลับมาดินแดนเซียนแห่งนี้ได้ใช้เวลาไปถึง 30 ปีโดยไม่รู้ตัว
และในเวลา 30 ปีนี้ พลังฝึกปรือของเขาซึ่งแยกส่วนออกจากชายชุดดำนั้น เนื่องจากได้รับสืบทอดเจตนารมณ์แห่งเซียน สืบทอดปราณโลหิตและจิตวิญญาณเทพชั้นสมบูรณ์ พลังของเขาได้ยกระดับไปถึงชั้นที่ไม่อาจคาดเดาได้แล้ว
ทั้งดินแดนเซียนนี้ นอกจากบิดาของหวังอีอี ไม่มีใครรู้ว่าระดับของหวังเป่าเล่อในปัจจุบันอยู่ที่เท่าใด อีกทั้งเรื่องราวระหว่างตัวเขาและร่างต้นนั้นก็ได้กลายเป็นความลับตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ที่รู้เรื่องนี้ทั้งมหาจักรวาลเกรงว่าจะมีน้อยยิ่งกว่าขนหงส์เขากิเลน
และทุกท่านที่ทราบเรื่องนี้ ก็เลือกที่จะเก็บเงียบ
ดังนั้นแล้ว หวังอีอีผู้ที่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหวังเป่าเล่อที่กลับมาภายหลัง 30 ปีนี้กลับเว้นระยะห่างจากตนเองก็ได้แต่คิดไม่ตก สุดท้ายแล้วนางจึงเลือกที่จะรออย่างไม่รีบร้อน
เพราะว่าอดีตและอนาคตของเขา ก็อยู่กับนางที่นี่
วันแล้ววันเล่า หวังอีอีที่เฝ้ารอคอยคำตอบอยู่ห่างๆ กลับมองออกว่า…หวังเป่าเล่อมีเรื่องในใจ เป็นเรื่องอันหนักอึ้ง คล้ายกับว่าเขานั้น…ไม่มีความสุข
นางไม่รู้ว่าจะปลอบเขาเช่นไร จึงได้แต่มองดูอย่างเงียบๆ
หวังเป่าเล่อย่อมไม่สุขใจแท้จริง หลังจากที่เวลาไหลผ่านไป ในครั้งแรกเขาคิดว่าตนจะคิดได้และยอมรับได้ ทว่าในที่สุด เมื่อสิบกว่าปีผ่านไปแล้ว เขาก็ยังทำไม่ได้
“หรือว่า เป็นเพราะเวลายังคงสั้นไปจริงๆ…” หวังเป่าเล่อพึมพำ เขาเดินอยู่บนดินแดนเซียน ไปยังเมืองที่ศิษย์พี่อยู่ แล้วเดินเข้าไปยัง…ร้านเหล้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง
เขาชอบที่นี่ เพราะว่าที่นี่มีศิษย์พี่ สำหรับน้ำใจของศิษย์พี่แล้ว หวังเป่าเล่อสลักมันเอาไว้ในวิญญาณ
เขาชอบเมืองแห่งนี้ เพราะว่าที่นี่มีร้านเหล้าเล็กๆ ในร้านเหล้านอกจากเหล้าข้าวแล้วก็ยังมีน้ำโซดาเย็นชื่นฉ่ำ เถ้าแก่เรียกน้ำโซดานี้ว่าน้ำเย็นหล่อวิญญาณ
หวังเป่าเล่อรู้ว่านี่มิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการจัดการเบื้องหลังของศิษย์พี่ รสชาติของน้ำเย็นหล่อวิญญาณนี้ก็เหมือนในสหพันธรัฐไม่ผิด
ในร้านเหล้าแห่งนี้ หวังเป่าเล่อไม่ดื่มเหล้าข้าวอีก แต่กลับดื่มน้ำเย็นหล่อวิญญาณ…เห็นได้ชัดว่านี่มิใช่เหล้าแต่ทุกครั้งที่เขาดื่มจะต้องเมา
และคราวนี้ก็เช่นกัน
หวังเป่าเล่อนั่งอยู่ข้างโต๊ะที่มองเห็นวิวถนน เขามองไปด้านนอกพลางค่อยๆ จิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณทีละอึก ดวงตาเริ่มฉายแววเมามาย
กระทั่งดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ เข้าสู่ช่วงเย็นย่ำ ผู้เยาว์รายหนึ่งก็เดินเข้ามาแล้วนั่งลงตรงข้ามหวังเป่าเล่อ
“เป่าเล่อ หลายปีมานี้ ข้าถามเจ้าอยู่สามครั้ง ทำไมเจ้ากลับมาแล้วปวดใจเช่นนี้ เจ้าไม่เคยตอบข้าเลย” ผู้เยาว์หยิบเหล้าขวดหนึ่งออกมาจิบอึกหนึ่ง ก่อนจะวางลงบนโต๊ะ และมองหวังเป่าเล่อ
ผู้เยาว์รายนี้ก็คือศิษย์พี่ของเขา เฉินชิงจื่อ
20 ปีก่อน เขาฟื้นฟูความทรงจำได้ทั้งหมดแล้ว
หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ครึ่งเค่อให้หลังถึงค่อยมองเฉินชิงจื่ออย่างสับสน เนิ่นนานก็เอ่ยปากขึ้นมา
“หากข้ากล่าวว่า ข้ามิใช่ศิษย์น้องของท่าน ข้ามิใช่หวังเป่าเล่อตัวจริง ท่าน…”
“เจ้าเป็น!” เฉินชิงจื่อเอ่ยปากอย่างจริงจัง
“ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเจ้าบ้าง แต่ว่าในใจของข้า วิญญาณของข้า ความรู้สึกของข้า ทุกสิ่งที่ข้าสัมผัสได้บอกกับข้าว่าเจ้าก็คือศิษย์น้องของข้าอย่างไม่ต้องสงสัย!”