ตอนที่ 1,156 พ่ายแพ้

เป็นเจิ้นหรู่หลงที่ลอยกระเด็นกลับมา

เดิมทีเจิ้นหรู่หลงมีกระบี่อยู่สามเล่ม ขณะนี้กระบี่สองในสามเล่มได้แตกหักไปแล้ว ส่วนกระบี่อีกหนึ่งเล่มกลับทิ่มแทงทะลุลำตัวของเขาเอง ส่งผลให้เกิดบาดแผลฉกรรจ์…

บาดแผลของเจิ้นหรู่หลงแทรกซึมด้วยมวลพลังปราณสีทองคำ

“แข็งแกร่งเกินไป… พรวด!”

เจิ้นหรู่หลงลุกขึ้นยืนโงนเงน กล่าวไม่ทันจบประโยค มวลพลังสีทองคำนั้นก็แล่นขึ้นไปถึงใบหน้า แล้วชายวัยกลางคนก็กระอักเลือดออกมาจากปากคำใหญ่

เลือดของเขามีสีทองคำเจือปนชัดเจน

หลินเป่ยเฉินรีบเข้าไปใช้พลังวารีบำบัดรักษา

ต้องไม่ลืมว่าเจิ้นหรู่หลงเคยยกย่องเขาขนาดไหน

หลินเป่ยเฉินไม่เคยทอดทิ้งผู้ที่ชื่นชมเขาอยู่แล้ว

เด็กหนุ่มสาดละอองน้ำใส่เจิ้นหรู่หลง

แต่เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าพลังวารีบำบัดไม่สามารถรักษาบาดแผลที่เกิดขึ้นจากพลังปราณทองคำของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ได้

“ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึงแล้วสินะ?”

หลินเป่ยเฉินรู้แล้วว่าพลังปราณธาตุทองคำของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ มีระดับสูงล้ำมากกว่าพลังปราณธาตุทองคำของเขา

ครั้งสุดท้ายที่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ต้องย้อนกลับไปตอนที่เขาใช้พลังวงแหวนวารีรักษาอาการบาดเจ็บของเกาเฉิงฮั่น

ดังนั้นหลินเป่ยเฉินจึงได้ข้อสรุปออกมาว่า…

พลังวารีบำบัดของตนเองสามารถรักษาได้ก็ต่อเมื่อบาดแผลนั้นเกิดขึ้นจากผู้ที่มีขั้นพลังเทียบเท่าหรือต่ำกว่าเขาเท่านั้น

หากอีกฝ่ายมีพลังเหนือล้ำกว่าเขา พลังวารีบำบัดก็แทบจะไม่บังเกิดผลเลย

เพราะอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้น ไม่ใช่สิ่งที่ขอบเขตพลังของหลินเป่ยเฉินจะสามารถจัดการได้

อย่างเช่นในขณะนี้ หลินเป่ยเฉินใช้พลังวารีบำบัดออกไปแล้ว หกเจ็ดรอบ แต่ก็ยังไม่สามารถบรรเทาอาการบาดเจ็บของเจิ้นหรู่หลงได้ มิหนำซ้ำ โลหิตที่เป็นสีแดงเจือปนสีทองคำก็ยังคงไหลทะลักออกมาจากบาดแผลของเจิ้นหรู่หลงอย่างต่อเนื่อง…

แต่โชคดีที่ชีพจรกลับมาคงที่แล้ว

“ขอบใจเจ้ามาก”

เจิ้นหรู่หลงใบหน้าขาวซีด เมื่อขอบคุณเด็กหนุ่มเสร็จสิ้น เขาก็กลับเข้าร่วมวงต่อสู้อีกครั้ง

นับว่าเป็นนักสู้จริง ๆ

หลินเป่ยเฉินเคยได้ยินตำนานที่เล่าขานว่าในสงครามยุคโบราณของชาติจีน ยอดขุนศึกนักสู้ในยุคโบราณเคยแม้กระทั่งถูกแทงลำไส้ไหลทะลัก พวกเขาก็ยังรัดพันลำไส้เข้ากับรอบเอวของตนเอง ก่อนหยิบจับอาวุธสู้ต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่แน่นอนว่านั่นคงมาเทียบกับร่างแยกของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ซึ่งกำลังต่อสู้ทั้ง ๆ ที่หัวขาดไม่ได้

หลินเป่ยเฉินทราบดีว่าสถานการณ์ในขณะนี้เลวร้ายมากเพียงใด

หากวันนี้พวกเขาไม่ชนะ ก็คงไม่มีผู้ใดสามารถรอดพ้นจากความตายได้อีก

ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงถือกระบี่เงินเข้าร่วมวงต่อสู้ด้วยเช่นกัน

เขาใช้วิชากระบี่ระดับเซียนของตนเองออกมา

คมกระบี่สีทองคำสาดกระจาย

เมื่อหลินเป่ยเฉินลงมือ กระบี่เงินในมือเขาก็กลายเป็นกระบี่ทองคำ

แลดูงดงามเป็นอย่างยิ่ง

วูบ! วูบ!

ทันใดนั้น ‘ดวงตา’ ทั้งสองข้างบนหน้าอกของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ก็ยิงลำแสงสีแดงออกมา

เคร้ง! เคร้ง!

ลำแสงสีแดงนั้นสามารถสลายรังสีกระบี่ของหลินเป่ยเฉินได้โดยทันที

และร่างแยกของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ก็ยกกระบี่ในมือขึ้นมาฟาดฟันอย่างรวดเร็ว ใครบางคนถูกกระบี่นี้เล่นงานเข้าอย่างจัง…

วูบ!

เป็นฮั่วเฟยฮัวเจ้าสำนักคฤหาสน์กำยานกระอักเลือดออกจากปาก ก่อนที่ตัวคนจะลอยกระเด็นออกไป

‘หมาป่าส่งเสียงคำรามกังวานไปทั่วแดนดิน ธงมังกรยกสะบัดบนอานม้า กระบี่พลิ้วไหวทิ่มแทงหัวใจแม่น้ำเหลือง ต่อให้ต้องสู้อีกยี่สิบปีก็ไม่หวั่น…’

ทันใดนั้น เสียงบทเพลงที่ปลุกเร้าจิตใจดังขึ้นในสุสานใต้ดิน

เป็นหลินเป่ยเฉินเปิดเพลงเอง

นี่คือเพลงที่เขาดาวน์โหลดมาจากแอป NetEase Cloud Music ก่อนหน้านี้ และที่ดาวน์โหลดมาก็เพื่อเอาไว้เปิดในสถานการณ์เช่นนี้โดยเฉพาะ

ทุกคนที่ได้ยินบทเพลงนี้จะมีจิตใจฮึกเหิมขึ้นมาทันที

ไม่ว่าเป็นพลังลมปราณ พลังจิต หรือสภาพจิตใจ ล้วนพุ่งทะยานถึงขีดสุด

มีแต่เพียง ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่ได้รับประโยชน์จากบทเพลงนี้

ดังนั้นสถานการณ์จึงดูดีขึ้นมาเล็กน้อย

ในกลุ่มยอดฝีมือที่กำลังปิดล้อม ‘เว่ยหมิงเฉิน’ เม่ยฮัวโส่วและสตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดนามแม่นางหลินคือผู้ที่มีระดับพลังแข็งแกร่งมากที่สุด ตามมาด้วยฮั่วเฟยฮัวและลู่กวนไห่ตามลำดับ

เจิ้นหรู่หลงได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้แต่ทรงกายยืนหยัดยังแทบทำไม่ได้ ถึงจะเข้าร่วมวงต่อสู้ แต่จะนับเป็นผู้มีประโยชน์ได้อย่างไร?

ทว่า ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ก็กำลังจะตกเป็นรอง

จังหวะนั้น หลินเป่ยเฉินกระโดดเข้าร่วมวงต่อสู่

วูบ! วูบ! วูบ!

“กระบวนท่ากระบี่ที่ 1 กระบวนท่ากระบี่ที่ 2”

กระบวนท่าจากวิชากระบี่ 17 คาบสมุทรถูกใช้ออกมาอย่างต่อเนื่อง

รังสีกระบี่ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าพุ่งเข้าไปที่ใจกลางหน้าอกและหัวใจของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’

สวบ!

รังสีกระบี่แทงทะลวงเข้าไป

“ตายหรือยัง? ไม่มีทาง…”

หลินเป่ยเฉินกำลังจะยิ้มออกมาด้วยความดีใจ แต่แล้วเขาก็สังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เพราะรังสีกระบี่สองสายที่ทะลวงหน้าอกและหัวใจของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ นั้น สร้างรูโลหิตให้ไหลทะลักออกมา แต่รูโลหิตเหล่านั้นกลับสามารถสมานตัวได้อย่างรวดเร็วในเวลาเพียงพริบตาเดียว

“ให้ตายเถอะ นี่จะกลายเป็นหนังวิทยาศาสตร์อีกแล้วหรือไง? นี่เรากำลังสู้อยู่กับเทอร์มิเนเตอร์หรือมนุษย์เหล็กไหลวะเนี่ย?”

หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความไม่เข้าใจ

ดูเหมือนว่าพลังแฝงที่ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ทิ้งเอาไว้ในร่างแยกร่างนี้ จะทำให้ผู้อาวุโสจากสำนักมหากระบี่ผู้เป็นเจ้าของร่างได้กลับกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่มีวันตายไปโดยสมบูรณ์แล้ว

แล้วเขาจะสู้ได้อย่างไร?

เรื่องนี้ไม่ถูกต้อง

ทำไมถึงไม่ปล่อยให้สัตว์ประหลาดตัวนี้ไปสู้กับวิญญาณปีศาจที่ถูกปิดผนึกอยู่ในร่างของอาจารย์ใหญ่ผู้ก่อตั้งเมืองไป๋หยุนเลยล่ะ?

การต่อสู้ดำเนินต่อไป

เปรี้ยง!

เม่ยฮัวโส่วลอยกระเด็นออกมา

โลหิตสาดกระจายในอากาศ

“พวกเราถอย”

ลู่กวนไห่หันหน้ามาร้องตะโกนออกคำสั่งต่อมือกระบี่ชาวเมืองไป๋หยุนที่ยังรอดชีวิต “รีบหนีไปจากที่นี่และปิดผนึกบ่อลาวา”

เสี่ยวหรานรีบนำผู้ติดตามของตนเองวิ่งเข้าไปในส่วนลึกของสุสานใต้ดินทันที

เม่ยหลินยืนดูการต่อสู้อยู่นาน หลังจากลังเลเล็กน้อย เขาก็ตัดสินใจติดตามพวกของเสี่ยวหรานหลบหนีออกไปพร้อมกับพี่น้องร่วมสำนัก

หลินเป่ยเฉินสู้ไปพลางพร้อมกับใช้พลังวารีบำบัดรักษาพรรคพวกของตนเองไปด้วย

“อ๊าก…”

เจิ้นหรู่หลงส่งเสียงร้องโหยหวน

เนื่องจากเขาถูกร่างไร้ศีรษะของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ใช้แขนข้างหนึ่งโอบรัดรอบลำคอ ทำให้กระดูกต้นคอได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง

และพลังปราณสีทองก็กำลังแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว

“ทุกคนรีบหนีไป”

เจิ้นหรู่หลงคำรามออกมาพร้อมกับโคจรพลังลมปราณเฮือกสุดท้าย ตั้งใจจะระเบิดพลีชีพตนเองเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนได้หลบหนี

แต่ในลมหายใจต่อมา เกิดพลังลมดูดอันแปลกประหลาดออกมาจากฝามือและนิ้วมือของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ที่กำลังรัดคอเขาอยู่ และพลังลมปราณที่เหลืออยู่ในร่างกายเจิ้นหรู่หลงทั้งหมดก็ถูกดูดซับสลายหายไปทันที

ร่างของเจ้าสำนักกระบี่กังวานพลันหดแฟบลงราวกับลูกโป่งถูกปล่อยลม ตัวคนที่เคยกำยำล่ำสันบัดนี้เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก

สวนทางกับร่างกายของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ที่ใหญ่โตมากขึ้น

ม่านพลังสีทองคำที่ห่อหุ้มร่างกายของเขาเจิดจรัสมากขึ้น

“ท่านพี่”

เจิ้นหรู่เจียวผู้เป็นน้องชายของเจิ้นหรู่หลงก่อนหน้านี้ได้ล่าถอยออกมาแล้ว แต่เมื่อเห็นพี่ชายของตนเองถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา เขาก็ระเบิดเสียงคำรามและกระโจนเข้าหา ‘เว่ยหมิงเฉิน’ อย่างไม่คิดอะไรอีก

วูบ!

รังสีกระบี่สีทองคำสาดกระจาย

แล้วร่างของเจิ้นหรู่เจียวก็ระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือด

ตัวเขามีพลังไม่ถึงขั้นเซียน แน่นอนว่าย่อมไม่มีคุณสมบัติดีพอที่จะเข้าร่วมวงต่อสู้ในครั้งนี้

ภาพที่เกิดขึ้นทำให้หัวใจของทุกคนสั่นไหว

หยุดไม่ได้แล้ว

แม้ว่าสัตว์ประหลาดที่พวกเขากำลังพบเจอจะเป็นเพียงร่างแยกจากพลังแฝงของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันมีความแข็งแกร่งมากกว่าผู้มีพลังขั้นเซียนทั่วไป

ต่อให้พวกเขาผนึกกำลังสู้ต่อ ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเอาชนะได้

หลินเป่ยเฉินกำลังตัดสินใจว่าเขาควรจะลาก ‘เว่ยหมิงเฉิน’ เข้าไปสู่อาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ของตนเองดีหรือไม่

แต่พิจารณาจากกลุ่มคนที่กำลังต่อสู้อยู่กับ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ นอกจากมือกระบี่เมืองไป๋หยุนแล้ว ก็ยังมีชนชั้นยอดฝีมือระดับเจ้าสำนักอยู่อีกหลายคนไม่ใช่หรือ…

รอดูสถานการณ์ไปก่อนดีกว่า

“พวกเราถอย”

ลู่กวนไห่ระเบิดเสียงคำรามออกมาด้วยความร้อนรน

สีหน้าของนางปรากฏความวิตกกังวลอย่างชัดเจน

“พวกเราถอยไม่ได้อีกแล้ว”

ร่างกายของฉู่อวิ๋นซุนเปียกชุ่มด้วยโลหิต ส่งเสียงคำรามตอบกลับมา “เราต้องปกป้องสะพานแห่งนี้ให้ได้ มิฉะนั้นทุกอย่างจะสูญเปล่า”

โลหิตที่ไหลออกมาจากบาดแผลของฉู่อวิ๋นซุนเริ่มเป็นของเหลวสีทองคำ ตัวเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้จะได้รับพลังวารีบำบัดของหลินเป่ยเฉินจนเหนือศีรษะปรากฏวงแหวนสีเขียว แต่บาดแผลของฉู่อวิ๋นซุนก็ยังไม่สามารถสมานตัวได้อยู่ดี

“ต้องใช้เวลาอีกนานเพียงใด?”

เม่ยฮัวโส่วถามออกมาก่อนกระอักโลหิต

ลู่กวนไห่ตอบว่า “เป็นเวลาหนึ่งก้านธูป”

ฮั่วเฟยฮัวส่งเสียงแทรกขึ้นมาว่า “บัดนี้พวกเราก็แทบทนไม่ไหวกันอยู่แล้ว จะยื้อเวลาได้อย่างไรอีกตั้งหนึ่งก้านธูป?”

เดี๋ยวก่อนนะ?

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความงุนงง

นี่เขาพลาดอะไรไปหรือเปล่า?

คนกลุ่มนี้กำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่เนี่ย?