ราชันเร้นลับ 1324 : รับมือ

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ขณะมองลงไปยังชั้นล่าง แคทลียาถอนสายตากลับและเดินออกจากห้องกัปตัน ตรงไปยังทางเข้าเขตห้องโดยสาร รอจนกระทั่งแฟรงค์·ลีเดินเข้ามาหาในสภาพถือถังเบียร์

“กัปตัน สักแก้วไหม?” แฟรงค์ถามขณะยกถังเบียร์ด้วยมือหนึ่งข้าง

แคทลียาส่ายหน้าหนักแน่น ตามด้วยถามอย่างเป็นกันเอง

“นี่ก็เป็นเจตจำนงของมารดาผู้มีพระคุณเหมือนกันหรือ”

“เปล่า” แฟรงค์ตอบด้วยสีหน้าขึงขัง “ผมแค่คิดว่า การดื่มเบียร์ที่ปนเปื้อนยาระงับประสาทรุ่นปรับปรุงเป็นเวลานานยังสร้างผลเสียต่อร่างกายอยู่บ้าง จึงอยากให้พวกเขาหันมาดื่มของมึนเมาแบบไม่มีแอลกอฮอล์… ตอนนี้ยังเป็นแค่ตัวต้นแบบของเบียร์ปลอดแอลกอฮอล์ ข้อเสียเดียวคือไม่สามารถกลั่นเพื่อเพิ่มรสชาติได้”

แคทลียาไม่รู้ว่าควรตกใจในเรื่องไหนก่อนดี ท้ายที่สุด เธอผลักแว่นเลนส์หนาบนสันจมูกพลางกล่าว

“นายเคยได้รับนิมิตหรือวิวรณ์จากมารดาผู้มีพระคุณบ้างไหม?”

“ไม่เคย” แฟรงค์ส่ายหน้า

ฟู่ว… แคทลียาถอนหายใจเงียบอย่างโล่งอก

แฟรงค์เป็นฝ่ายพูดเสริมด้วยท่าทีผ่อนคลาย

“เจตจำนงของมารดาผู้มีพระคุณนั้นดังมาจากรวงข้าวสาลี น้ำนมวัว เห็ด และในซอกทุกมุมของธรรมชาติ สามารถสัมผัสได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านวิวรณ์”

แคทลียาจ้องเข้าไปในดวงตาแฟรงค์ แต่ก็ไม่พบความบ้าคลั่ง มีเพียงความใส่ซื่อบริสุทธิ์

หญิงสาวไม่กล่าวคำใดเพิ่มเติม เพียงพยักหน้าและเดินผ่านแฟรงค์ไปทางดาดฟ้าเรือ

หลังจากดื่มด่ำทิวทัศน์ท้องทะเลนานหลายนาที หญิงสาวกลับไปยังห้องกัปตัน คลี่กระดาษจดหมายขึ้นมาเขียน:

“คุณคิดเห็นอย่างไรกับพฤติกรรมของแฟรงค์บ้าง? เขาอ้างว่าไม่ได้รับนิมิตหรือวิวรณ์จากมารดาผู้มีพระคุณ แต่ได้ฟังเจตจำนงของพระองค์ผ่านทุกส่วนของธรรมชาติ”

นี่เป็นจดหมายถึงเกอร์มัน·สแปร์โรว์ แคทลียาเชื่อว่าการเสริมคำถามลงไปจะช่วยให้อีกฝ่ายเข้าใจความนัยแฝงของตน

พับจดหมายเสร็จ หญิงสาวหยิบเหรียญทองคำออกมาและเริ่มอัญเชิญผู้ส่งสารที่น่าสะพรึง

มาดามเฮอร์มิทส่งจดหมายทันทีที่จบชุมนุมทาโรต์… ไม่น่าจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับปราชญ์เร้นลับ ไม่มีทางเร็วขนาดนี้แน่… ปัจจุบัน ไคลน์กำลังโดยสารเรือกลไฟไปบนแม่น้ำทัสซอค

แต่งกายในชุดคลุมสีดำ ชายหนุ่มรับกระดาษจดหมายจากมิสผู้ส่งสาร คลี่ออกอ่านและกวาดสายตารวดเร็ว

นี่มัน… ไคลน์ขมวดคิ้วทันที

คงเป็นเพราะแฟรงค์ในยามปรกติมักเป็นตัวอันตรายจนใกล้เคียงกับคำว่าเสียสติ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีใครคิดว่า ‘ดรูอิด’ รายนี้ถูกล่อลวงโดยมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทรามไปแล้ว

แฟรงค์เคยถูกส่งขึ้นศาลของโบสถ์พระแม่ธรณีในข้อหาทำการทดลองต้องห้าม… หากพระแม่ธรณีไม่ถูกกัดกร่อน และกระบวนการภายในโบสถ์ไม่มีการกลั่นแกล้ง ก็หมายความว่าแฟรงค์เป็นตัวปัญหาจริงๆ … แต่ว่า ถ้าหลักฐานชัดเจนขนาดนั้น แล้วทำไมแฟรงค์ถึงยังรอดชีวิตหลังจากขึ้นศาล? ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์พยายามวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับแฟรงค์ที่ตนมี

พฤติกรรมอื่นของแฟรงค์ไม่มีความผิดปรกติ สัญลักษณ์มือในการสรรเสริญเทพของแฟรงค์อาจแตกต่างจากคนอื่นเล็กน้อย แต่นั่นก็เป็นกันทุกโบสถ์ เพราะแม้แต่ผู้วิเศษของโบสถ์รัตติกาลเอง ก็ใช่ว่าทุกคนจะแตะครบสี่จุด บางคนแตะแค่จุดสุดท้ายจุดเดียว…

นอกจากปัญหาอยู่หนึ่งเรื่อง ที่เหลือแฟรงค์ดูธรรมดามาก แต่ปัญหาที่ว่าก็คือ แฟรงค์ชอบทำตัวเหมือนกับเป็นเด็กที่ถูกมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทรามเลี้ยงดูมา… ไตร่ตรองสักพัก ไคลน์คาดเดาได้สองแง่มุม:

อาจเป็นไปได้ทั้ง การกัดกร่อนในตัวแฟรงค์ตรวจพบได้ยากมาก จนแม้แต่โบสถ์พระแม่ธรณีก็มองไม่เห็น หรือไม่ก็ แฟรงค์ไม่เคยถูกมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทรามกัดกร่อนมาตั้งแต่ต้น สิ่งเดียวที่เป็นปัญหาคือสมองของแฟรงค์ซึ่งชอบทำตัวเหมือนข้ารับใช้เทพมาร…

โดยไม่เสียเวลาคิดหาคำตอบ ไคลน์เชื่อว่าทั้งสองแง่มุมต่างก็ไม่ใช่เรื่องดีทั้งคู่

มันยังไม่ลืม แฟรงค์สามารถเอาชนะอุปสรรคสุดท้ายและสร้างเห็ดในอุดมคติของไคลน์ได้สำเร็จ เพราะแคทลียาจัดหาผู้ช่วยซึ่งเป็นสาวกของดวงจันทร์บรรพกาลมาให้ และดวงจันทร์บรรพกาลคือหนึ่งในอวตารของมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม

กล่าวคือ นับแต่นั้นเป็นต้นมา ต่อให้แฟรงค์ไม่เคยเป็นตัวปัญหามาก่อน แต่ก็มีโอกาสสูงที่มันจะถูกจับตามองโดยมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม

และนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี

แต่อย่าเพิ่งตัดความเป็นไปได้ที่ว่า แฟรงค์อาจบ้าบิ่นเกินไปจนมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทรามยกธงขาวและถอนสายตากลับ… ไคลน์รำพันติดตลก หวังจากก้นบึ้งให้ผลลัพธ์ลงเอยเช่นนี้

แต่นั่นคงเป็นไปไม่ได้… สามัญสำนึกและวิธีคิดของเทพภายนอก ไม่ใช่สิ่งที่ครึ่งเทพสามารถทำความเข้าใจ…

ไคลน์ผุดข้อสันนิษฐาน: หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าสมอของทวยเทพจะถูกทำลาย จนเทพทุกตนล้วนเสียสติและหันมาห้ำหั่นกันเอง จนตะกอนพลังไหลมารวมเป็นหนึ่งและทำให้ ‘มหาต้นกำเนิด’ คืนชีพ เทพภายนอกคงไม่มัวเสียเวลาแทรกแซงผ่านบาเรียของโลก แต่จะเลือกทำลายดวงอาทิตย์โดยตรงเพื่อปั่นป่วนระบบนิเวศของโลก ต้องไม่ลืมว่าข้อจำกัดของพวกมันมีแค่โลก นอกเหนือจากนั้น เทพภายนอกสามารถทำตามอำเภอใจได้โดยไม่มีใครขัดขวาง

ในบางครั้ง ไคลน์ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ดวงอาทิตย์ที่นักดาราศาสตร์มองเห็นเป็นของจริงหรือไม่ หรือความจริงแล้วเป็นสุริยันเจิดจรัสที่นำตัวเองไปแขวนไว้บนนั้น

เห็ดที่แฟรงค์สร้างยังไม่เผยปัญหาใดจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งเรายังฆ่าเชื้อโรคทั้งหมดบนมิติหมอกแล้ว… นอกจากนั้น ยังไม่มีความผิดปรกติใดเกิดกับชาวเมืองเงินพิสุทธิ์และจันทรา และหลังออกจากดินแดนเทพทอดทิ้ง พวกเขาก็เลิกเพาะเห็ด เพราะไม่มีศพสัตว์ประหลาดเป็นแหล่งอาหาร… ยิ่งครุ่นคิดร่างกายไคลน์ก็ยิ่งหนาวสั่น

หากไม่ใช่เพราะพลังในการทะลุทะลวงบาเรียของมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทรามยังมีขีดจำกัด ไคลน์เชื่อว่าป่านนี้ไพ่เย้ยเทพที่ตนรวบรวมมาได้ รวมถึงเห็ดของแฟรงค์ คงทำให้ตนถูกกัดกร่อนจนเจ้าของปราสาทต้นกำเนิดเปลี่ยนมือโดยไม่รู้ตัว

แต่ตอนนี้สบายใจได้ พวกมันถูกเก็บไว้บนมิติหมอกเป็นเวลานานโดยมิได้แสดงความผิดปรกติใด

เมื่อเปรียบกับมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายที่เปิดเผยและโจ่งแจ้งมากกว่า มารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทรามซึ่งคอยแทรกซึมทุกสิ่งอย่างลับๆ นั้นน่าสะพรึงกลัวกว่าหลายเท่า!

ทั้งมิสเตอร์ประตูและมหาจักรพรรดิล้วนถูกพระองค์กัดกร่อนโดยไม่รู้ตัว

ยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ทั้งที่สูญเสียสองเส้นทางและหนึ่งแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด… สมแล้วที่ได้ชื่อว่าเทพภายนอกที่แข็งแกร่งที่สุด… ไคลน์ถอนหายใจยาว หยิบปากกาและกระดาษ เตรียมเขียนคำตอบกลับไปหาแคทลียา

ทันใดนั้น มันเพิ่งตระหนักว่ามิสผู้ส่งสารยังยืนรออยู่ มิได้กลับไปยังโลกวิญญาณ ดวงตาทั้งแปดบนสี่เศียรจ้องมาทางตนโดยไม่กะพริบ

“คุณคิดยังไงกับแฟรงค์” ไคลน์ลังเลก่อนจะถาม “ผมหมายถึง อย่างอื่นที่ไม่ใช่ชื่อเล่น”

สี่หัวทองตาแดงของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์กล่าวเรียงกัน

“เคยดูเหมือน…” “เด็กที่ถูก…” “เทพภายนอก…” “เก็บมาเลี้ยง…”

หรือกล่าวได้ว่า แฟรงค์ไม่เคยถูกมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทรามกัดกร่อน ปัญหาอยู่ที่สมองของเขาล้วนๆ … ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก

จากนั้น ชายหนุ่มถาม

“แล้วตอนนี้?”

ทุกครั้งที่แฟรงค์เขียนจดหมายถึงเกอร์มัน·สแปร์โรว์ มันจะอัญเชิญไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์เสมอ ไคลน์จึงเชื่อว่ามิสผู้ส่งสารซึ่งมีระดับตัวตนสูง น่าจะมองถึงสถานะของราชาเห็ดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

“ข้า…” “เองก็…” “ไม่…” “แน่ใจ…” สี่หัวของไรเน็ตต์ตอบเรียงกันอีกครั้ง

จากนั้น เธอเสริม

“อย่างน้อย…” “ในตอนนี้…” “ร่างกาย…” “มิได้ถูกกัดกร่อน…”

หมายความว่า ยังมีโอกาสที่สมองจะถูกกัดกร่อน? นอกจากนั้น หากไม่นับเรื่องที่แฟรงค์มีลำดับต่ำกว่าเรา เขาทำตัวเหมือนเทพมารยิ่งกว่าเราเสียอีก… ไคลน์จิกกัดติดตลกก่อนจะดีดเหรียญทอง

ด้วยความช่วยเหลือของสื่อกลาง มันเข้าสู่ภาวะ ‘ทำนายด้วยความฝัน’ ทันที

ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มพร้อมที่จะส่งตัวเองเข้าไปในปราสาทต้นกำเนิดและตัดขาดการเชื่อมต่อทุกชนิดจากเทพภายนอก

ฉากจำนวนมากทยอยฉาย ไคลน์มองเห็นอนาคตอันหลากหลาย

ภัยซ่อนเร้นที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับแฟรงค์คือสาวกดวงจันทร์บรรพกาล… เราต้องจับแฟรงค์แยกออกมา ไม่อย่างนั้นเรื่องราวจะยุ่งเหยิงและเต็มไปด้วยอันตราย… ขอเพียงแฟรงค์ไม่สัมผัสกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมารดาเทพธิดาแห่งการเสื่อมทราม และไม่เลื่อนลำดับเป็นเครื่องเทพ แฟรงค์ก็จะไม่เป็นตัวอันตราย… หากเกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง มีโอกาสสูงที่โลกจะเผชิญภัยพิบัติ และถ้าเกิดสองกรณีพร้อมกัน… มองไม่เห็นแสงสว่างเลยสักนิด… ไคลน์ลืมตาตื่น พลางตีความผลการทำนายเมื่อครู่

อาจเป็นเพราะระดับของแฟรงค์ยังต่ำเกินไป และตัวไคลน์เองก็แทบไม่ได้รับผลกระทบ การทำนายจึงค่อนข้างราบรื่นและปราศจากปัญหา

ฟู่ว… ชายหนุ่มถอนหายใจผ่อนคลายพร้อมกับยื่นมือออกไปคว้าเหรียญทอง

ทันใดนั้น มันสังเกตเห็นว่าดวงตาทั้งแปดของไรเน็ตต์กำลังจ้องมายังเหรียญทองเป็นตาเดียว

ไคลน์เลิกคิ้วด้วยความสงสัย

“มัน…” “มี…” “ออร่า…” “ปราสาทต้นกำเนิด…” สี่หัวทองแปดตาแดงกล่าว

นี่คือหนึ่งในห้าเหรียญทองที่เราชอบนำมาใช้ทำนาย… ถูกปนเปื้อนด้วยออร่าของปราสาทต้นกำเนิด? หมายความว่า มันจะกลายเป็นวัตถุวิเศษซึ่งมีคุณสมบัติบางอย่าง แต่ยิ่งนานไปก็ยิ่งเสื่อมพลัง… ไคลน์ก้มจ้องเหรียญทองในมือ พลางประเมินด้วยประสบการณ์และสัมผัสวิญญาณ

เหรียญทองนี้จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการทำนาย และเพิ่มพลังต่อต้านการทำนายถึงให้ผู้ถือ

สำหรับชายหนุ่ม นี่เป็นความรู้ใหม่ที่ค่อนข้างน่าประทับใจ มันจึงตัดสินใจได้ทันที: หลังจากนี้ในอนาคต ตนจะใช้เหรียญทองจริงในการทำนายแทนภาพฉาย

เก็บเหรียญทองกลับ ชายหนุ่มเขียนจดหมายตอบกลับมาดามเฮอร์มิทและยื่นให้ไรเน็ต·ไทน์เคอร์

หลังจากส่งเหรียญทองให้ผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ พลเรือเอกดวงดาวแคทลียา คลี่กระดาษออกและกวาดตาอ่านจดหมายอย่างรวดเร็ว

อ่านจบ หญิงสาวรู้สึกคล้ายกับว่า มีน้ำหนักที่มองไม่เห็นกดลงบนบ่าของเธอ

แคทลียารีบหยิบกระดาษจดหมายอีกแผ่นออกมาเขียน

“ถึงองค์ราชินี…”

“ดิฉันฝันว่า พระองค์ได้พบเกาะโบราณและเดินทางกลับอย่างราบรื่น…”

“อาการของลูกหลานมหาจักรพรรดิคนนั้นนับวันยิ่งแน่ลง ถ้าปล่อยไว้บนอนาคตกาลต่อไป ดิฉันเกรงว่าเขาคงกลายเป็นบ้าในอีกไม่ช้า หากองค์ราชินีไม่ขัดข้อง ดิฉันอยากจะส่งเขาไปหาคุณ…”

“สิ่งที่ต้องระวังก็คือ แม้เขาจะอ้างว่าเลิกนับถือดวงจันทร์บรรพกาลแล้ว แต่ก็ไม่มีใครทราบข้อเท็จจริงอยู่ดี”

“…”

“ปัญหาหนักอกของดิฉันในตอนนี้ก็คือ เป็นการยากที่จะได้ครอบครองวัตถุดิบหลักของโอสถ ‘ผู้หยั่งรู้’ … หากองค์ราชินีกลับมาถึงเมื่อไร ดิฉันอยากหาเวลานำตะเกียงวิเศษประทานพรไปคืน…”

…………………………………