บทที่ 1453 ข่าวสารเรื่องหนึ่ง

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

เผ่าพันธุ์ทั้งหลายในแดนดาราแห่งนี้ทราบว่า บนดินแดนนั้นน่ากลัวว่าจะมีเทพมารบรรพกาลที่ดุร้ายหลับใหลอยู่องค์หนึ่ง

ตามบันทึกเรื่องเล่าแต่โบราณ ดินแดนที่ลอยไปมานั้น ต่อให้มองจากระยะไกลมากเพียงแค่แวบเดียว ก็จะพาให้สภาวะจิตปั่นป่วน ในพริบตานั้นจะได้เห็นสิ่งที่ปรารถนาที่สุดในชีวิต

แต่ละสรรพชีวิตล้วนมองเห็นสิ่งนี้แตกต่างกัน แต่สิ่งเดียวที่ไม่มีข้อยกเว้นก็คือภายในใจจะเกิดความคลุ้มคลั่ง ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะเหยียบลงบนผืนดินแห่งนี้ และค้นหาสิ่งที่ใจปรารถนา

เรื่องนี้ แม้จะผ่านไปกว่าล้านปีแล้ว แต่สำหรับอารยธรรมในแดนดารานั้นถือเป็นเรื่องที่สร้างอิทธิพลอย่างลึกซึ้ง ถึงกับถูกบันทึกเอาไว้ กลายเป็นตำนานเล่าขานสืบมา และแม้ว่าจะผ่านไปนานสักเท่าไร ก็มีคนจากอารยธรรมต่างๆ เป็นจำนวนมากล่วงรู้เข้า

แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เกินความคาดหมายมากไปหน่อย หลังจากเวลาผ่านไปนานกว่านั้น เรื่องราวก็กลายเป็นเทพนิยาย

เหล่าผู้ฝึกตนที่เล่าขานเรื่องนี้ก็เอ่ยขึ้นมาในร้านเหล้าสาธารณะในดินแดนหนึ่งเท่านั้น เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าปากต่อปากที่ใช้สนองความเพลิดเพลิน และก็มีผู้ฝึกตนจากมหาจักรวาลได้ยินเข้าให้ก็เท่านั้น

เพียงแต่ว่า…สำหรับมหาจักรวาลที่หวังเป่าเล่ออยู่ หลังจากที่เหล่าตระกูลต่างๆ ออกไปเสาะหา ก็จะมีข่าวมากมายส่งกลับมาแทบทุกวัน บ้างก็อาศัยวิชาสื่อสารกระแสจิต บ้างก็เก็บซ่อนเรื่องราวเอาไว้ในสมองมนุษย์

แต่ไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธีใด หรือว่าถูกมหาชนล่วงรู้แล้วก็ดี หรือถูกคนควบคุมไว้แล้วก็ช่าง ข่าวนี้ในบางครั้งสำหรับตัวหวังเป่าเล่อแล้ว…ตัวเขาเองก็พอจะได้ยินมันมาบ้างเช่นกัน

กล่าวง่ายๆ ก็คือ ความลับอันเป็นสรรพชีวิตที่ก่อกำเนิดในมหาจักรวาลนี้ แม้จะคิดว่าเป็นความลับที่ตนได้ล่วงรู้ หากแต่แท้จริงแล้ว ในช่วงเวลาเหล่านั้น…รูปสลักหวังเป่าเล่อก็ได้รับรู้ทุกข่าวสารผ่านตัวพวกเขาเช่นกัน

ในเวลาหลายแสนปีที่ผ่านมา รูปสลักได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล กระทั่งว่า…ในยามนี้รูปสลักมีอำนาจควบคุมอยู่เหนือเจตจำนงแห่งมหาจักรวาลนี้แล้วโดยที่ไม่มีใครรู้เลย

การมีตัวตนอยู่เช่นนี้ ทำให้กระแสจิตของเขาหลอมรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสรรพชีวิต

ดังนั้น ในยามที่ข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป คนใดคนหนึ่งในมหาจักรวาลล่วงรู้เข้า รูปสลักหวังเป่าเล่อก็รับรู้มันเช่นกัน ดังนั้น…มันจึงเริ่มสั่นเทา

ในขวบปีนับไม่ถ้วน รูปสลักเริ่มสั่นไหวเป็นครั้งแรก

หลังจากการสั่นสะเทือน ในพริบตาทั้งมหาจักรวาลก็สั่นสะท้านตาม ท่ามกลางการเขย่าไหวนี้เอง เหล่าดวงดารานับไม่ถ้วนสะเทือนเลื่อนลั่น เผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนแตกตื่น สรรพชีวิตนับไม่ถ้วนกรีดร้องตกใจ

กระทั่งว่าเหล่าดวงดารานิรันดร์ทั้งหลายยังหม่นแสงในพริบตา ราวกับว่ามีแสงที่สรรพชีวิตมองไม่เห็นแสงหนึ่ง พลันเจิดจ้าขึ้นมาพาให้ดวงดาราหม่นทึม

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”

“พระเจ้า ข้ารู้สึกเหมือนท้องฟ้าข้างบนกำลังสั่นไหวเลย!!”

“ไม่เพียงแค่ท้องฟ้า ทั้งหมู่ดวงดาราและทั้งมหาจักรวาลนี้เช่นกัน!” เงาร่างของผู้แข็งแกร่งแต่ละสายในมหาจักรวาล พากันบินออกมาจากแต่ละอารยธรรม พวกมันมองไปโดยรอบ ท่าทางตื่นตะลึง

แล้วก็ยังมีเงาร่างสามถึงห้าร่าง ท่าทางชราโบราณ ลมปราณแข็งแกร่งสะท้านฟ้าปรากฏตัวออกมาจากร่องรอยอารยธรรมโบราณหรือในเผ่าพันธุ์ต่างๆ พวกเขาบินโฉบไปแปดทิศ กายสั่นเทิ้มเช่นเดียวกัน

เพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณขุมหนึ่ง พลังปราณขุมนี้ราวกับว่าอยู่ในดวงจิตเทพของพวกเขา ราวกับแฝงอยู่ในเส้นเลือดของสรรพชีวิต ราวกับว่าอยู่ในทุกธุลีและซอกมุมของมหาจักรวาลนี้

และในยามที่สรรพชีวิตและหมื่นสรรพสิ่งในมหาจักรวาลนี้กำลังสั่นสะท้านแตกตื่น ในดาวเคราะห์ที่ไม่มีใครแยแส ยอดเขาที่ผู้คนต่างเพิกเฉย รูปสลักที่ยืนตระหง่านอยู่ ณ ตรงนั้น เวลานี้กลับสั่นไหวอย่างรุนแรง

ฝุ่นจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงลงมาจากข้างบน สุดท้ายแล้วทั้งมหาจักรวาล ผู้เยี่ยมยุทธ์อันแกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนก็ได้แต่แตกตื่นตกตะลึง หลังจากกวาดมองทั้งมหาจักรวาลแล้วก็ค้นพบดาวดวงนี้ หลังจากที่พวกเขามาถึง และมองเห็นรูปสลักนี้สั่นเทาแล้ว ต่างก็คล้ายมีคลื่นยักษ์ซัดโหมขึ้นในใจ

“รูปสลักนี้…ในความทรงจำของข้า อยู่ตั้งแต่ตอนที่ข้าเกิดแล้วนะ!”

ผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนสีหน้าซีดขาว ในใจแตกตื่น ตัวของรูปสลักสั่นเทาแรงขึ้นทุกที จนกระทั่งสุดท้ายแล้ว…ดวงตาของรูปสลักก็พลันเบิกกว้าง…ทั้งสองดวง

ในพริบตาที่มันเบิกตาทั้งสองนั่นเอง ฟ้าดินหยุดหมุน ดวงดาราไม่เขยื้อน ท้องฟ้าเงียบสงัด สรรพชีวิตไม่ขยับ สรรพสิ่งหยุดนิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกชิ้นทุกร่าง ล้วนหยุดชะงักเงียบงัน

มีเพียงประกายตาภายในดวงตาทั้งสองนั้นที่เจิดจ้ามากขึ้น หลังจากนั้นปูนบนตัวของรูปสลักก็ค่อยๆ สลายไป หวังเป่าเล่อที่สวมชุดดำทั้งร่างยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าของเขาดูแปลกประหลาด เขายืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน หลับตาคล้ายกับกำลังใคร่ครวญบางสิ่ง

ครึ่งครู่ให้หลัง ในยามที่เขาลืมตานั้นเอง มหาจักรวาลที่หยุดชะงัก ไม่มีใครสามารถได้ยินเสียงพึมพำของเขา

“ดินแดนแห่งหนึ่ง…”

“หนึ่งล้านปีก่อน…”

“หลังผ่านทุกสิ่งไป ก็สูญเสียสติสัมปชัญญะของชีวิต กลายเป็นมารปรารถนา…”

“ดินแดนนี้ เต็มไปด้วยความปรารถนา…” หวังเป่าเล่อพึมพำ แสงในดวงตายิ่งเจิดจ้าขึ้นทุกขณะ เขามั่นใจว่า ดินแดนผืนนี้ เป็นไปได้อย่างมากว่าจะกำเนิดมาจากร่างต้น

ต่อให้ไม่ใช่ร่างต้น ก็แน่ใจได้อย่างหนึ่งว่าจะต้องมีความเกี่ยวข้องกันลึกซึ้งแน่นอน

แต่ไม่ว่าอย่างไร ในหลายขวบปีอันนับไม่ถ้วนนี่คือข่าวแรกที่เขาได้ยิน อีกอย่าง…ร่างต้นซึ่งถูกตัวตนของร่างต้นเองและบิดาของหวังอีอีร่วมมือกันล้างสติสัมปชัญญะจนถึงความปรารถนาครอบงำนี้ก็ถูกขับไล่ไปไกลแสนไกล และต้องล่องลอยอยู่ในหมู่ดาราตลอดกาล…

หวังเป่าเล่อเงียบลง เขาก้มหน้ามองฝ่ามือขวาของตนเอง ในกลางฝ่ามือของเขานั้น มีไข่มุกอยู่เม็ดหนึ่ง ไข่มุกเม็ดนี้ทอแสงประกายสีฟ้าขยับไหว งดงาม จับใจ

นี่ก็คือเม็ดไข่มุกวิญญาณ

ภายในนั้นบรรจุทุกผู้คนคุ้นเคยที่เคยอยู่ในสหพันธรัฐ รวมถึงคนรู้จักของคนรู้จัก…นี่คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อเก็บรวมรวบพวกเขาทุกคนเอาไว้ก่อนที่พวกเขาจะสลายไป ไม่ว่าต่างคนต่างกลับชาติไปเกิด เป็นวิญญาณแล้วก็ดี หรือมาถึงทางตันแล้วก็ตาม เพื่อปกป้องพวกเขา

ไม่ขาดไปแม้แต่คนเดียว

ในนั้นมีบิดามารดาของเขา น้องสาว อาจารย์ โจวเสี่ยวหยา เจ้าเยี่ยเหมิง แล้วยังมีพวกหลิวต้าวปินต่างๆ …ทุกคน ยังคงอยู่

เม็ดไข่มุกนี้ถูกหวังเป่าเล่อถนอมไว้ในฝ่ามือ ถือเอาไว้ไม่รู้กี่หมื่นปี จนกระทั่งตื่นขึ้นในวันนี้ เขาจึงแบมือเผยมันออกมา

หลังจ้องมองเม็ดไข่มุกนี้ หวังเป่าเล่อก็เก็บมันเข้าไปอีกครั้งเข้าสู่ภายในกาย เขาแหงนหน้าขึ้น มองดูเหล่าเผ่าพันธุ์อารยธรรมภายในมหาจักรวาล แล้วก็ยกเท้าขึ้นเงียบๆ เดินจากไป

หลังจากเขาจากไปแล้ว มหาจักรวาลก็หวนคืน ทุกอย่างกลับมาเคลื่อนไหว หลังจากนั้นก็คือความตื่นตะลึงและเสียงฮือฮา ผู้คนจำนวนมากหวาดเกรงและนับถือ

โดยเฉพาะเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ไม่กี่คนเหล่านั้น พวกเขามองเห็นว่ารูปสลัก…ไม่อยู่แล้ว

พวกเขาต่างเข้าใจดี ตัวตนที่มาจากบรรพกาลไม่ว่าเป็นใคร ยามนี้ได้ตื่นขึ้นแล้ว ดังนั้นในความหวั่นเกรงและหวาดผวา พวกเขาต่างบอกกล่าวกันอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเรื่องนี้ก็ถูกเก็บเป็นความลับในมหาจักรวาลนี้

ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ระงับตนเอง ไม่เสาะหาที่มา ไม่สืบถาม ไม่ครุ่นคิด

เพราะว่าพวกเขาเดาออกว่า ผู้แข็งแกร่งจากบรรพกาลท่านนี้ ในเมื่อเลือกจะกลายเป็นรูปสลักอยู่หลายแสนปี เช่นนั้นก็คงไม่ชอบให้มารบกวน อีกทั้งพวกเขาไร้พลังที่จะต่อต้าน สิ่งเดียวที่ทำได้ ก็คือให้ทุกสิ่งในมหาจักรวาลดำเนินไปตามปกติ…

ในเวลาเดียวกัน ทุกท่านต่างจากไปด้วยหัวใจหนักอึ้ง หลังจากกลับเข้าสู่เผ่าพันธุ์ตนเองแล้ว ก็เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพลิกอ่านบันทึกโบราณบรรพกาลอย่างบ้าคลั่ง คิดอยากจะหาข่าวที่มาของรูปสลักนั้น…

จนกระทั่งหลายวันให้หลัง สุดท้ายแล้ว…ผู้อาวุโสท่านหนึ่ง พบบันทึกเก่าแก่จากแผ่นหยกขาดวิ่นโบราณ หาพบข้อความส่วนหนึ่งซึ่งหลังจากเขาอ่านแล้ว…ก็นับว่าเป็นข่าวที่น่าตื่นตะลึงอย่างที่สุด!