“เจ้าหนูเผ่ามนุษย์ ไม่รู้วันนั้นเจ้าใช้วิธีต่ำช้าอันใดแย่งชิงมุกบรรพตธาราชุดนี้ไปแล้วหลอมจนเป็นอาวุธเวทที่สมบูรณ์ เป็นเช่นนี้ประหยัดแรงข้าไม่น้อย วันนี้จงเอามามอบให้พร้อมกับชีวิตน้อยๆ ของเจ้าเสียเถอะ!” เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังออกมาจากในทะเลโลหิต
เสียงของตัวตนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ไม่เพียงดังกังวานยิ่งนัก แต่ในคลื่นเสียงยังแทรกแรงกดดันจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งที่ข่มขวัญผู้คนเอาไว้อีกด้วย แม้จิตของหลิ่วหมิงจะแข็งแกร่งทัดเทียมระดับดาราพยากรณ์ แต่เวลานี้ในหูก็ยังรู้สึกเจ็บแปลบ สมองมึนงงอย่างห้ามไม่ได้ ความเร็วลดลงไม่น้อยในทันใด
หลังจากนั้นเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ลมหายใจ ทะเลโลหิตที่ปรมาจารย์โลหิตสร้างก็ไล่ตามมาอยู่ด้านหลังหลิ่วหมิงพันจั้ง
หลิ่วหมิงรู้สึกถึงแรงกดดันที่ไล่ตามหลังมา หัวใจหนักอึ้งทันที!
แม้เขาพอมีฝีมือจนถึงขั้นสังหารระดับดาราพยากรณ์ได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเสวียนอู๋ฉางผู้บรรลุระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ย่อมไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง หากถูกอีกฝ่ายไล่ตามทันจริง โอกาสมีชีวิตรอดคงริบหรี่
ความคิดของเขาแล่นเร็วไว ร่างกายพร่าเลือนวูบเดียวกลายเป็นเงาหน้าตาเหมือนกันสี่ร่าง ปีกเนื้อสีเงินบนแผ่นหลังกระพือครั้งหนึ่ง แต่ละร่างก็พาเงาเลือนรางสายหนึ่งพุ่งเข้าไปยังจุดที่แมลงชุกชุมด้านข้าง
หลิ่วหมิงอาศัยวิชาแปลงกายที่ฝึกฝนจนล้ำเลิศในแดนมายา สร้างร่างเงาขึ้นมาสี่ร่างพุ่งทะลวงผ่านกลางทะเลแมลงมหาศาลอย่างราบรื่น
แมลงเหล่านั้นเพิ่งรู้สึกตัว หลิ่วหมิงก็กลายเป็นเส้นสีดำเส้นหนึ่งแล่นผ่านข้างตัวพวกมันไปแล้ว พวกมันไม่มีหนทางจับร่างจริงของเขาสักนิด
เสวียนอู๋ฉางเห็นเช่นนี้กลับพาทะเลโลหิตท่วมฟ้าโถมเข้าใส่กองทัพแมลงไล่ตามทิศทางที่หลิ่วหมิงหนีไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
แม้เขาเข้าร่วมเป็นพวกเดียวกันกับราชินีหนอนผีเสื้อ แต่เขาย่อมไม่สนใจความเป็นความตายของแมลงระดับล่างเหล่านั้น ยิ่งยามนี้เขากำลังโกรธจัด ต่อให้เป็นสิ่งที่เดิมทีต้องเลี่ยงก็ลืมสิ้นแล้ว
“กี๊ซ!”
ทันทีที่แมลงระดับล่างเหล่านั้นสัมผัสถูกทะเลโลหิต ทั้งร่างพลันบวมพอง จากนั้นโลหิตทั่วร่างพลันทะลักออกมาจากร่างถูกสูบเข้าไปในทะเลโลหิตทันที
พริบตาเดียวแมลงระดับล่างนับหมื่นตัวรวมถึงผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์พลันกลายเป็นศพแห้งกรังร่างแล้วร่างเล่าเพราะสัมผัสถูกทะเลโลหิตที่ปรมาจารย์โลหิตสร้าง
หลิ่วหมิงเห็นระยะห่างระหว่างปรมาจารย์โลหิตกับตนไม่เพียงไม่ทิ้งระยะห่างเพิ่ม แต่กลับหดเข้ามาไม่น้อย เหงื่อกาฬก็หลั่งรินบนแผ่นหลัง
สิ่งที่ร้ายยิ่งกว่าก็คือแมลงระดับล่างจำนวนมากรอบด้านไม่รู้ว่าได้รับคำสั่งประการใด พวกมันไม่สนใจปรมาจารย์โลหิตที่ฆ่าล้างบางพรรคพวกอยู่แม้แต่น้อย แต่กลับทยอยรวมตัวกันก่อตัวเป็นกำแพงแมลงที่ไม่มีช่องว่างแม้แต่ให้สายลมเล็ดลอดขวางอยู่ด้านหน้าของหลิ่วหมิง
สำหรับหลิ่วหมิงแล้วกำแพงแมลงที่แมลงระดับล่างสร้างขึ้นไม่ควรค่าให้กลัวแม้แต่น้อย ทว่าหากเวลานี้ลงมือกำจัดย่อมส่งผลกับความเร็วอย่างยิ่ง
ในเวลานี้หากเขาช้าลงแม้เพียงเศษเสี้ยวก็อาจตกอยู่ในอันตรายซึ่งไร้โอกาสรอดได้ตลอดเวลา!
หลิ่วหมิงได้แต่กัดฟัน เพียงพริบตาก็เปลี่ยนทิศทางหนี พุ่งแหวกอากาศไปหาการต่อสู้อันดุเดือดของผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์บนฟากฟ้า
แม้เขากำลังชักนำภัยให้ผู้อื่นอย่างไม่ได้เจตนา ทว่ายามนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตจึงได้แต่ฝากความหวังไว้กับความสามารถของผู้ฝึกฝนระดับสูงเหล่านั้นว่าจะขวางปรมาจารย์โลหิตไว้ได้สักครู่หนึ่ง ให้ตนเองมีโอกาสสลัดหลุดไปได้
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะเหาะไปถึงการต่อสู้เบื้องบน ทะเลโลหิตอันคลุ้มคลั่งก็มาถึงด้านหลังเขาห่างไปไม่ถึงสองสามร้อยจั้งแล้ว กลิ่นคาวโลหิตแสบจมูกลอยโถมมา
“เจ้าหนู ยอมเสียโดยดีเถอะ!” เสวียนอู๋ฉางส่งเสียงหัวเราะประหลาดดังออกมาจากในทะเลโลหิต นิ้วมือขยับแผ่วเบา เถาวัลย์เลือดหนาเท่าถังน้ำเส้นแล้วเส้นเล่าพลันก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวผุดออกมานับร้อยนับพันเส้นแล้วหวดสะบัดอย่างบ้าคลั่งมาด้านหน้า
จุดที่พวกมันพุ่งผ่าน เสียงกรีดร้องดังระงม!
ไม่ว่าผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์หรือเหล่าแมลง ทันทีที่สัมผัสเถาวัลย์สีเลือดก็ถูกสูบจนแห้งสิ้นชีวาทันที
หลิ่วหมิงพรั่นพรึงยิ่งนัก เขาเร่งลำแสงสุดกำลัง ขณะที่ฝืนบังคับกระบี่ขู่หลุนใต้เท้าให้ส่งปราณกระบี่สีม่วงสายแล้วสายเล่าขัดขวางทะเลโลหิตด้านหลังไปด้วย
ทว่าทันทีที่ปราณกระบี่สีม่วงสัมผัสถูกเถาวัลย์สีเลือด พวกมันก็พังทลายทันที ทำได้เพียงชะลอความเร็วที่เถาวัลย์เคลื่อนมาข้างหน้าเล็กน้อยเท่านั้น ปราณกระบี่ไม่มีผลสักเท่าใดกับเถาวัลย์สีเลือดมืดฟ้ามัวดิน
เสียงแหวกอากาศดังสนั่น!
เถาวัลย์สีเลือดหลายเส้นเกี่ยวกระหวัดกันแล้วเปล่งแสงวิบวับกลางท้องฟ้า ก่อนจะกลายเป็นตาข่ายยักษ์สีเลือดผืนหนึ่งครอบลงมาหาหลิ่วหมิงดุจสายฟ้า
หลิ่วหมิงตกตะลึง เขาใช้เคล็ดวิชาทันที ร่างเงาสามร่างที่เหลือพุ่งเข้ามาขวางหน้าไว้ พร้อมกับที่ร่างกายขยับวูบหนึ่ง ร่างต้นพุ่งพรวดออกไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันจนเกิดเสียงแหวกอากาศดังฟุบ
เงาลวงสามร่างสลายกลายเป็นควันดำภายใต้ตาข่ายสีเลือดในพริบตา
ทันทีที่ตาข่ายยักษ์สีเลือดโจมตีพลาดเป้า เถาวัลย์สีเลือดหลายร้อยเส้นก็พุ่งพรวดออกไปรอบด้านโดยมีตาข่ายยักษ์สีเลือดเป็นใจกลาง พวกมันเกี่ยวกระหวัดรัดพันกลายเป็นฝ่ามือยักษ์สีเลือดขนาดร้อยจั้งข้างหนึ่งคว้าไปจับหลิ่วหมิงอย่างว่องไวดุจสายฟ้า
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้พลันหน้าถอดสี มือข้างหนึ่งกดลงบนฝักกระบี่ข้างเอวหมายจะปล่อยลูกกลอนกระบี่ออกมาสู้แลกชีวิต!
ในชั่วเวลาเส้นยาแดงผ่าแปดนั่นเอง แสงสีทองเส้นหนึ่งพลันสว่างวาบขึ้นบนท้องฟ้าเหนือร่างของหลิ่วหมิง ก่อนที่แสงดาวเจิดจ้าแถบใหญ่จะโถมมาก่อตัวเป็นดวงแสงแสบตาดวงหนึ่งด้านหลังหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว
“ปัง!”
แสงสีแดงกับสีขาวปะทันอย่างดุเดือด ดวงแสงแสบตาที่ก่อตัวขึ้นจากแสงดาราหม่นแสงลงอย่างรวดเร็ว แต่ในเวลานี้เองแสงดาวจุดแล้วจุดเล่านับไม่ถ้วนก็รวมตัวเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศแล้วทยอยไหลเข้าไปในดวงแสง ก่อตัวเป็นกำแพงแสงสีทองขนาดมหึมาผืนหนึ่งขวางการโจมตีของฝ่ามือยักษ์สีเลือดเอาไว้!
จินเลี่ยหยางนั่นเองที่พบสถานการณ์ผิดปกติของหลิ่วหมิงแล้วรีบเร่งเหาะมาช่วยเหลือ!
หลิ่วหมิงยินดีปรีดา แต่ยังไม่ทันเอ่ยขอบคุณก็พบว่ากำแพงแสงสีทองเบื้องหน้าส่งเสียงดัง “เพล้ง” แล้วแตกกระจายเป็นชิ้นๆ!
“หนีเร็ว ข้าถ่วงเวลาให้เจ้าได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น!”
จินเลี่ยหยางส่งกระแสจิตบอกหลิ่วหมิงอย่างรีบร้อน แสงดาวทั่วร่างเปล่งแสงวูบหนึ่ง ขณะที่ปากท่องเคล็ดวิชาดังงึมงำ
แสงดาวสีขาวแสบตาบนร่างเขาส่องสว่างวูบวาบไม่หยุด แสงดาวสายแล้วสายเล่าพุ่งพรวดออกมาจากร่างอย่างไม่เก็บออมไว้แม้แต่น้อย ร่างพลังเวทด้านหลังค่อยๆ ก่อตัวชัดกลายเป็นเงามังกรยักษ์สีทองตัวหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา
เสียงมังกรคำรามดังก้องสวรรค์เก้าชั้นฟ้า!
หลิ่วหมิงมองจินเลี่ยหยางแวบหนึ่ง เขาไม่กล้าชักช้า มือใช้เคล็ดวิชากลายเป็นลำแสงสีม่วงเส้นหนึ่งพุ่งเร็วจี๋จากไปในทันใด
พลังระดับดาราพยากรณ์เช่นจินเลี่ยหยางยังจนหนทางเมื่อเผชิญหน้ากับปรมาจารย์โลหิต ตนเองรั้งอยู่ไปก็ช่วยอันใดไม่ได้มาก
“ระดับดาราพยากรณ์กระจอกๆ กลับกล้าขวางทางข้า ดูท่าคงมีชีวิตอยู่จนเบื่อแล้วสินะ!”
เสียงสะเทือนแก้วหูแทบดับของเสวียนอู๋ฉางดังมาจากด้านหลัง
ต่อจากนั้นแรงสั่นสะเทือนอันรุนแรงที่มาพร้อมกับเสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินก็ลอยมาจากด้านหลัง สีเลือดสอดแทรกสีทองจางๆ กระจายไปรอบทิศ เงาร่างของจินเลี่ยหยางพุ่งถอยออกไปกลางอากาศ
เวลานี้เขาโชกเลือดทั้งตัว ร่างพลังเวทด้านหลังสลายหายไปอย่างฉับพลัน เมื่อครู่ฝืนต้านการโจมตีของปรมาจารย์โลหิตเพียงครั้งเดียวก็ทำให้เขาบาดเจ็บหนักเสียแล้ว
จินเลี่ยหยางเห็นหลิ่วหมิงหนีออกไปไกลลิบพันจั้งแล้วจึงไม่พูดพร่ำบังคับแสงเทวะคุ้มกายกลายเป็นแสงสีทองเส้นหนึ่งแหวกท้องฟ้าหนีไป
ปรมาจารย์โลหิตเสวียนอู๋ฉางคล้ายคิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์กระจอกๆ คนหนึ่งจะรับหนึ่งฝ่ามือของตนได้ ดวงตาเขาทอประกายประหลาดใจวูบหนึ่ง แต่ไม่คิดจะไล่ตาม ตรงกันข้ามหลังจากแค่นเสียงหยันคำหนึ่งก็พาทะเลโลหิตเร่งโถมตามหลิ่วหมิงต่อ
ในเวลาเดียวกันเบื้องหน้ารอยแยกมิติที่ราชินีหนอนผีเสื้ออยู่ ผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ของเผ่ามนุษย์ที่เดิมทีพยายามผนึกทางเชื่อมอย่างยากลำบากอยู่แล้ว จำเป็นต้องแบ่งปรมาจารย์ระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์สามคนออกไปถ่วงเวลาผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ฝ่ายอธรรมสามคนที่เข้ามาก่อกวนอย่างกะทันหันจนสถานการณ์สับสนวุ่นวายทันใด
ราชินีหนอนผีเสื้อดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ม่านแสงชั้นจำกัดที่ปรมาจารย์ระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์หลายคนใช้สมบัติพิทักษ์สำนักสร้างขึ้นมาผนึกทางเชื่อมถูกราชินีหนอนผีเสื้อทึ้งจนเผยอออกมุมหนึ่ง ขายักษ์สีขาวผ่องดุจหยกข้างหนึ่งของมันฝืนเบียดออกมาจากทางเชื่อมอีกครั้ง
เพียงขายักษ์ข้างหนึ่งของมันสะบัด ลมพายุที่แลดูธรรมดาแต่ข้างในมีแรงกดดันจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งที่ไม่อาจระบุได้ลูกหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นแล้วพัดออกไปสี่ด้านแปดทิศทันที
ปรมาจารย์ระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์เผ่ามนุษย์ที่เดิมทีฝืนรักษาสถานการณ์ได้อย่างหวุดหวิดเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่หยุดอาวุธเวทในมือลงชั่วคราวอย่างตกอกตกใจ แล้วพากันหลบหลีก
ผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ฝ่ายอธรรมทั้งสามฉวยโอกาสนี้ส่งการโจมตีเข้าใส่มุมที่เสียหายของม่านแสงชั้นจำกัดโดยไม่สนใจปรมาจารย์เผ่ามนุษย์ที่รั้งตนอยู่ หมายจะทำลายชั้นจำกัดให้หมดสิ้น ปล่อยราชินีหนอนผีเสื้อออกมาอย่างสมบูรณ์
ชั่วขณะหนึ่งทั่วผืนฟ้าเต็มไปด้วยหุ่น แสงจิตวิญญาณ ยอดเขายักษ์ รอยแยกมิติและหมอกพิษนานาชนิด แลดูสับสนอลหม่านเป็นที่สุด
ร่างต้นของราชินีหนอนผีเสื้อในทางเชื่อมบิดลำตัวอ้วนพีไม่หยุด พยายามทำลายชั้นจำกัดที่ผนึกทางเชื่อมเอาไว้อย่างไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
แม้เป็นเช่นนี้แต่ร่างกายของมันมโหฬารเกินไปแล้วอย่างแท้จริง ต่อให้อยากเบียดออกมาจากทางเชื่อมมิติอย่าสมบูรณ์ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย
……
เวลาเดียวกัน ในห้วงมิติอันว่างเปล่าแห่งหนึ่ง
สถานที่แห่งนี้คล้ายไร้ผืนฟ้า ไร้ผืนดิน รอบด้านมองออกไปมีเพียงสิ่งที่คล้ายหมอกควันสีขาวลอยละล่องไหลเคลื่อนอย่างเชื่องช้า ทอแสงสีขาวนวลออกมาเป็นระยะ
ผู้เฒ่าชุดขาวผมขาวผู้หนึ่งกำลังยืนทิ้งแขนอยู่ข้างลำตัวมองดูห้วงความว่างเปล่าจุดหนึ่งตรงหน้า
ทันใดนั้นคลื่นมิติผิดแปลกก็ก่อตัวขึ้นด้านหน้า หลังจากบิดเบี้ยวผิดรูปอยู่พักหนึ่ง เงาคนพร่าเลือนสีขาวขมุกขมัวร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น
“เทียนเหอ เรียกข้ามามีเรื่องอันใด?” เงาคนหันหน้าไปมองผู้เฒ่าผมขาวแล้วเอ่ยเช่นนี้ น้ำเสียงฟังดูเฉยชาว่างเปล่าเล็กน้อย
“ท่านประมุข ยามนี้ราชินีหนอนผีเสื้อหมายจะข้ามโลกมาบุกรุกโลกใบนี้ พวกเราจะ…” ผู้เฒ่าผมขาวประสานมือให้เงาคนพร่ามัวด้วยสีหน้านอบน้อมพร้อมกับเอ่ยเช่นนี้
“ราชินีหนอนผีเสื้อ? เจ้าพูดถึงราชินีหนอนผีเสื้อที่บรรลุระดับอมตะตัวนั้นจากโลกของเหล่าแมลงสินะ” ไม่ทันที่ผู้เฒ่าจะเอ่ยจบ เงาคนพร่าเลือนก็เอ่ยขัด
“ท่านประมุขช่างชาญฉลาด” ผู้เฒ่าผมขาวพยักหน้า
“เรื่องราวในโลกล่างเหล่านี้ ข้าไม่สะดวกเข้ามายุ่งมากเกินไป แม้เจ้ามาจากโลกใบนี้แต่ในเมื่อเข้ามายังวังสวรรค์แล้วก็ไม่สมควรหลงเหลือความผูกพันอันใดอีก เจ้าเข้าใจหรือไม่?” เงาคนเลือนรางเงียบไปพักหนึ่งก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ
“…ทราบแล้ว ท่านประมุข” ผู้เฒ่าผมขาวถอนหายใจแผ่วเบาแล้วเอ่ยรับคำ สีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย
“วิถีสวรรค์นำทาง ห้าธาตุชักนำ โชคชะตาลิขิตไว้แล้ว สรรพสิ่งล้วนแล้วแต่ถือกำเนิดและดับสูญตามครรลองของตนก็เท่านั้น” ระหว่างที่เงาคนพร่ามัวเอ่ยวาจา แสงสีขาวแสบตาพลันสว่างขึ้นรอบร่าง เมื่อเอ่ยคำสุดท้ายออกจากปาก ร่างก็เลือนหายไปประหนึ่งไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน