บทที่ 955 สืบทอดหมอเทวดา

The king of War

“คิดไม่ถึงว่าพี่เจียงกับคุณหยางจะรู้จักกัน เป็นโชคชะตาจริงๆ!”

กษัตริย์กวนเดินเข้ามา เขายิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “นี่เป็นเกียรติของเมืองกษัตริย์กวน”

ก่อนหน้านี้ ถึงกษัตริย์กวนกับเจียงสยง จะรู้จักกันนานแล้ว ถ้าให้พูดถึงความหมายบางอย่าง ตระกูลคิงกวนเป็นที่พึ่งพาของตระกูลเจียง

แต่กษัตริย์กวนไม่เคยเรียกเจียงสยงว่าเป็นพี่น้อง วันนี้กลับเรียกเจียงสยงว่าพี่ ต่อหน้าทุกคน นี่เป็นการให้เกียรติเจียงสยงมาก

คนแต่ละตระกูลบริเวณรอบๆ ต่างมีสีหน้าตกตะลึง

ใครๆ ก็รู้ ว่าทำไมกษัตริย์กวนถึงเรียกเจียงสยงว่าพี่ ทั้งหมดก็เพราะคนหนุ่มที่ใส่ชุดกระสอบ ในพิธีศพของหมอเทวดาเฝิง

สำหรับความเป็นกันเองของกษัตริย์กวน เจียงสยงไม่ได้ดีใจเท่าไร เขาพูดเนิบๆ ว่า “เป็นโชคชะตาจริงๆ!”

ตอนนี้เจียงสยงรู้สึกโทษตัวเองในใจ

เขารู้ดี กษัตริย์กวนน่าจะเดาความจริงอะไรบางอย่างได้แล้ว ไม่งั้นคงไม่เป็นฝ่ายเรียกตัวเองว่าพี่หรอก

เพราะตัวตนของหยางเฉินเป็นความลับ จึงไม่โดนทางการจิ่วโจวเปิดเผย

ตอนนี้เพราะตัวเองอารมณ์บุ่มบ่าม ทำให้กษัตริย์กวน เดาความจริงบางอย่างได้ เขาต้องรับผิดชอบเรื่องนี้

“ผู้อาวุโสเจียง คุณป่วยเหรอ”

จู่ๆ หยางเฉินถามขึ้น

เจียงลี่มาที่นี่ในตอนแรก ก็เพราะจะให้หมอเทวดาเฝิง ไปรักษาเจียงสยง เลยเกิดความขัดแย้งขึ้น

ตอนนี้เจียงสยงค้ำไม้เท้า เดินโซเซ สีหน้าดูป่วย เห็นได้ชัดว่าป่วยเกินเยียวยาแล้ว

เจียงสยงพูดอย่างทอดถอนใจ “ตอนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสในสนามรบ ตอนนี้อายุปูนนี้แล้ว ผลสืบเนื่องจากการบาดเจ็บก็ค่อยๆ ออกมา ร่างกายแย่ลงทุกวัน”

“หาหมอมีชื่อเสียงมามากมาย ล้วนไม่ได้ผลเท่าไร ไม่รู้เจียงลี่ไปรู้ว่าหมอเทวดาเฝิง อยู่ที่อู๋เจียชุนมาจากไหน เลยมาหาหมอเทวดาเฝิงที่นี่”

“ถ้าเขาบอกผมเร็วกว่านี้ ว่ามีเบาะแสของหมอเทวดาเฝิง ผมคงแวะมาด้วยตัวเองตั้งนานแล้ว จะมาก่อเรื่องวุ่นวายให้ฝั่งหมอเทวดาเฝิงได้ยังไง”

เมื่อได้ยินคำพูดของเจียงสยง เจียงลี่มีสีหน้าโทษตัวเอง “คุณปู่ ผมสำนึกผิดแล้ว!”

“หึ!”

เจียงสยงมองเจียงลี่ด้วยแววตาเย็นชา แล้วพูดว่า “รอกลับไป ดูสิว่าฉันจะลงโทษแกยังไง”

“ผู้อาวุโสเจียง คุณมาจังหวะไม่ดีจริงๆ หมอเทวดาเฝิงเสียชีวิตเมื่อคืน อาการป่วยของคุณ คงต้องตามหาหมอเทวดาคนอื่น”

หยางเฉินเอ่ยขึ้น ด้วยสีหน้าเศร้า

สำหรับเจียงสยง เขามีความเคารพตลอด

เขาอยากช่วยเจียงสยงมาก แต่หมอเทวดาเฝิงตายไปแล้ว

“ไม่เป็นไร!”

เจียงสยงกลับพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “หลายปีมานี้ ผมชินตั้งนานแล้ว ต่อไปไม่รู้ว่าจะได้เจอหมอเทวดา ที่รักษาผมหายหรือเปล่า ทั้งหมดก็พึ่งโชคชะตาแล้วกัน”

“อีกสักระยะ ผมอาจเจอหมอเทวดาที่รักษาอาการป่วยของน้องสาวผมได้ ถ้าถึงตอนนั้น ผมจะให้หมอเทวดาดูอาการคุณด้วย”

จู่ๆ เสียงของหยางเฉินดังขึ้น ผู้อาวุโสเฝิงรับปากเขาว่า จะหาหมอเทวดามาช่วยเขารักษาหมีเสวี่ย

“งั้นขอบคุณมากนะ!”

เจียงสยงพูดอย่างตื้นตัน

“พี่หยาง ฉันรักษาอาการป่วยของคุณปู่ท่านนี้ได้”

ขณะนั้น เสียงของเฝิงเสียวหว่านดังขึ้น

เฝิงเสียวหว่านร้องไห้จนน้ำตาแห้งไปหมดแล้ว ตอนนี้บนใบหน้ายังมีคราบน้ำตา ดูน่าสงสารมาก

หมอเทวดาเฝิง เป็นคนที่เธอสนิทที่สุดบนโลกนี้ มาด่วนจากไปกะทันหัน เธอจึงเป็นคนที่เสียใจที่สุด

“รอให้ผ่านไปอีกสักระยะ รบกวนเธอดูอาการของผู้อาวุโสเจียงด้วย”

หยางเฉินมองเฝิงเสียวหว่านด้วยสีหน้าเอ็นดู จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น

เฝิงเสียวหว่านส่ายหน้า แล้วพูดด้วยสีหน้าแน่วแน่ “คนเป็นหมอต้องทำตามหน้าที่ ปู่บอกว่าสิ่งที่เกลียดที่สุดคือนักรบ แต่ในความเป็นจริง คนที่เขาเคารพที่สุด ก็คือนักรบ”

“ปู่เจียงเป็นวีรบุรุษ ที่เสียเลือดเสียเนื้อเพื่อชาติ ถ้าปู่ยังอยู่ ต้องรักษาปู่เจียงให้หายแน่นอน”

เมื่อได้ยินคำพูดของเฝิงเสียวหว่าน หยางเฉินอดเลื่อมใสไม่ได้

จู่ๆ เจียงสยงน้ำตารื้นขึ้นมาที่ดวงตาทั้งสองข้าง การเป็นนักรบอาวุโสชายแดนเหนือ เขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับหมอเทวดาเฝิงอยู่แล้ว

ลูกชายและลูกสะใภ้ของตัวเอง ล้วนสละชีพในสนามรบ ตอนเขาออกจากสนามรบในตอนนั้น ไม่ใช่เพราะเกลียดนักรบ แต่เพราะต้องการหนีออกจากพื้นที่ ที่ทำให้เจ็บปวดใจ

หมอเทวดาเฝิงก็เป็นวีรบุรุษเช่นกัน ตอนนั้นในสนามรบ เขาช่วยเหลือผู้บาดเจ็บนับไม่ถ้วน

แต่ที่น่าเสียดาย เขาช่วยนักรบได้มากมาย แต่ไม่สามารถช่วยลูกชายกับลูกสะใภ้ของตัวเองได้

“งั้นรอให้เสร็จงานศพของหมอเทวดาเฝิงก่อน เราค่อยไปรักษาให้ผู้อาวุโสเจียง ดีไหม”

หยางเฉินถามขึ้น

เฝิงเสียวหว่านพยักหน้าเบาๆ จากนั้นจึงกลับไปในห้อง ไม่นานก็เดินออกมาอีก

เธอยื่นขวดกระเบื้องเคลือบสีขาวอันเล็กๆ ให้เจียงสยง จากนั้นจึงพูดว่า “ในนี้มียาสามเม็ด เป็นยาที่ปู่ทำ ตอนยังมีชีวิตอยู่”

“ตั้งแต่วันนี้ ให้ทานหนึ่งเม็ด ทุกวันก่อนนอน กินติดต่อกันสามวัน สามารถบรรเทาอาการเจ็บปวด ที่เกิดจากอาการบาดเจ็บเดิมกำเริบได้มาก”

“หลังสามวัน ฉันจะไปดูอาการให้คุณที่ตระกูลเจียง และให้ยาตามอาการ”

จู่ๆ เจียงสยงมีสีหน้าตกใจ

เขาไม่ได้บอกอาการป่วยของตัวเอง ให้เฝิงเสียวหว่านรู้ แต่เฝิงเสียวหว่านกลับดูแค่แวบเดียว ก็รู้ว่าเมื่ออาการบาดเจ็บเดิมกำเริบ จะเจ็บปวดมาก

“ขอบคุณหมอเทวดาน้อย!”

หลังเหม่อครู่หนึ่ง เจียงสยงรีบพูดขอบคุณ

“ผู้อาวุโสเจียง คุณกลับไปก่อนเถอะ หลังจากสามวัน เราจะแวะไปที่ตระกูลเจียง!”

หยางเฉินเอ่ยขึ้น

เจียงสยงมีอาการป่วย อยู่ที่นี่ก็ทำอะไรไม่ได้ รีบกลับไปพักผ่อนดีกว่า

“ได้ ผมจะรอพวกคุณ!”

เจียงสยงก็ไม่ดึงดัน พาเจียงหลงเฟยกับเจียงลี่ออกไป

“ทุกคนแยกย้ายเถอะ!”

กษัตริย์กวนออกคำสั่ง หัวเรือใหญ่ตระกูลร่ำรวยที่ดูอยู่รอบๆ พากันแยกย้ายกลับ

“คุณหยาง งั้นเราไม่รบกวนคุณแล้ว ถ้าต่อไปมีอะไรให้ตระกูลคิงกวนช่วย รีบบอกได้เลยนะครับ”

กษัตริย์กวนมองหยางเฉิน แล้วพูดด้วยท่าทีนอบน้อม

หยางเฉินพยักหน้า “กษัตริย์กวนเดินทางปลอดภัย!”

ไม่นาน ในลานบ้านกลับสู่ความสงบอีกครั้ง

“พ่อ หยางเฉินเป็นใครกันแน่ เจียงสยงถึงกับไม่ไว้หน้าพ่อ คุกเข่าต่อหน้าหยางเฉิน”

ระหว่างทางกลับ กวนหงอี้พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เมื่อได้ยินคำพูดของกวนหงอี้ แววตาของกษัตริย์กวนเคร่งขรึม สีหน้าเคร่งขรึมอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน

ถึงเขาไม่ได้ตอบ แต่กวนหงอี้กลับสัมผัสได้ว่า หยางเฉินต้องยิ่งใหญ่มาก

“แกก็รู้ มองดูในจิ่วโจว นอกจากตระกูลบู๊โบราณที่ไม่สนเรื่องทางโลก อำนาจไหนแข็งแกร่งที่สุด”

กษัตริย์กวนถามขึ้น

กวนหงอี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตอบว่า “จิ่วโจวมีสี่ชายแดน สี่ราชวงศ์ ห้าตระกูลคิง ถึงสิบสามอำนาจนี้จะพอๆ กัน แต่ในนั้นสี่ชายแดนแข็งแกร่งที่สุด รองลงมาคือสี่ราชวงศ์ และห้าตระกูลคิง”

“จากที่ผมรู้ ในบรรดาสี่ชายแดน อำนาจของชายแดนเหนือซับซ้อนที่สุด สิ่งแวดล้อมก็ยากลำบากมาก และพละกำลังก็เป็นใหญ่ในสี่ชายแดน”

“ในข่าวลือ ผู้รักษาดินแดนเหนือ หยางปูไป้ พละกำลังยิ่งน่ากลัว มีฉายาว่าเทพสงครามผู้ชนะ คนเดียวรับมือได้ครึ่งประเทศ เขาสร้างเมืองชายแดนเหนือที่ไร้เทียมทาน ยิ่งทำให้แคว้นอื่นๆ ตกใจ”

“ยังมีข่าวลือว่า ผู้รักษาดินแดนเหนือยังอายุน้อยมาก ไม่ถึงสามสิมปี แต่ก้าวเข้าไปในขั้นแดนเทพแล้ว ถึงเป็นนักบู๊พรสวรรค์ของตระกูลบู๊โบราณ ก็ยังห่างชั้นกับเขาเยอะ”

เมื่อกวนหงอี้พูดเรื่องพวกนี้ออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความเคารพ

“มีเพียงคนหนุ่มมีความสามารถ อย่างผู้รักษาดินแดนเหนือ ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นอาวุธหนักของประเทศ และเหมาะสมกับฉายาที่ว่าเทพสงครามผู้ชนะด้วย!”

“คนหนุ่มมีความสามารถเช่นนี้ เป็นโชคดีของจิ่วโจวจริงๆ!”

กวนหงอี้พูดขึ้นอีก

กษัตริย์กวนพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร แต่ความกังวลบนใบหน้า กลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“พ่อเป็นอะไรไป”

เมื่อเห็นกษัตริย์กวนไม่พูดอะไร แถมยังมีสีหน้าเคร่งขรึม กวนหงอี้จึงอดถามไม่ได้