ตอนที่ 1360 ใกล้ชิดสักหน่อย

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

พวกเขาจรดตัวลงมาจากกลางอากาศ มู่เฉียนซีเข้าไปในสถานที่ที่เชียนอ้าวเซี่ยหลับใหลอยู่ได้อย่างราบรื่น

ที่แห่งนี้ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนดั่งตอนที่นางจากไปทุกอย่าง

เชียนอ้าวเซี่ยยังคงถูกผนึกอยู่ในน้ำแข็งนั้นราวกับกำลังนอนหลับอยู่ก็มิปาน

มู่เฉียนซีเอายาลูกกลอนที่หลอมสำเร็จแล้วออกมา จากนั้นก็ทำให้โลงน้ำแข็งนี้หลอมละลาย

ไฟธรรมดานั้นใช้ไม่ได้ผล แต่มังกรเพลิงสามารถทำได้

“มังกรเพลิง!”

มังกรเพลิงเคลื่อนไหววนไปมาอยู่บนโลงน้ำแข็ง เปลวไฟค่อย ๆ หลอมละลายน้ำแข็งทีละชั้น ภายในชั่วพริบตาเดียวโลงน้ำแข็งก็ละลายจนกลายเป็นน้ำ

โลงน้ำแข็งละลายลงแล้ว มู่เฉียนซีจึงป้อนยาลูกกลอนเม็ดนี้ให้เชียนอ้าวเซี่ย

มู่เฉียนซีจับชีพจรเชียนอ้าวเซี่ยเพื่อตรวจดูอาการของเขาอย่างละเอียด

ถึงแม้ว่าเรื่องอื่นนิรันดร์จะเชื่อถือไม่ค่อยได้ แต่เรื่องหลอมยารักษาชีวิตคน เขาเชื่อถือได้มาก และไม่มีปัญหาแน่นอน

มู่เฉียนซีตรวจดูอาการและเฝ้าอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบ ๆ ไม่นานนักก็รู้สึกได้ว่าชีพจรของเชียนอ้าวเซี่ยเริ่มเต้นขึ้นแล้ว เขาเริ่มหายใจ และหัวใจก็เริ่มเต้น…

เขากำลังฟื้นตัวแล้ว รวดเร็วมากจริง ๆ!

และแน่นอนว่าหากเร็วเกินไป ร่างกายของเขาก็อาจจะรับไม่ไหว

เชียนอ้าวเซี่ยกำลังจะฟื้นตัว เขาไม่สามารถอยู่ในสถานที่ที่เย็นยะเยือกเช่นนี้ได้อีกต่อไป

มู่เฉียนซีให้คนเอาตัวเชียนอ้าวเซี่ยออกไป นางกล่าว “พาไปที่วังแคว้นเฉียนเซี่ย”

การมาเยือนของมู่เฉียนซี ทำให้จักรพรรดิเฉียนเซี่ยตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกันเขาก็ได้เห็นร่างของเชียนอ้าวเซี่ยที่กำลังหลับใหลอยู่ด้วย

“นี่อ้าวเซี่ยเขา…เขาได้รับการช่วยเหลือแล้วใช่หรือไม่?”

มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “เขากินยาไปแล้ว ร่างกายจะค่อย ๆ ฟื้นตัว ไม่เกินหนึ่งเดือนก็คงจะฟื้นขึ้นมา ข้าจะส่งนักปรุงยาที่ดีที่สุดของหอหมอปีศาจมาดูแลเขา และจะส่งองครักษ์เงามาปกป้องเขาด้วย”

“ระหว่างนี้ข้าจะเขียนสูตรสมุนไพรที่จะเอามาทำน้ำแกงให้เขาดื่มปรับสมดุลร่างกาย ต้องให้เขาดื่มทุกวันล่ะ”

มู่เฉียนซีชี้แจงรายละเอียดได้อย่างชัดเจนมาก จักรพรรดิเซี่ยรู้ดีว่ามู่เฉียนซีไม่ใช่คนที่ช่วยเหลือคนอื่นแล้วจะทิ้งไว้กลางคัน

เขากล่าว “ผู้นำตระกูลมู่ เจ้าพักอยู่ที่นี่ก่อนสักระยะได้หรือไม่? หากอ้าวเซี่ยตื่นขึ้นมาแล้วได้เห็นหน้าเจ้าเป็นคนแรกเขาต้องดีใจมากแน่ ๆ”

มู่เฉียนซียังไม่ทันตอบ จิ่วเยี่ยกลับดึงนางไปข้างกายแล้ว

“ไม่ได้!”

กลิ่นอายของจิ่วเยี่ยทำให้คนที่อยู่ตรงนี้หวาดกลัวขึ้น

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาไม่มีทางให้ซีเฝ้าคนอื่นนานถึงเพียงนั้นแน่นอน

มู่เฉียนซีกล่าว “คนไข้ของข้า มีข้าคอยดูแลจนหายดีก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว แต่เกรงว่าอีกไม่นานทางแดนเหนือต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ ข้าไม่อาจอยู่ที่เซี่ยโจวนานถึงเวลานั้นได้”

ในตอนนี้ตำหนักตงจี๋กับตำหนักเป่ยหานดูภายนอกแล้วเหมือนจะสงบ แต่ตราบใดที่นางไม่มอบกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ให้ ศึกการสู้รบก็มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

จักรพรรดิเซี่ยกล่าวด้วยความผิดหวังเล็กน้อยว่า “ข้าไร้มารยาทเอง ต้องขอโทษเจ้าด้วย”

มู่เฉียนซีอยู่ตรวจดูอาการเชียนอ้าวเซี่ยเป็นเวลาสามวัน จนในที่สุดจิ่วเยี่ยก็ทนไม่ไหวแล้ว

จิ่วเยี่ยจึงกล่าวขึ้นว่า “ซี เราจะกลับบ้านกันไม่ใช่เหรอ?”

ขืนอยู่ต่อ มีหวังเขาต้องบังคับเอาตัวนางหนีไปจากที่นี่เป็นแน่

มู่เฉียนซีเองก็รู้ดีว่านิสัยของจิ่วเยี่ยเป็นเช่นไร นางกล่าว “ตกลง วันนี้เราจะกลับบ้านกัน!”

หลังจากกล่าวลาจักรพรรดิเซี่ยเสร็จแล้ว พวกเขาก็เดินทางกลับไปยังแคว้นจื่อเยี่ยอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่มาถึงแคว้นจื่อเยี่ย เยวี่ยเจ๋อก็รีบกลับจวนไปหาครอบครัวทันที ส่วนมู่เฉียนซีก็กลับไปยังจวนตระกูลมู่กับจิ่วเยี่ย

ทุกอย่างในตระกูลเป็นระเบียบเรียบร้อยดีทุกอย่าง เมื่อคนในตระกูลมู่เห็นมู่เฉียนซีกลับมา พวกเขาก็ดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง

“ท่านผู้นำตระกูลมู่กลับมาแล้ว!”

“ท่านผู้นำตระกูล!”

“ท่านผู้นำตระกูลกลับมาแล้ว!”

ผู้นำตระกูลกลับมาเช่นนี้ พวกเขาล้วนดีใจกันเป็นอย่างมาก จึงได้มีการจัดงานเลี้ยงต้อนรับ ดื่มกินกันอย่างสุขสำราญ

แต่เมื่อผู้นำตระกูลของพวกเขากินอิ่มแล้วก็กลับหลบไปพักผ่อนทันที!

ห้องนอนที่คุ้นเคย ด้านในมีร่างอันคุ้นเคยร่างหนึ่งอยู่ ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกของคนผู้นี้มีคลื่นเปลวไฟลุกโชนอยู่เล็กน้อย

เขาขยับตัวเข้าไปใกล้มู่เฉียนซีพลางกล่าว “ถึงเวลาที่ข้าควรจะได้รับรางวัลแล้วล่ะ!”

มู่เฉียนซียอมรับในความพ่ายแพ้!

เส้นผมยาวสีดำขลับนั้นพัลวันกันอย่างยากที่จะแยกออกจากกันได้ จากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้นอนกันทั้งคืน!

มู่เฉียนซีหายใจอย่างกระหืดกระหอบพลางกล่าว “หวงจิ่วเยี่ย อยู่ห่าง ๆ ข้าหน่อย…”

อยากจะตบตีเขา อยากจะถีบเขาออกไป แต่นางกลับถูกจิ่วเยี่ยกดทับร่างจนไม่สามารถขยับได้เลย

“ใกล้! ข้ายังอยากจะใกล้ชิดซีอีก ข้าไม่ห่างจากซีเป็นอันขาด!”

ไม่ว่าจะเป็นหัวใจ หรือร่างกาย!

ร่างกายของทั้งสองแนบชิดติดกันอย่างไม่อาจแยกออกจากกันได้!

ผู้นำตระกูลมู่กลับมาจวนทั้งที แต่กลับเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องไม่ยอมออกมาเป็นเวลาสามวันแล้ว

สามวันเชียวนะ!

ภายใต้ความปรารถนาที่ติดต่อกันมาหลายคืน ยากมากที่จิ่วเยี่ยจะยับยั้งคำสาปนั้นได้ จนเกิดความหละหลวมขึ้นแล้ว

ความปรารถนาที่จะครอบครองให้ได้ ความคิดนี้ทำให้เกิดช่องโหว่ของคำสาปขึ้น

ต่อจากนั้นจิ่วเยี่ยก็ใช้ความรุนแรงราวกับเป็นสัตว์ร้าย จนท้ายที่สุดถูกสุ่ยจิงอิ๋งส่งตัวกลับไป

มู่เฉียนซีเหน็ดเหนื่อยจนลุกไม่ไหว ก่อนที่จะผล็อยหลับไป นางพูดในใจว่า

‘จะทำอะไรอย่างขอผ่านไปทีกับเจ้าหมอนี่ไม่ได้เลยจริง ๆ ข้าทำผ่านอย่างขอไปทีแค่นิดหน่อย เขากลับยิ่งรุนแรงขึ้น ช่างน่ารังเกียจเกินไปแล้ว’

ในขณะที่มู่เฉียนซีกำลังนอนพักผ่อนด้วยความผ่อนคลาย ในวังกลับไม่สงบมาสามวันแล้ว

“ฝ่าบาท!”

“ฝ่าบาท!”

“……”

ลู่กงกงเรียกเขาอยู่ข้างกาย แต่ซวนหยวนหลี่เทียนก็ยังคงเหม่อลอยอยู่

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงหายเหม่อและกล่าวว่า “มีเรื่องอันใดเหรอ?”

ลู่กงกงกล่าว “ฝ่าบาท ผู้นำตระกูลมู่กลับมาตั้งสามวันแล้ว หากฝ่าบาทอยากเจอนางก็ไปหานางเถอะพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วย…”

แววตาของซวนหยวนหลี่เทียนหม่นหมองลง “นางไม่อยากเห็นหน้าเรา เราก็ไม่อยากไปรบกวนนาง”

ลู่กงกงถอนหายใจด้วยความทอดถอนใจ “เฮ้อ!”

เมื่อมู่เฉียนซีตื่นขึ้นมา นางก็โกรธจนอยากจะเตะถีบจิ่วเยี่ยหลาย ๆ ครั้ง แต่จิ่วเยี่ยกลับถูกส่งตัวกลับไปแล้ว

ดวงตาของนางเคร่งขรึมขึ้น “ต้องรีบแก้คำสาปของจิ่วเยี่ยให้ได้”

วันนั้นนางรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่อันตรายอีกครั้ง แม้ว่าจิ่วเยี่ยจะยับยั้งมันเอาไว้ แต่เขาก็ต้องอดทนอย่างเจ็บปวดทรมานแน่นอน

ความเจ็บปวดทรมานเช่นนี้ นางไม่อยากให้เขาทนรับมันอีกต่อไปแล้ว

หลังจากที่เยวี่ยเจ๋อกลับไปเยี่ยมท่านพ่อท่านแม่เสร็จแล้วก็กลับมารายงานตัวต่อมู่เฉียนซี มู่เฉียนซีกล่าว “ถึงเวลาต้องกลับแล้ว หากเจ้าอยากอยู่กับพ่อแม่เจ้าต่ออีกสักหน่อยก็อยู่ต่อเถอะ!”

เยวี่ยเจ๋อกล่าว “พี่ใหญ่ สถานการณ์ในดินแดนสี่ทิศตอนนี้ใช่ว่าข้าจะไม่รู้นะ! ข้าอยากเผชิญความลำบากไปกับพี่ใหญ่ ไม่ใช่หลบอยู่ที่เซี่ยโจวเช่นนี้”

“ดี! งั้นก็กลับด้วยกัน”

หลังจากที่ตัดสินใจแล้ว หอฉงโหลวบนเมฆาก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศในแคว้นจื่อเยี่ยอีกครั้ง

มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพขนาดใหญ่เช่นนี้ ทำให้ทุกคนในแคว้นรู้สึกตื่นตาตื่นใจและประหลาดใจมาก

ซวนหยวนหลี่เทียนก็เห็นแล้ว จนในที่สุดเขาก็ทนไม่ได้เดินออกมาจากวัง

มู่เฉียนซีเห็นร่างชายหนุ่มรูปงามในชุดคลุมยาวสีเหลืองคนหนึ่ง นางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ซวนหยวนหลี่เทียน!”

ซวนหยวนหลี่เทียนมองนางด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา แต่ตอนนี้เหลือเพียงแค่ความเสียใจ และความรู้สึกผิดแล้วเท่านั้น

ซวนหยวนหลี่เทียนกล่าว “ผู้นำตระกูลมู่จะไปแล้ว เราแค่อยากมาส่ง เจ้าคงจะไม่ถือสากระมัง!”

มู่เฉียนซี “ไม่หรอก!”

ไม่นานนักนางก็เข้าไปในหอฉงโหลวบนเมฆา

หอฉงโหลวบนเมฆาหายลับไปออกไปจากเซี่ยโจวแล้ว แต่ซวนหยวนหลี่เทียนยังคงยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิมอีกเป็นเวลานาน!

ทันทีที่มาถึงแดนเหนือ ก็พบว่าบรรยากาศผิดปกติไป

“ประมุขน้อย ท่านต้องกลับตำหนักเป่ยหานด่วนแล้วขอรับ มีเรื่องต้องหารือกัน!” ศิษย์คนหนึ่งของตำหนักเป่ยหานรีบแจ้งข่าวกับมู่เฉียนซี

“อืม!”

ตำหนักตงจี๋กดดันมาแล้ว ทุกคนล้วนแต่เคร่งเครียดมาก แต่กลับไม่กล้าขัดคำสั่งของประมุขน้อยและท่านหัวหน้าตำหนัก

มู่เฉียนซีกล่าวกับกู้ไป๋อีว่า “เสี่ยวไป๋ ข้าทำตามเงื่อนไขของเป่ยกงจั๋วได้แล้ว ถึงเวลาที่ข้าควรต้องตกลงกับเขาแล้วล่ะ”

กู้ไป๋อีไม่อยากให้เป่ยกงจั๋วเจอมู่เฉียนซี แต่สถานการณ์ในตอนนี้ หากเป่ยกงจั๋วลงมือสถานการณ์ต้องดีกว่าเดิมแน่นอน ซีเอ๋อร์ก็จะปลอดภัยมากขึ้น

.