บทที่ 595.1 คนแก่และเด็กบนภูเขาลั่วพั่ว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ก่อนจะเข้าสู่ช่วงร้อนจัด เฉินผิงอันแทบไม่เคยย่างเท้าออกจากบ้าน วันหนึ่งใช้เวลาเกือบสิบชั่วโมงหมดไปกับการหลอมลมปราณ

หนิงเหยายิ่งหนักกว่า แทบจะเรียกว่าปิดด่านไปแล้ว

พอมีกระบี่บินส่งข่าวมาถึงจวนหนิง ฟ่านต้าเช่อก็จะไปฝึกปรือฝีมือที่จวนหนิง หากไม่ต้องกินหมัดของเฉินผิงอันก็ต้องโดนกระบี่บินของเยี่ยนจั๋วหรือไม่ก็ของต่งถ่านดำ เฉินซานชิวจะไม่ลงมือ เพราะต้องแบกฟ่านต้าเช่อกลับบ้าน จื่อเตี้ยนกระบี่ประจำตัวเยี่ยนจั๋วและหงจวงกระบี่ประจำตัวต่งฮว่าฝู หากถูกชักออกจากฝักเมื่อไหร่ ฟ่านต้าเช่อก็ยิ่งมีสภาพอเนจอนาถ ตอนนี้ฟ่านต้าเช่อได้แต่เจ็บใจที่คุณสมบัติของตัวเองแย่เกินไป ลำพังมีแค่ ‘ต้าเช่อ’ (ใส/ชัดเจน) ไม่มี ‘ต้าอู้’ (บรรลุอย่างปรุโปร่ง) ก็ไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขตได้ เฉินผิงอันบอกว่าขอแค่เขาฟ่านต้าเช่อเลื่อนขั้นเป็นโอสถทอง การฝึกกระบี่ก็จะยุติลงช่วงหนึ่ง จากนั้นหากไปโพนทะนาที่ร้านเหล้าดังๆ ก็จะถือว่างานใหญ่ประสบผลสำเร็จแล้ว

ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไหนเลยจะสามารถฝ่าทะลุคอขวดเลื่อนเป็นโอสถทองได้ง่ายดายเพียงนั้น สำหรับผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว นี่ก็เหมือนพิธีสวมกวานที่แท้จริงครั้งหนึ่ง

การที่กำแพงเมืองปราณกระบี่สามารถกลายเป็นสถานที่ที่ผู้ฝึกกระบี่แข็งแกร่งที่สุดในหลายใต้หล้า อีกทั้งยังสามารถชักนำให้ผู้ฝึกกระบี่กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าของใต้หล้าไพศาลมาขัดเกลาวิถีกระบี่ที่นี่ แน่นอนว่าต้องมีความลี้ลับมหัศจรรย์อยู่ และความมหัศจรรย์ที่ว่านั้นก็อยู่ที่เมื่อฝึกกระบี่ที่นี่ ก็จะเหมือนผู้ฝึกยุทธที่ถูกป้อนหมัดไม่หยุดแม้แต่เค่อเดียว รากฐานขอบเขตถูกปูมาแน่นหนาดีเยี่ยม เมื่อรากฐานแน่นหนาก็หมายความว่าคอขวดของการฝ่าทะลุขอบเขตจะใหญ่ยิ่งขึ้น เหมือนถูกมหามรรคากดทับลงมาบนบ่า ไม่อาจยืดเอวตั้งตรงได้

เป็นฟ่านต้าเช่อเหมือนกัน เป็นขอบเขตประตูมังกรเหมือนกัน หากไปอยู่ภูเขาห้อยหัวของใต้หล้าไพศาล การฝ่าทะลุขอบเขตก็จะง่ายกว่ามาก เพียงแต่ว่าการฝ่าทะลุขอบเขตเช่นนี้ ระดับขั้นของโอสถทองจะด้อยกว่ากันเยอะ มองในระยะยาวก็จะได้ไม่คุ้มเสีย เว้นเสียจากผู้ฝึกตนเซียนดินของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ไร้ความหวังจะฝ่าทะลุขอบเขตจริงๆ ที่จะไปฝึกตนยังภูเขาห้อยหัวช่วงระยะเวลาหนึ่งเพราะหวังว่าจะลองเสี่ยงดวงดู เพราะถึงอย่างไรหลังจากเป็นโอสถทองแล้ว ทุกๆ ครั้งที่ระดับเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้นก็เท่ากับว่าอายุยืนยาวร้อยปีถึงพันปีอย่างจริงแท้แน่นอน

แต่หากเป็นผู้ฝึกตนที่ต่ำกว่าโอสถทองลงไป จะไม่ไปฝึกตนที่ภูเขาห้อยหัวเด็ดขาด นี่คือกฎเหล็กของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นี่ก็เพื่อตัดขาดความคิดที่หวังว่าจะโชคดีของพวกผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นตอนนั้นที่หนิงเหยาแอบออกจากบ้านไปเยือนภูเขาห้อยหัว ต่อให้มีคุณสมบัติอย่างหนิงเหยาก็ยังไม่มีทางลัดอะไรให้เดิน แล้วก็ยังถูกคนวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย เพียงแต่ว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเลือกจะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งกับเรื่องนี้ บวกกับที่มีอาเหลียงคอยช่วยคุ้มกันให้นางอย่างลับๆ ติดตามหนิงเหยาจนนางไปถึงศาลาจัวฟ่างของภูเขาห้อยหัวด้วยตัวเอง คนนอกก็ได้แต่บ่นไม่กี่คำ ไม่มีทางมีเซียนกระบี่คนใดจะห้ามปรามหนิงเหยาจริงๆ

ช่วงนี้การฝึกฝนบนลานประลองยุทธหลายๆ ครั้ง เฉินผิงอันจะจับคู่กับฟ่านต้าเช่อ เยี่ยนจั๋วกับต่งฮว่าฝูร่วมมือกัน ใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้ตามสบาย แต่จะไม่ใช้กระบี่ที่พกติดตัว คนทั้งสี่แค่ถือท่อนไม้ต่างกระบี่ วิธีในการแบ่งแพ้ชนะก็ประหลาดมากเหมือนกัน หากกระบี่ไม้ของใครหักก่อน ฝั่งนั้นก็จะถือว่าแพ้ ผลคือท่อนไม้กองใหญ่ที่วางไว้บนลานประลองยุทธถูกฟ่านต้าเช่อใช้ไปเกือบหมด นี่ยังเป็นผลลัพธ์จากการที่เฉินผิงอันคอยช่วยเหลือฟ่านต้าเช่อครั้งแล้วครั้งเล่าด้วย

ไม่ว่าจะอย่างไร ในที่สุดฟ่านต้าเช่อก็สามารถเดินออกไปจากจวนหนิงได้เสียที ทุกครั้งก่อนจะกลับไปถึงบ้านก็จะต้องแวะไปดื่มเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่ถูกที่สุดกาหนึ่ง

เฉินซานชิวเองก็จะพูดคุยเรื่องผลได้ผลเสียยามฝึกกระบี่ ข้อด้อยยามออกกระบี่กับฟ่านต้าเช่อเช่นกัน ฟ่านต้าเช่อที่ดื่มเหล้าพลางรับฟังคำชี้แนะอย่างตั้งใจจากสหาย ดวงตาก็จะเป็นประกายสดใส

โดยเฉพาะเมื่อเฉินผิงอันเสนอความเห็นว่า วันหน้าพวกเขาสี่คนจะช่วยกันคุมเชิงต่อสู้กับน่าหลันเย่สิงผู้อาวุโสเซียนกระบี่ นี่ก็ยิ่งทำให้ฟ่านต้าเช่อกระเหี้ยนกระหือรืออยากลองเต็มที่

ร้านผ้าแพรต่วนของเยี่ยนจั๋ว นอกจากมีตราประทับเซียนกระบี่ร้อยกว่าอันที่ทยอยส่งมอบออกไปแล้ว ที่ร้านยังมีตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ที่รวมเล่มใหม่เอี่ยมเพิ่มมาอีกกองหนึ่ง อีกทั้งยังมอบพัดไม้ไผ่เพิ่มให้ด้วย บนหน้าพัดประทับตราเฉพาะที่อยู่นอกเหนือจากในตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ ตัวซี่ไม้ไผ่และหน้าพัดล้วนทำมาจากวัสดุธรรมดา แต่เน้นลงฝีมือที่บทกวีที่เขียนและตราประทับที่ประทับลงไป

ก็ไม่ต่างจากคำโคลงคู่ที่ร้านเหล้าน้อยใหญ่ถูกร้านเหล้าของเตี๋ยจ้างบีบให้แขวนตาม ตอนนี้ร้านผ้าแพรต่วนน้อยใหญ่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ถูกร้านของเยี่ยนจั๋วบีบให้มอบของกระจุกกระจิกอย่างพวกพัดพับ ผงแป้งประทินโฉม ถุงเครื่องหอม ฯลฯ ตามไปด้วย เพียงแต่ว่าลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีสูงศักดิ์ที่ฐานะทางบ้านมั่นคง ไม่ขาดแคลนเงินทองกลับคล้ายว่าจะไม่ค่อยอยากจ่ายเงินซื้อของของร้านอื่นเท่าไร อันที่จริงเด็กสาวจำนวนไม่น้อยก็ใช่ว่าจะชื่นชอบตราประทับหรือพัดพับของร้านตระกูลเยี่ยนจริงๆ เพียงแต่ว่าเซียนกระบี่หญิงหลายคนซึ่งรวมถึงลี่ไฉ่เป็นหนึ่งในนั้น และยังมีสตรีโตเต็มวัยที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลชั้นสูงล้วนพากันมาแวะเวียนร้านของตระกูลเยี่ยน ราวกับว่าหากสตรีเหล่านี้ไม่ไปซื้ออะไรสักอย่างที่นั่น ก็คล้ายว่าสายตาของพวกนางจะแย่กว่าคนอื่น จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้อย่างไร

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น พวกนายท่านใหญ่ทั้งหลายที่เวลาปกติโง่เขลายิ่งกว่าอะไร ก็ไม่รู้ว่าไปได้ยินอะไรมาตอนดื่มเหล้าที่ร้านของเตี๋ยจ้าง ถึงได้เป็นฝ่ายไปเยือนร้านของเยี่ยนจั๋วด้วยตัวเองหรือไม่ก็สั่งให้ข้ารับใช้ในจวนแวะไปซื้อผ้าแพรงามประณีติที่มีดีแค่ความงาม แล้วนำมามอบให้สตรีของตนพร้อมกับพัดพับที่ทางร้านมอบให้ อันที่จริงเด็กสาวหลายคนรู้สึกว่าซื้อแพงไปด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าเมื่อพวกนางเห็นแววตาคาดหวังจากบุรุษที่ทึ่มทื่อของตนก็ได้แต่บอกเขาไปว่านางชอบ ภายหลังเวลาอยู่ว่างๆ ช่วงเวลาที่อากาศร้อนจัดไปหลบร้อนอยู่ในศาลา โบกพัดพับเบาๆ พัดเอาลมเย็นๆ เข้าใส่ตัว มองตัวอักษรงดงามบนหน้าพัด หากไม่เข้าใจก็จะถามคนข้างๆ เสียงเบา พอรู้ความหมายที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำนั้นแล้วก็จะรู้สึกว่ามันดีมากจริงๆ

วันนี้เฉินผิงอันหลอมลมปราณเสร็จก็มาเดินเล่นท่ามกลางม่านราตรี เขาเดินมาที่ศาลาของหน้าผาสังหารมังกรเพียงลำพัง

ตอนนี้หนิงเหยาปิดด่านอยู่ในห้องลับ ก่อนจะปิดด่าน หนิงเหยาไม่ได้เอ่ยอะไรมาก พูดแค่ว่าไม่ได้ปิดด่านเพื่อฝ่าทะลุขอบเขตสู่ก่อกำเนิด แต่เอาเป็นว่าไม่มีความเสี่ยงอะไรอยู่แล้ว

เฉินผิงอันจะอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้อย่างน้อยที่สุดก็ห้าปี หากถึงเวลานั้นศึกใหญ่ยังคงไม่เปิดฉาก เขาก็คงต้องรีบกลับแจกันสมบัติทวีปไปก่อน เพราะถึงอย่างไรธุระที่ภูเขาลั่วพั่วอันเป็นบ้านเกิดก็มีไม่น้อยเหมือนกัน จากนั้นก็จะต้องเดินทางกลับมาที่ภูเขาห้อยหัวทันที ตอนนี้การส่งกระบี่บินข้ามทวีป ทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาห้อยหัวต่างก็มีการควบคุมอย่างเข้มงวด จำเป็นต้องผ่านสองด่าน หากตรวจสอบแล้วไม่มีความผิดพลาดถึงจะมีโอกาสส่งออกมาหรือถูกรับมาไว้ในมือ สำหรับเฉินผิงอันแล้วนี่เป็นปัญหายุ่งยากอย่างมาก

ไม่ใช่ไม่สามารถคำนวณเวลาอย่างแม่นยำแล้วไปที่ภูเขาห้อยหัวรอบหนึ่ง จากนั้นก็ส่งมอบจดหมายลับหรือจดหมายจากทางบ้านให้แก่เกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านนครมังกรเฒ่า หรือไม่ก็เต่าทะเลภูเขาของซุนเจียซู่ เพราะโดยภาพรวมแล้วทั้งสองฝ่ายล้วนไม่ถือว่าทำลายกฎเกณฑ์ พยายามให้จดหมายส่งไปถึงแจกันสมบัติทวีปก่อนแล้วค่อยส่งไปที่ภูเขาลั่วพั่วอีกที เฉินผิงอันในเวลานี้หากคิดจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จก็ไม่ถือว่ายาก แต่ก็แน่นอนว่าต้องมีค่าตอบแทน ไม่อย่างนั้นการที่กำแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาห้อยหัวตรวจสอบกระบี่บินจะกลายเป็นเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้า เห็นเซียนกระบี่กับเต้าจวินเป็นแค่เครื่องประดับจริงๆ หรือไร แต่เฉินผิงอันไม่ได้กลัวว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่แน่นอนนั้น อีกทั้งยังไม่คาดหวังให้ตระกูลฟ่านและตระกูลซุนมีความเกี่ยวข้องกับภูเขาลั่วพั่วมากเกินกว่าการทำการค้าร่วมกันอย่างเปิดเผย คนเขาอุตส่าห์หวังดีทำการค้าร่วมกับภูเขาลั่วพั่ว ถึงอย่างไรก็ไม่ควรให้กลายเป็นว่ายังไม่ทันได้แบ่งผลประโยชน์กันก็ถูกเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วท่านนี้ถูกชักดึงเข้ามาในวังน้ำวนแล้ว

เฉินผิงอันเดินลงจากหน้าผาสังหารมังกร กลับไปที่เรือนหลังเล็ก ห้องที่เดิมทีมีแค่โต๊ะตัวเดียวเอาไว้วางตราประทับ ตอนนี้กลับมีโต๊ะเพิ่มมาอีกหนึ่งตัว ด้านบนวางแผนที่ของเขตการปกครองหลงเฉวียนที่เฉินผิงอันวาดขึ้นด้วยมือตัวเอง หากขุนนางผู้ตรวจการงานเครื่องปั้นมาเจอเข้าคงไม่ค่อยยินดีนัก เพราะบนแผนที่ฉบับนี้วาดเตาเผามังกรหลงเฉวียนน้อยใหญ่ทั้งหมดไว้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นเตาเทียนขุย เตาซิงโต่ว เตาเหวินชาง เตาอู่หลง เตาชงเซียว เตาฮวาฮุ่ย เตาถงอิน เตาจื่อเจิ้น เตาหลิงจือ เตาอวี้ชิ่น เตาเฮอฮวา…

บนโต๊ะยังวางสมุดไว้สองเล่ม ล้วนเป็นสมุดที่เฉินผิงอันเขียนขึ้นมาเอง เล่มหนึ่งบันทึกประวัติศาสตร์การสืบทอดเตาเผาทั้งหมดเอาไว้ อีกเล่มหนึ่งเขียนถึงการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันของสิบสี่แซ่ตระกูลใหญ่ในเมืองเล็ก ล้วนเขียนเป็นตัวอักษรบรรจงแบบเล็กทั้งหมด ตัวอักษรที่เขียนไว้ถี่ยิบแน่นขนัด คาดว่าที่ว่าการอำเภอไหวหวงและที่ว่าการฝ่ายกรมอาญาของต้าหลีเห็นเข้าก็คงไม่ชอบใจสักเท่าไร

บันทึกมากมาย เฉินผิงอันอาศัยความทรงจำจดเอาไว้ และยังมีเอกสารลับอีกเกินครึ่งที่ก่อนหน้านี้อาศัยการแอบทยอยสะสมทีละเล็กละน้อยตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ โยกเรือนกายไปหน้าทีหลังทีเบาๆ จ้องนิ่งไปยังภาพแผนที่ตรงหน้า

เขายื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ สองนิ้วคีบเปิดหนังสือหน้าหนึ่งในนั้นโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ามามอง บนหน้าหนังสือนั้นคือภาพของภูเขาตะวันเที่ยง ชำเลืองตามองแวบหนึ่งก็เปิดไปอีกหน้า คือสกุลสวี่ของนครลมเย็น ล้วนเป็นคนคุ้นเคยทั้งสิ้น

บรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของพวกเขาล้วนถูกบันทึกไว้ในสมุดอย่างชัดเจน คาดว่าเฉินผิงอันคงรู้เส้นสายอย่างละเอียดของภูเขาและตระกูลแต่ละแห่งชัดเจนยิ่งกว่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ตระกูลเซียนสองแห่งนี้เสียอีก

นี่คือสมุดจริงสองเล่มที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว หลังจากนี้จะยังมีอีกสองเล่ม ตัวอักษรที่เป็นเนื้อหาด้านในมีมากยิ่งกว่า เล่มหนึ่งเกี่ยวกับการซื้อขายเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตจากเตาเผามังกร รวมไปถึงตระกูลเซียนของแจกันสมบัติทวีปและสำนักของทวีปอื่นที่อาจเป็นผู้ซื้อ นอกจากตระกูลหม่าของตรอกซิ่งฮวาที่มองดูเหมือนอยู่ระดับล่างสุดในหมู่ชาวบ้านแล้ว ยังมีสำนักฉงหลินที่อยู่สูงส่งเหนือผู้ใด อีกทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหาเงิน ตอนที่เขียนถึงสำนักฉงหลินของอุตรกุรุทวีป ย่อมหนีสวีเซวี่ยนและเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักชิงเหลียงไม่พ้น นี่จึงเป็นเหตุให้เกี่ยวพันไปถึงสำนักโองการเทพผู้นำตระกูลเซียนบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปด้วย อีกเล่มหนึ่งเขียนความเกี่ยวพันระหว่างตระกูลใหญ่ของเมืองเล็กกับตระกูลเซียนมากมายนอกถ้ำสวรรค์หลีจู สมุดทั้งสองเล่มต่างก็มีความเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกัน

เฉินผิงอันเดินออกมาจากห้อง น่าหลันเย่สิงยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแฝงไว้ด้วยแววเดือดดาลอยู่หลายส่วน เพราะข้างกายผู้เฒ่ามีลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อคนหนึ่งยืนอยู่ ชุยเหวยผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่เกิดและเติบโตมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่

ปราณสังหารของน่าหลันเย่สิงเข้มข้น ราวกับว่าหากยั้งตัวเองไม่อยู่ก็จะสังหารคนผู้นี้ให้ตายคาที่ทันที

เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ หันไปยิ้มเอ่ยกับผู้เฒ่าว่า “ท่านปู่น่าหลันไม่ต้องโทษตัวเองเช่นนี้ วันหน้าหากมีเวลาว่าง ข้าจะพูดถึงสถานการณ์ถามใจครั้งหนึ่งให้ท่านปู่น่าหลันฟัง”

น่าหลันเย่สิงพยักหน้ารับ แล้วจึงหันหน้าไปพูดกับชุยเหวยว่า “นับแต่คืนนี้ไป เจ้าและข้าน่าหลันเย่สิงไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องเป็นอาจารย์และศิษย์กันอีก”

สีหน้าชุยเหวยหม่นหมอง กุมหมัดขออภัยเซียนกระบี่ท่านนี้

ส่วนข้อที่ว่าตอนนี้ในใจของชุยเหวยคิดอย่างไรกันแน่ คนคนหนึ่งที่สามารถอดทนมาได้ถึงตอนนี้ ย่อมไม่มีทางเปิดเผยความรู้สึกออกมาอย่างแน่นอน

ร่างของน่าหลันเย่สิงวูบหายไป

เฉินผิงอันยกเก้าอี้ออกมาสองตัว ชุยเหวยนั่งลงเบาๆ “ท่านเฉินน่าจะเดาได้แล้ว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตอนแรกยังสงสัยอยู่บ้าง เพราะแซ่สกุลสะดุดตาเกินไป ถูกงูกัดครั้งหนึ่งก็กลัวเชือกไปสิบปี จะไม่ให้ข้าคิดมากก็คงไม่ได้ เพียงแต่เมื่อผ่านการสังเกตมาเป็นเวลานาน จิตใจที่กังขาเดิมทีได้ลดหายไปแล้วเกินครึ่ง เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่น่าจะเคยออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน ยากที่จะเชื่อได้ว่าจะมีคนที่อดทนข่มกลั้นได้ดีถึงเพียงนี้ ยิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าถึงยินดีเสียสละเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นจะเป็นไปได้ไหมว่า ผู้สืบทอดมรรคาที่แท้จริงคนแรกสุดที่นำพาเจ้าเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตนก็คือหมากตัวหนึ่งที่ชุยฉานวางไว้ในกำแพงเมืองปราณกระบี่มานานมากแล้ว?”

ชุยเหวยพยักหน้ารับ “ท่านเฉินเดาได้ถูกแล้ว ไม่เพียงแค่ข้า แต่ทุกคนที่ไม่เคยมีใครยอมรับว่าตัวเองเป็นหนอนบ่อนไส้ ยกตัวอย่างเช่นหวงโจวของตรอกต้าอวี่หลิ่ง ล้วนได้มาเดินบนเส้นทางการฝึกตนก็เพราะเรื่องไม่คาดฝันที่ไม่สะดุดตา ไร้ร่องรอยให้สืบหา ถึงขั้นที่ว่าตอนแรกพวกเราเองก็ถูกปิดหูปิดตาอยู่เหมือนกัน หลังจากนั้นควรจะทำอะไร ควรพูดอะไร ล้วนอยู่ในการควบคุมที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง สุดท้ายสักวันหนึ่งก็จะเป็นเหมือนข้าชุยเหวยที่อยู่ดีๆ ก็ได้รับคำสั่งลับบางอย่างที่เหมาะสมแก่เวลา จึงยินดีเดินเข้ามาในจวนหนิงเพื่อเปิดเผยตัวตนของตัวเองกับท่านเฉิน”

ชุยเหวยกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เรื่องต่างๆ ที่ผ่านไป ต่อให้ท่านเฉินซักถามอย่างละเอียด ข้าก็ไม่มีทางพูด พูดไปแล้วก็ยิ่งไร้ความหมาย ผู้สืบทอดมรรคาคนแรกสุดของชุยเหวยตายไปบนสนามรบทางทิศใต้นานแล้ว วันนี้ชุยเหวยมาเยือนจวนหนิงก็เพื่อพูดเพียงเรื่องเดียว วันหน้าขอแค่ท่านเฉินต้องการส่งจดหมายลับไปยังแจกันสมบัติทวีปก็สามารถมอบหน้าที่นี้ให้แก่ชุยเหวยได้ แน่นอนว่าท่านเฉินสามารถเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าย่อมไม่เชื่อเจ้า แล้วก็ไม่มีทางมอบจดหมายใดๆ ให้แก่เจ้า แต่เจ้าวางใจเถอะ ตอนนี้เจ้าชุยเหวยยังไม่เคยสร้างประโยชน์และไม่เคยสร้างหายนะใดๆ ให้แก่จวนหนิง ข้าก็จะไม่ทำอะไรที่เกินความจำเป็น วันหน้าชุยเหวยยังคงเป็นชุยเหวย เพียงแต่ขาดความเชื่อมโยงในชั้นของลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของน่าหลันเย่สิงไปก็เท่านั้น”