อาคารสำนักงานของ MI9 ตั้งอยู่บนถนนเบลลอตโต้ในเขตตะวันตก เป็นอาคารสามชั้นซึ่งไม่เด่นสะดุดตามากนัก
ประตูทางเข้ามิได้บ่งบอกตัวตน เพียงแขวนเลขที่บ้านไว้ว่า
“9”
ส่วนสำคัญของอาคารสำนักงานจะอยู่ใต้ดิน ชั้นบนเป็นที่การของฝ่ายพลเรือน แต่แน่นอน ผู้วิเศษ MI9 ส่วนใหญ่จะไม่ลงใต้ดินหากไม่มีเรื่องสำคัญจริงๆ ส่วนหนึ่งสภาพแวดล้อมที่นั่นไม่ดีสักเท่าไร บรรยากาศค่อนข้างอึมครึม ราวกับสมบัติปิดผนึกจะหลุดออกมาได้ตลอดเวลาอันเนื่องมาจากการเก็บรักษาไม่เหมาะสม
ปัจจุบัน ซิลดำรงตำแหน่งรองหัวหน้า ‘หน่วยรักษาความปลอดภัยและต่อต้านข่าวกรองแห่งชาติ’ ซึ่งมีทีมผู้วิเศษในความดูแลพอสมควร รับผิดชอบเกี่ยวกับการต่อต้านข่าวกรองจากอินทิสในขอบเขตกรุงเบ็คลันด์
“มีภารกิจใหม่” พลโทแพนเทค รองผู้อำนวยการ MI9 และหัวหน้า ‘หน่วยรักษาความปลอดภัยและต่อต้านข่าวกรองแห่งชาติ’ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของซิล หยิบเอกสารแผ่นหนึ่งยื่นให้หญิงสาว
“เรื่องด่วนหรือคะ” ซิลเหยียดแขนไปรับพลางถามอย่างรอบคอบ
พลโทแพนเทคเป็นชายสูงวัยชาวโลเอ็นทั่วไป ไรผมเถิกมาก มันหยิบถ้วยกาแฟกระเบื้องเคลือบขึ้นมาจิบ
“ไม่เร่งด่วน ระดับความอันตรายต่ำ… อันที่จริง งานนี้จะถูกแจกจ่ายให้สมาชิกทุกคนโดยหวังว่าจะมีใครสักคนดวงดีทำสำเร็จ”
ข้อมูลดังกล่าวค่อนข้างเหนือความคาดหมายของซิล แต่แทนที่จะเปิดเอกสารอ่านทันที หญิงสาวทำเพียงขานรับ:
“ดิฉันจะแจ้งให้สมาชิกในทีมทราบ”
หลังออกจากห้องของพลโทแพนเทค ซิลกลับมาห้องของตัวเอง
เมื่อทิ้งตัวนั่ง ร่างของซิลกลมกลืนไปกับเก้าอี้พนักสูงจนยากจะสังเกตเห็น
หลังจากกวาดสายตาอ่านเอกสาร ซิลเริ่มเข้าใจคำพูดของรองผู้อำนวยการอย่างคร่าว
ยูโทเปียซึ่งเป็นเป้าหมายการสืบสวน ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตั้งอยู่บนทวีปเหนือใต้ หรือบนเกาะทางการใดบนห้าห้วงทะเล
ในช่วงสองสามสัปดาห์หลัง มีผู้คนจำนวนมากได้เข้าสู่สถานที่ซึ่งถูกเรียกว่ายูโทเปีย แต่เป็นการเข้าไปในลักษณะที่แตกต่าง ตำแหน่งก็ไม่เหมือนกัน บางคนเข้าไปหลังจากเผชิญพายุบนน่านน้ำระหว่างทะเลคลั่งกับทะเลโซเนีย บางคนเข้าไปหลังจากเผชิญพายุขณะโดยสารรถไฟจากอ่าวเดซีย์มายังกรุงเบ็คลันด์ และบางคนก็เข้าไปขณะหลงทางอยู่ในแคว้นซิลวารัส…
จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือมีอาการทางจิตหลังจากเข้าไปในยูโทเปีย… ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมรองผู้อำนวยการแพนเทคถึงระบุว่ามีความเสี่ยงต่ำ… ปัจจุบันยังสรุปกฎการเข้าออกเมืองไม่ได้ จึงไม่มีวิธีส่งผู้วิเศษเข้าไปสืบสวน… เราทำได้แค่แจ้งข่าวให้ทุกคนทราบ โดยว่าจะมีใครบังเอิญเข้าไปในยูโทเปียและรวบรวมข้อมูลออกมา… ซิลวางเอกสาร ยืนขึ้นด้วยสีหน้าผิดหวัง เตรียมแจ้งภารกิจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทราบ
เธอเสียใจที่โอกาสทำภารกิจสำเร็จมีต่ำ แทบไม่มีหวังแม้แต่น้อย จึงหมดโอกาสสะสมคะแนนผลงานไปโดยปริยาย
ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา เพื่อเตรียมรับมือวันสิ้นโลกตามคำพยากรณ์ ซิลงานตรากตรำทำงานหนักในทุกวัน คอยปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ MI9 พร้อมกับทำภารกิจให้มิสเตอร์ฟูล เพื่อสะสมคะแนนผลงานจากทั้งสองฝ่าย หวังแลกเปลี่ยนเป็นเงินทอง สูตรโอสถและตะกอนพลังของ ‘จอมเวทกฎหมาย’ เพื่อเติมเต็มความปรารถนาในการเป็นครึ่งเทพ
จวบจนปัจจุบัน ซิลยังสะสมคะแนนผลงานไปไม่ถึงไหนทั้งสองฝั่ง โดยเฉพาะฝั่ง MI9 เธอแทบไม่มีบทบาทมากนัก แทบไม่เห็นความหวัง
หากไม่ใช่เพราะเงินเดือนของ MI9 ค่อนข้างสูง แถมยังมีอภิสิทธิ์มากมาย สามารถใช้ตำแหน่งเพื่อรวบรวมข้อมูลจำนวนมากสำหรับทำภารกิจให้มิสเตอร์ฟูลได้สะดวก ซิลคงคิดลาออกและกลับไปเป็นนักล่าเงินรางวัลตามเดิม แบบนั้นจะมีอิสระมากกว่า
ไว้ค่อยนำเรื่องนี้ไปถามในชุมนุมทาโรต์ครั้งหน้า บางทีมิสเตอร์เวิร์ลหรือคนอื่นๆ อาจมีเบาะแส… ขณะครุ่นคิด ซิลผลักประตูห้องของสมาชิกในหน่วยเข้าไป
อธิบายภารกิจเกี่ยวกับยูโทเปียเสร็จ หญิงสาวเน้นย้ำ
“หากสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล แม้จะได้บังเอิญเข้าสู่ยูโทเปียไปแล้ว พวกคุณสามารถถอนตัวได้ทุกเมื่อ การที่เมืองลึกลับยังไม่เคยแสดงปัญหาออกมา ไม่ได้แปลว่ามันไม่มี แต่อาจเป็นเพราะปัญหายังไม่เคยถูกกระตุ้น”
หลังจากยุ่งวุ่นวายอีกสักพัก ในที่สุดซิลก็เสร็จการทำงานอันเหน็ดเหนื่อยและกลับถึงบ้านก่อนทุ่มครึ่ง รับประทานอาหารเย็นกับแม่ น้องชาย และฟอร์ส จากนั้นก็เพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาพักผ่อน
เลยเที่ยงคืนเล็กน้อย หลังจากอาบน้ำเสร็จ หญิงสาวเดินไปยังริมหน้าต่างห้องนอน จับผ้าม่าน เตรียมขึงปิดให้มิดชิด
ระหว่างนั้น ซิลมองออกไปตามความเคยชิน และพบว่าพระจันทร์สีแดงเข้มบนท้องฟ้ากำลังกลมดิก ขนาดใหญ่กว่าปรกติเล็กน้อย สีเข้มกว่าปรกติอย่างชัดเจน คล้ายกับมีเลือดสดไหลเวียน
จันทราโลหิต… ซิลหันหน้าไปมองห้องข้างเคียงด้วยความเป็นห่วง อดไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับเพื่อนสนิท
อย่างไรก็ดี เพียงไม่นานเธอก็นึกขึ้นได้ว่า ฟอร์สกลายเป็นครึ่งเทพลำดับ 4 เรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลัวอิทธิพาลจาก ‘เสียงเพรียกในคืนจันทร์เต็มดวง’ อีกต่อไป
…
ภายในห้องติดกัน ฟอร์สนอนอยู่บนเตียง จ้องมองไปยังจันทราโลหิตด้านนอก พลางอดทนความเจ็บปวดจากเสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตู:
“แม้ลำดับ 3 ไป 2 จะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพจากร่างสัตว์ในตำนานไม่สมบูรณ์ กลายเป็นร่างสัตว์ในตำนานที่สมบูรณ์ แต่ข้าคิดว่าลำดับ 4 ไป 3 เองก็มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพเช่นกัน หรือกล่าวได้ว่า ลำดับ 3 คือลำดับที่ยอดเยี่ยมที่สุดบนเส้นทางผู้วิเศษ…”
“ในลำดับดังกล่าว ผู้วิเศษไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอกเพื่อต่อกรกับแนวโน้มความบ้าคลั่ง ไม่ต้องทุกข์ทรมานในทุกวินาที แต่ยังได้ครอบครองพลังที่เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาหลายขุม เป็นตัวตนที่ใกล้เคียงเทพมากกว่ามนุษย์ และยังสามารถใช้หลักยึดเหนี่ยวเล็กๆ เพื่อทำให้จิตใจมีเสถียรภาพ…”
“หากไม่ใช่เพราะอายุขัยของลำดับ 3 ส่วนมากมักไม่เกินห้าร้อยปี คงไม่มีนักบุญคนใดต้องการเลื่อนเป็นเทวทูต…”
“จ้า จ้า” ฟอร์สพยักหน้าถี่ๆ เป็นนัยว่ารับทราบ
ขณะเดียวกัน หน้าผากหญิงสาวกระตุกแผ่วเบาพร้อมกับแอบหาว
เธอเคยชินกับความเจ็บปวดขณะสนทนากับมิสเตอร์ประตูโดยตรงแล้ว
มิสเตอร์ประตูกล่าวต่อไป
“ลำดับ 3 ของเส้นทางผู้ฝึกหัดมีชื่อว่า ‘นักพเนจร’ ซึ่งนั่นหมายความว่า เจ้าจะไม่ถูกพันธนาการอยู่แค่ในโลกวิญญาณอีกต่อไป สามารถท่องไปตามอวกาศ โลกดารา ดาวเคราะห์ดวงอื่น ได้สัมผัสกับความเงียบที่แท้จริง ความว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ ความกว้างใหญ่ไพศาล และอารยธรรมที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง…”
“หากได้เผชิญสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง เจ้าจะตระหนักได้ทันทีว่าโลกที่กำลังอาศัยนั้นกระจ้อยร่อยเพียงใด…”
มิสเตอร์ประตูเล่าประสบการณ์ส่วนตัวอย่างคร่าว แสดงให้หญิงสาวเห็นถึงความยิ่งใหญ่อลังการของอวกาศ และมนต์เสน่ห์ของอารยธรรมต่างๆ
เนื้อหาดังกล่าวทำให้ฟอร์สตกอยู่ในภวังค์สักพัก หากไม่ใช่เพราะยังมีความเจ็บปวดคอยย้ำเตือน เธอคงลืมไปแล้วว่าผู้บรรยายคือราชาเทวทูตแสนอันตราย
“ตราบใดที่เจ้าช่วยข้าออกไป ข้าจะมอบสูตรโอสถและตะกอนพลังของนักพเนจรให้ แถมยังจะช่วยประกอบพิธีกรรม แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้สามารถจ่ายเป็นค่าตอบแทนล่วงหน้าได้” ในช่วงท้ายของเสียงเพรียก มิสเตอร์ประตูให้คำมั่นสัญญา
“น่าสนใจมาก” ฟอร์สกล่าวชื่นชม
เมื่อเสียงของมิสเตอร์ประตูค่อยๆ จางลงและเลือนหาย ฟอร์สดึงหมอนออกจากตักและทิ้งตัวนอน
ไม่ถึงสามนาที เธอผล็อยหลับไปอย่างเงียบงัน
สำหรับหญิงสาว อวกาศอาจเต็มไปด้วยความน่าหลงใหล แต่ก็เต็มไปด้วยอันตรายจากการกัดกร่อนแม้เพียงทำความเข้าใจ จึงไม่มีความคิดที่จะออกไปสำรวจแม้แต่น้อย
“ไว้เที่ยวทวีปเหนือใต้และห้าห้วงสมุทรให้ครบก่อนนะ…” ขณะหลับ หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเสียงแผ่ว
ปัจจุบัน ดวงจันทร์สีแดงเข้มด้านนอกหน้าต่างเลือนหายไปแล้ว กลายเป็นสีแดงอ่อนตามปรกติ
…
พระจันทร์สีเลือดเต็มดวงขนาดมหึมากำลังลอยอยู่เหนือริมผา สาดแสงฉาบลงบนบึงเบื้องล่าง
ผิวบึงมีสีแดงเข้ม ผุดฟองคล้ายน้ำเดือดตลอดเวลา ประหนึ่งด้านล่างเต็มไปด้วยแมกมาที่พร้อมจะต้มทุกสิ่งให้สุก
มองผิวเผิน บึงแห่งนี้กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตราวกับมหาสมุทร
จ๋อม!
หินก้อนหนึ่งตกจากริมผาลงไปในบึง
วินาทีถัดมา ฟองอากาศผุดขึ้นและแตกออก ให้กำเนิดทารกชุ่มเลือด
ทารกตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะว่ายมายังริมผาและพยายามปีนป่าย
เปรี้ยะ!
หินใต้ฝ่าเท้าเอ็มลิน·ไวท์แตกละเอียด ร่างทั้งร่างตกจากหน้าผาลงมาในบึง
เอิร์ลผีดูดเลือดรายนี้สะดุ้งตื่นจากความฝัน ก่อนจะมองไปรอบตัวด้วยสีหน้าสับสนงุนงง
หลังจากยืนยันได้ว่าที่นี่คือห้องนอนของตน ซึ่งรายล้อมไปด้วยตุ๊กตาน้อยใหญ่จำนวนมาก เอ็มลินหายใจเข้าออกเชื่องช้า กล่าวกับตัวเองด้วยกิริยาท่าทางสง่างาม
“ความฝันเมื่อครู่ไม่ธรรมดา”
ในฐานะราชาหมอผี มันย่อมแปลความฝันได้ในระดับหนึ่ง
หรือนี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘วิวรณ์จากเทพ’ ? แต่เราไม่เห็นจะได้ข้อมูลอะไรเลย… เอ็มลินครุ่นคิดนานหลายสิบวินาที แต่พยายามเท่าไรก็ไม่พบคำตอบ จึงตัดสินใจมองข้ามไปก่อน ค่อยไปถามหลวงพ่อยูทรอฟสกี้วันหลัง
…
เมื่อพระจันทร์แดงซีดจางลง พระจันทร์ซึ่งไม่เต็มดวงอีกต่อไป สาดแสงอ่อนโยนลงบนลานหญ้าของวิหารคลื่นสมุทร
อัลเจอร์ยื่นมือออกไปรับกระดาษที่ ‘ส่ง’ โดยสายลมและกวาดตาอ่าน:
“เวอร์ดูกำลังมองหาเรือโจรสลัดหรือเรือลักลอบขนสินค้าเพื่อเดินทางไปยังแบนชี”
ท่าเรือแบนชียังสร้างใหม่ไม่เสร็จ ยังไม่มีเรือโดยสารแล่นไปยังที่นั่น เวอร์ดูซึ่งหวงแหนการใช้งาน ‘เทเลพอร์ต’ จึงต้องเดินทางไปยังท่าเรือดังกล่าวด้วยวิธีการไม่ปรกติเท่านั้น
แบนชี? อัลเจอร์ขมวดคิ้วทันที
มันทราบดีว่าแบนชีหมายถึงสิ่งใด แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเวอร์ดูถึงอยากไป
ปัจจุบัน ที่นั่นไม่ควรหลงเหลือเบาะแสใดแล้ว!
ไม่สิ แม้ว่าศาสนจักรจะลงมือถล่มแบนชีไปแล้ว แต่ที่นั่นอาจยังหลงเหลือความผิดปรกติบางอย่าง นอกจากนั้น ในท้ายที่สุด ศาสนจักรก็ไม่ทราบอยู่ดีว่าความผิดปรกติที่ซ่อนอยู่ในแบนชีคืออะไร… ในฐานะพระคาร์ดินัล อัลเจอร์มีสิทธิ์เข้าถึงเอกสารลับ รวมถึงรายงานปฏิบัติการถล่มแบนชีของโบสถ์วายุสลาตัน
นอกจากนั้น มันยังได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมจากมิสเตอร์ฟูลและเกอร์มัน·สแปร์โรว์
ไตร่ตรองสักพัก อัลเจอร์คิดเร็วทำเร็ว เตรียมบอกให้ ‘องครักษ์เงา’ ของตนจัดหาเรือโจรสลัดให้เวอร์ดู
สำหรับแง่นี้ อัลเจอร์มีเส้นสายมากมาย ไม่จำเป็นต้องออกหน้าในนามตัวเอง
ต้องไม่ลืมว่า ภายในน่านน้ำหมู่เกาะรอสต์ เรือลักลอบขนส่งทั้งหมดคือเรือโจรสลัด
…………………………