เวอร์ดูกลืนน้ำลายไม่รู้ตัว ภายในใจเกิดความกลัวที่ยากอธิบาย
มันไม่รู้ว่าตัวเองกำลังหวาดกลัวสิ่งใด เห็นได้ชัดว่าที่นี่ยังคงปรกติดี มีเพียงหยดน้ำไม่ทราบที่มาตกใส่จากมุมสูง แต่นั่นก็มากพอจะทำให้มันเย็นวาบไปถึงสันหลัง
คงเป็นเพราะสภาพแวดล้อมของที่นี่ดำมืดเกินไป หรือไม่ก็เป็นเพราะเรายังไม่ทราบที่มาของของเหลว… เวอร์ดูก้าวออกไปด้วยความระมัดระวัง เริ่มสังเกตอีกครั้งอย่างใจเย็น
ผ่านไปหลายนาที ไม่มีสิ่งใดผิดปรกติเกิดขึ้น ไม่มีของเหลวตกจากที่สูงอีก
นั่นทำให้เวอร์ดูสร้างสมมติฐาน บางที อาจมีนกบินผ่านไปด้านบน โดยในปากของมันกำลังคาบปลาทะเล หรือไม่ก็ปลาน้ำจืดในลำธารบนเกาะ และเมือกของปลาบังเอิญหยดใส่ตนพอดี
มันสงบสติ ก่อนจะลงมือตรวจสอบซากปรักหักพังของสำนักงานโทรเลขอีกครั้ง
ผ่านไปเกือบสิบนาที เบื้องต้นเวอร์ดูยืนยันได้ว่า มีเพียงรอยเลือดและภาพจิตรกรรมเรียบง่ายเท่านั้นที่ควรค่าแก่การศึกษาในเชิงศาสตร์เร้นลับ
แต่แทนที่จะหยิบดินสีเลือดหรือลูบไล้ลงบนภาพจิตรกรรม มันนำลูกบอลคริสตัลสีใสบริสุทธิ์ออกจากกระเป๋าเสื้อ
แน่นอน ในฐานะโหราจารย์ มันจะยืนยันให้มั่นใจก่อนลงมือกระทำเรื่องเสี่ยง
มือซ้ายรองลูกบอล มือขวาลูบไล้ด้านบน เวอร์ดูเข้าสู่ภาวะ ‘ทำนายดวงดาว’
วินาทีถัดมา ลูกบอลคริสตัลสว่างขึ้น
บึ้ม!
มันระเบิดออก แตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยไปทุกทิศ
“…” ดวงตาเวอร์ดูพลันแข็งทื่อ มันเอาแต่ยืนนิ่งโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บจากเศษแก้วทิ่มแทงร่างกาย
“ระเบิด… มันระเบิด…” เวอร์ดูกระซิบกับตัวเองแผ่วเบา
เศษลูกบอลคริสตัลที่พุ่งเข้าหาลำตัว ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถทะลวงผ่านชุดคลุมทรงโบราณเข้าไปได้ เพียงร่วงกราวลงมาทีละชิ้นโดยไม่มีเลือดสดเปรอะเปื้อน
แต่แน่นอน เศษคริสตัลจำนวนหนึ่งยังคงทิ่มแทงใบหน้าเวอร์ดูจนเกิดบาดแผลเล็กๆ
“นั่นใคร” เวอร์ดูได้สติตื่นทันที หันศีรษะและมองไปยังทิศทางหนึ่ง
ในซากปรักหักพังฝั่งตรงข้าม ร่างหนึ่งเดินออกมา เป็นสตรีผู้แต่งตัวเปิดเผยจากเรือโจรสลัด
เดิมที เธอซ่อนตัวได้มิดชิดมาก หรืออย่างน้อยเวอร์ดูก็ไม่ทันได้เอะใจ แต่การระเบิดของลูกบอลคริสตัลเมื่อครู่ทำให้อีกฝ่ายตกใจจนแสดงอาการตอบสนองที่รุนแรงและชัดเจน ส่งผลให้การซ่อนตัวล้มเหลว
ใบหน้าที่มีบาดแผลของเวอร์ดูบิดเบี้ยวทันที
“มาทำอะไรที่นี่?”
หญิงสาวยกมุมปากพลางแบะท่าไม่แยแส
“ที่นี่คือท่าเรือแบนชี ไม่ใช่บ้านของนายสักหน่อย ทำไมฉันจะมาไม่ได้? ก็แค่เบื่อ เลยลงมาเดินเล่น หวังว่าจะเจอเพชรพลอยจากซากปรักหักพังสักเม็ดสองเม็ด มีปัญหาอะไรหรือ?”
เธอรัวยิงคำถามหลายชุดโดยไม่ได้สร้างระยะห่างจากเวอร์ดูเพิ่มเติม
เวอร์ดูไม่สนใจจะโต้เถียง เพียงนำครีมที่เตรียมไว้และแอลกอฮอล์ใส่แผลออกมา จัดการปฐมพยาบาลเบื้องต้นบนใบหน้าและกราม จากนั้นก็เก็บเศษคริสตัลกลับเข้ากระเป๋าเสื้อ
มันไม่อยากทิ้งเลือดของตนไว้ในสถานที่สุดประหลาดเช่นนี้
ถัดมา เวอร์ดูดึงเครื่องประดับบนชุดคลุมทรงโบราณ
เป็นรูปทรง ‘ประตู’ ซึ่งประกอบด้วยทับทิมสามเม็ด มรกตสามเม็ด และเพชรสามเม็ด
ทันใดนั้น เสื้อคลุมของมันพลันรัดแน่น อวัยวะบนร่างกายมีลักษณะคล้ายปล้องเนื้อทันที
เมื่อถึงคราวกระดูกเวอร์ดูใกล้แหลก ร่างของมันค่อยๆ เลือนหายไปจากสถานที่
ถัดมา มันทำการเทเลพอร์ตมายังชายทะเลนอกท่าเรือแบนชี
ภูเขาในละแวกใกล้เคียงถูกถล่มจนกลายเป็นเศษซากหิน
เท่าที่เวอร์ดูทราบ ตรงนี้เคยเป็นจุดที่ชาวแบนชีกราบไหว้บูชา ‘เทพสภาพอากาศ’ และยังเป็นเป้าหมายหลักในการโจมตีของเทพวายุสลาตัน
หลังจากลูกบอลคริสตัลสำหรับทำนายระเบิดตัวเอง มันตระหนักถึงอันตรายซ่อนเร้นภายในสำนักงานโทรเลขทันที จึงไม่กล้าสำรวจเพิ่มเติม ตัดสินใจเลี่ยงไปสำรวจจุดอื่นต่อ
และนั่นยังช่วยให้สลัดหลุดจากการแอบสะกดรอยของหญิงสาวได้ด้วย
ทันทีที่ร่างเวอร์ดูโผล่ขึ้นอีกครั้ง มันทรุดตัวลงพลางรีบหายใจเข้าออก คล้ายกับในที่สุดก็ได้สูดอากาศเสียที
ขณะเดียวกัน เวอร์ดูรู้สึกเจ็บซี่โครงขวา ประหนึ่งว่ากระดูกเริ่มร้าว
หลังจากสูดลมหายใจลึกติดต่อกันหลายครั้ง มันกัดฟันทนความเจ็บปวด ก้าวขาไปข้างหน้าพร้อมกับเหงื่อเม็ดใหญ่บนหน้าผาก จนกระทั่งมาถึงแท่นบูชาที่ถูกทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า แท่นบูชามีสภาพพังพินาศ เหลือเพียงหลุมหินขนาดใหญ่ที่ไหม้เกรียม รายล้อมด้วยเศษกรวดกระจัดกระจาย
กรวดเหล่านี้มีร่องรอยการถูกไฟเผาหรือไม่ก็ฟ้าผ่าประปราย
หลังจากมองไปรอบตัว เวอร์ดู·อับราฮัมยกมือขวาขึ้นพร้อมกับสะบัดชายแขนเสื้อ
ทันใดนั้น เสียงลมหวีดดังขึ้น ก้อนกรวดเม็ดเล็กจำนวนหนึ่งถูก ‘ผลัก’ ออกจากตำแหน่ง เผยให้เห็นพื้นดินที่เคยถูกปกคลุม
นี่คือ ‘เทคนิคเป่าลม’ ของ ‘นักตุกติก’ ซึ่งเวอร์ดูใช้แทนการลงมือด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันอันตรายเบื้องต้น
ขณะก้อนกรวด ‘ลอย’ ออกไป เวอร์ดูได้เห็นพื้นซึ่งมีรอยไหม้สีดำ เค้าโครงเดิมบางส่วนยังคงหลงเหลือ จำพวกลวดลายและอักขระที่ไม่สมบูรณ์
ฟ้าว!
เสียงลมทวีความรุนแรง เวอร์ดูอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าด้วยความประหลาดใจ
ลมของมันซึ่งมีฤทธิ์เพียงแค่ใช้เป่าก้อนกรวด กลับกลายเป็นพายุเฮอร์ริเคนที่ทำให้ร่างกายของมันซวนเซ
บนท้องฟ้า เวอร์ดูเห็นเมฆหนาทึบเกาะกลุ่มเข้าด้วยกัน ประหนึ่งพายุกำลังก่อตัว
แม้มันจะเคยได้ยินว่าแบนชีเป็น ‘พิพิธภัณฑ์สภาพอากาศ’ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้
ผ่านไปสักพัก เวอร์ดูเริ่มสงสัยว่า ‘เทคนิคเป่าลม’ ของตนทำให้เกิดพายุ หรือเป็นเพราะการเป่าก้อนกรวดออกจากแท่นบูชา ได้กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
คิดถึงตรงนี้ หน้าผากของมันผุดเหงื่ออีกครั้ง
ขณะพายุโหมกระหน่ำ เวอร์ดูเห็นเศษหินจำนวนหนึ่งลอยขึ้นไปในอากาศ เผยให้เห็นหินก้อนใหญ่ด้านล่าง
ผิวหินถูกปกคลุมด้วยรอยแตกร่องลึก ราวกับพร้อมจะทำลายตัวเองหากโดยสัมผัส
ปัจจุบัน สายลมสงบลงมาแล้ว แต่มีฝนตกหนักก่อตัวขึ้นมาแทน
เวอร์ดูตระหนักได้ว่า ตนอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงท่าเรือแบนชีทั้งที จะมัวกลัวไปทุกเรื่องก็คงไม่ได้ จึงรวบรวมความกล้าเพื่อเดินเข้าหาก้อนหินซึ่งมีสภาพไหม้เกรียม
มันหยิบแว่นขยายซึ่งมีลวดลายประหลาดสลักบนด้านจับออกมา ใช้มันตรวจสอบสภาพก้อนหินด้วยความระมัดระวัง
เจ็ดแปดนาทีถัดมา เวอร์ดูเก็บแว่นขยายซึ่งเป็นสมบัติวิเศษ พลางถอนหายใจอย่างหงุดหงิดและเสียดาย
มันยืนยันได้เบื้องต้นว่าไม่มีสิ่งใดผิดปรกติเกี่ยวกับหินก้อนนี้ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสตร์เร้นลับ
ขณะเวอร์ดูเตรียมถอนสายตากลับและไปสำรวจจุดอื่น มันเห็นบางสิ่งสีแดงสดในบริเวณที่ก้อนหินสัมผัสกับพื้นดิน
สีแดงสดค่อยๆ ขยายออกคล้ายเลือดไหลซึม
แต่ก็มิได้แผ่เป็นวงกว้างเกินไป เพียงครอบคลุมพื้นเล็กๆ
ภาพของรอยเลือดในสำนักงานโทรเลขแล่นเข้ามาในสมองทันที เวอร์ดูรู้สึกซาบซ่านไปทั้งหนังหัว
ริมฝีปากของมันแห้งผากในพริบตา และมั่นใจว่าบรรยากาศเริ่มไม่ชอบมาพากล
เวอร์ดูกลืนน้ำลายคำใหญ่ ยกมือขวาขึ้นเพื่อสร้างสายลมกระโชกอีกครั้ง พัดพากรวดเม็ดเล็กจำนวนมากลอยไปถมฐานก้อนหินจนเต็ม ปกคลุมสีแดงสดที่แผ่ออกมา
มันไม่มัวแช่อยู่นาน รีบใช้ ‘เทเลพอร์ต’ อีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าไปยังปลายทางสุดท้ายของแผนการสำรวจ
คราวนี้ซี่โครงหักเพิ่มอีกหนึ่ง ความเจ็บปวดรุนแรงจนมันแทบหมดสติ
เมื่อผนวกกับภาวะหายใจลำบากจากการถูกบีบรัด เวอร์ดูรู้สึกราวกับตนกำลังอยู่หน้าปากประตูนรก
มันใช้เวลาหลายสิบวินาทีเพื่อปรับสภาพร่างกาย ก่อนจะมองตรงไปด้านหน้า
ที่นี่เองก็เป็นซากปรักหักพัง เป็นซากอาคารพังทลายซึ่งถูกปกคลุมด้วยวัชพืช
จากคำบอกเล่าของโจรสลัดซึ่งเคยเข้ามาสำรวจซากปรักหักพังในแบนชี มีหนึ่งสิ่งที่นี่ควรค่าแก่การสำรวจ:
ประตูไม้แสนธรรมดา แต่มันคือสิ่งเดียวบนเกาะแบนชีที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์
โจรสลัดไม่พบสิ่งพิเศษเกี่ยวกับประตูไม้ จึงบอกให้ลูกน้องขนกลับไปที่เรือ
แต่หลังจากเดินไปได้สองก้าว จู่ๆ พวกมันก็ล้มลง ศีรษะถูกแยกส่วนจากร่างกายพร้อมกับกระดูกสันหลัง จากนั้นก็หมุนกลิ้งไปทางด้านข้าง
ฉากดังกล่าวทำให้โจรสลัดต่างพากันตกตะลึง ไม่กล้าแช่อยู่ที่นี่อีกต่อไป รีบกลับขึ้นเรือพร้อมกับคนที่เหลือ
เวอร์ดูยังไม่เชื่อเรื่องเล่าของอีกฝ่ายเต็มร้อย แม้มันจะมีประสบการณ์ในทะเลไม่มาก แต่ก็พอจะทราบว่าพวกโจรสลัดนั้นขี้โม้และชอบพูดเกินจริงไปไกล บางครั้งก็สองสามเท่า บางครั้งก็เป็นสิบเท่า
แต่ถึงจะเป็นคำพูดเกินจริง เวอร์ดูก็ยังมองว่าประตูไม้บานดังกล่าวควรค่าแก่การศึกษา
หลังจากค้นหาสักพัก มันพบเป้าหมาย
ประตูไม้ที่มีหน้าตาธรรมดา มีรูกุญแจและด้ามจับทองเหลือง กำลังเอนพิงอยู่กับซากกำแพง
สอดคล้องกับซากปรักหักพังโดยรอบ ที่นี่ไม่มีซากศพหรือคราบเลือด
นึกแล้วเชียว ไอ้พวกขี้โม้… หึหึ… พวกโจรสลัดคงได้ยินเรื่องของประตูไม้มาจากที่อื่น มันกับลูกน้องจึงไม่กล้าเข้าไปยุ่ง… เวอร์ดูมองไปรอบตัวสักพักก่อนจะกล่าว
“นั่นใคร? แอบจับตามองเช่นนี้มีเจตนาอะไร?”
อันที่จริง มันมิได้พบร่องรอยของใคร แต่จากประสบการณ์และบทเรียน มันใช้ภาษากายและพฤติกรรมเชิงรุกเพื่อเปิดโปงผู้สะกดรอยซึ่งอาจมีอยู่จริง
วินาทีถัดมา สักแห่งในเงามืด ชายวัยกลางคนพุงป่องหน้ามันเดินออกมา
มันไม่กล่าวคำใด เพียงเดินจากไปอย่างเงียบงัน
เวอร์ดูชื่นชมตัวเองพลางถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะรีบเดินไปที่ประตูไม้โดยไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่า
จากข้อมูลที่ได้รับ ไม่ว่าจะผลักเปิดประตูไม้ด้านใดก็จะไม่ทำให้เกิดความผิดปรกติ ขอเพียงไม่พยายามเคลื่อนย้ายก็พอ
หลังจากครุ่นคิดสักพัก เวอร์ดูชักมือกลับเข้าไปในชายแขนเสื้อ ใช้ชายแขนเสื้อเป็น ‘ถุงมือ’ เพื่อดึงเปิดประตูไม้
ประตูไม้เปิดออก แต่ทุกสิ่งยังคงเงียบสงัด
เวอร์ดูผลักประตูไม้กลับเข้าไป ลักษณะเหมือนการปิดตามปรกติ แต่ก็ยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงใด
มันลองทดสอบอีกหลายวิธี แต่ก็มิอาจทำให้ประตูไม้แสดงความผิดปรกติได้ ราวกับประตูบานนี้แค่โชคดีที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์แม้จะถูกโบสถ์วายุสลาตันถล่มจนราบเป็นหน้ากลอง
เวอร์ดูสูดลมหายใจยาว พยายามทำให้หัวโล่ง
มันครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะพยายามเปิดประตูอีกครั้ง
แต่คราวนี้เปลี่ยนวิธี เป็นการจับด้ามจับและค่อยๆ บิดลงอย่างเชื่องช้า
หลังจากได้ยินเสียงโลหะลงล็อก เวอร์ดูผลักไปด้านหน้าในสภาพชนกับซากกำแพงที่พิงอยู่
ทันใดนั้น หมอกสีเทาปรากฏขึ้นในการมองเห็นของเวอร์ดู
ในสายหมอกมีถนนหนึ่งสาย และบ้านเรือนหลายหลัง
ด้านหน้าอาคารหลังหนึ่งมีแผ่นป้ายไม้ สลักคำภาษาโลเอ็นไว้ว่า:
“สำนักงานโทรเลขท่าเรือแบนชี”
ขณะรูม่านตาของเวอร์ดูกำลังเบิกกว้าง เสียงอ่อนหวานดังมาจากด้านในสำนักงานโทรเลขซึ่งปกคลุมด้วยสายหมอก
“มาส่งโทรเลขหรือ? เชิญเข้ามาด้านใน”
………………………………