บทที่ 1927 ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้?

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ถ้าไม่ใช่เคราะห์ก็เป็นวาสนา ถ้าเป็นเคราะห์ก็หนีไม่พ้น

สิ่งที่ควรจะมาสุดท้ายก็ยังต้องมา สายลับที่ส่งไปสำรวจทางเหมือนจะแสดงบทบาทอะไรบางอย่างแล้ว

ตอนที่เหลืออีกแค่ประตูดวงดาวสองแห่งก็จะออกจากอาณาเขตทัพตะวันออกแล้ว สายลับสิบกว่าคนที่ไปสำรวจทางล่วงหน้าบุกเข้าไปในประตูดวงดาว กว่าคนที่ไปสำรวจทางล่วงหน้าบุกเข้าไปข้างในก่อน ส่งข่าวกลับมาว่าสามารถผ่านไปได้ ตอนที่พวกเขาผ่านประตูดวงดาวแล้วถูกพ่นออกมา สถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงกะทันหัน

เพิ่งจะเหาะได้ไม่นาน จู่ๆ ลิ่งหูโต้วจ้งก็ยกมือขึ้น พวกเขารีบหยุด แล้วหันมองรอบๆ

เห็นกลุ่มดาวหินที่ลอยนิ่งๆ อยู่โดยรอบระเบิดออก รอบข้างปรากฏกำลังพลกลุ่มใหญ่ กำลังรวมตัวกันเข้ามาล้อม

กำลังพลกลุ่มนี้สวมเครื่องแบบชุดเกราะของตำหนักสวรรค์ แม้แต่ใบหน้าก็ไม่ปลอมแปลง เคลื่อนไหวมาทางฝั่งนี้อย่างอุกอาจเต็มที่ พระ

เมื่อลองประเมินดู พวกเหมียวอี้ก็นับได้คร่าวๆว่า กำลังพลของฝ่ายตรงข้ามมีประมาณหนึ่งล้าน

ผู้ติดตามของลิ่งหูโต้วจ้งถลันตัวเข้ามาคุ้มกันลิ่งหูโต้วจ้งรวมทั้งพวกเหมียวอี้ เฝ้าระวังทั้งสี่ด้านแปดทิศ

“เป็นคนทัพตะวันตกของก่วงลิ่งกง” ลิ่งหูโต้วจ้งจ้องแม่ทัพของฝ่ายตรงข้าม “ผู้บัญชาการสูงสุดก็คือลูกน้องคนสนิทของหวงฮ่าว เหยียนเซียว มียอดฝีมือมาไม่น้อย ทั้งยังส่งกำลังพลมาเยอะขนาดนี้ ดูท่าแล้วอ๋องสวรรค์ก่วงจะให้ความสำคัญกับผู้ตรวจการใหญ่มากทีเดียว!”

เหมียวอี้เอียงหน้ายิ้มบางๆ ให้เขา “ถ้าเทียบกับท่านจอมพลลิ่งหู ก็ย่อมไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง”

ลิ่งหูโต้วจ้งยิ้มเจื่อน เมื่อเห็นแถวหน้าของกำลังพลฝ่ายตรงข้ามเผยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากมาล้อมไว้ เขาก็พยักหน้าเบาๆ ให้ทหารคนหนึ่งของตัวเอง

ทหารคนนั้นโบกมือ คนสิบคนปรากฏตัว แล้วก็เพิ่มจากสิบกลายเป็นพัน จากพันกลายเป็นหมื่น ชั่วพริบตาเดียวทัพใหญ่หนึ่งล้านก็ตั้งขบวนแล้ว คุ้มกันพวกเหมียวอี้เอาไว้ตรงกลาง ส่วนมือธนูก็วางกำลังป้องกันอยู่นอกวง

เหยียนเซียว แม่ทัพใหญ่สายมะเมียที่ล้อมเข้ามาอึ้งทันที ผู้ช่วยแม่ทัพที่อยู่ทางซ้ายและขวามองหน้ากันเลิ่กลั่ก เห็นได้ชัดว่านึกไม่ถึงว่าข้างกายเหมียวอี้จะมีกำลังพลเยอะขนาดนี้

ผู้ช่วยแม่ทัพที่อยู่ข้างๆ จำแม่ทัพบางคนที่โดนล้อมอยู่ได้ ถึงเตือนเหยียนเซียวทันทีว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่าไม่ดีแล้ว นั่นคือกำลังพลของลิ่งหูโต้วจ้ง ลิ่งหูโต้วจ้งนำกำลังพลส่วนหนึ่งหนีไปแล้ว ทิศทางไปไม่ชัดเจน นึกไม่ถึงว่าตอนนี้จะมาโผล่อยู่ที่นี่ ในบรรดาคนที่ปลอมตัวอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นลิ่งหูโต้วจ้งก็ได้”

เขาเองก็แยกไม่ออกว่าลิ่งหูโต้วจ้งที่ปลอมตัวคือคนไหน แต่กลับมองออกว่าข้างกายของลิ่งหูโต้วจ้งมีคนชูธงเล็กส่งสัญญาณจัดกระบวนทัพ  พวกเหยียนเซียวพี่พอจะรู้ตัวแล้วรีบหันมองไปรอบๆ

เห็นเพียงสายลับสิบคนที่พุ่งเข้าประตูดวงดาวมาก่อนกลับไปแล้ว แม้จะถูกกันไว้นอกวงล้อม แต่กลับเพิ่มความเร็วในการเหาะอย่างกะทันหัน ไม่ได้มีความเร็วเหมือนที่ฝั่งนี้เห็นก่อนหน้านี้ ความเร็วนี้เป็นของยอดฝีมือเท่านั้น สิบกว่าคนนี้ตีโอบเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลังจากวางกำลังพลเป็นวงกว้าง ก็ทยอยกันยกมือปล่อยคน จากสิบเป็นพัน จากพันเป็นหมื่น กำลังพลที่หนาแน่นปรากฏตัว แม่ทัพรีบบัญชาการให้กำลังพลจัดกระบวนทัพ

ชั่วพริบตาเดียว ทัพใหญ่สิบล้านก็ปรากฏตัวอยู่ข้างหลังพวกเขา มาล้อมพวกเขาเอาไว้อีก ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากเรียนอยู่แถวหน้าภายใต้การบัญชาการของแม่ทัพ เล็งมาที่พวกเขาแล้ว

ภาพเหตุการณ์ในตอนนี้ก็คือ ทัพใหญ่สิบล้านล้อมทัพใหญ่สิบล้าน การจะโจมตีไม่ใช่เรื่องง่าย ข้างหลังก็มีทัพเกรียงไกรที่มากกว่าสิบเท่าล้อมไว้อีก ตกอยู่สถานการณ์โดนขนาบโจมตีโดนสิ้นเชิงแล้ว สามารถเล่นงานฝั่งนี้ให้ถึงตายได้ทุกเมื่อ

เหยียนเซียวขยับลูกกระเดือก รู้สึกเหงื่อแตกนิดหน่อย แม่ทัพที่อยู่ข้างกายสีหน้าเปลี่ยนกันหมด ต่างก็นึกไม่ถึงว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ต่างก็มองออกแล้วว่าฝ่ายตรงข้ามคือทัพใหญ่ของลิ่งหูโต้วจ้ง ไม่ว่าจะเป็นกำลังทหาร หรือจำนวนยอดฝีมือ หรือจำนวนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ก็เป็นสิ่งที่ฝั่งนี้เทียบไม่ติด ทั้งยังตกอยู่ในสภาพลำบากแบบนี้ด้วย ไม่มีทางทำศึกนี้ได้เลย ถ้ากล้าขยับซี้ซั้วก็จะเกิดการเข่นฆ่าทันที

และกำลังพลของพวกเขาที่ถูกขนาบอยู่ตรงกลางก็ตกอยู่ในความกลัวแล้วด้วย ขอเพียงไม่ใช่คนโง่ ก็ย่อมรู้ว่าตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตายอย่างแน่นอน แต่ละคนบ้างก็ทำสีหน้ากังวลบ้างก็ทำสีหน้าหวาดกลัว มองซ้ายมองขวาอย่างกระสับกระส่าย ขวัญกำลังใจทหารปั่นป่วนโดยสิ้นเชิงแล้ว

“บอกเบื้องล่างว่าอย่าเคลื่อนไหวซี้ซั้ว” พอเหยียนเซียวเห็นกำลังใจทหารหย่อนยาน ก็กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิด ถ้ามือใครพลาดยิงธนูออกมา ก็จะทำให้ศึกใหญ่ปะทุทันที จึงรีบกำชับไว้

“ในเวลานี้เกรงว่าจะไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหว” ผู้ช่วยแม่ทัพที่อยู่ข้างกันถอนหายใจ ถ้าขยับตัวซี้ซั้วจะไม่รนหาที่ตายหรอกหรือ แต่ก็ยังถ่ายทอดคำสั่งลงไป

แม่ทัพอีกคนกล่าวเสียงต่ำว่า “แม่ทัพใหญ่ ท่านจอมพลบอกว่าข้างกายหนิวโหย่วเต๋อมีคนแค่ไม่กี่คนไม่ใช่หรือ? แบบนี้เรียกว่าไม่กี่คนที่ไหนกัน? ไม่ใช่ว่ากำลังวางกับดักพวกเราหรอกเหรอ? ทำไมมีทัพใหญ่ของลิ่งหูโต้วจ้งโผล่มาได้ ข่าวของท่านจอมพลนี่ยังไงกันแน่?”

สิ่งที่ฝั่งนี้ไม่รู้ก็คือ คนที่โผล่หน้ามาตอนนี้เป็นเพียงกำลังพลหนึ่งในห้าของลิ่งหูโต้วจ้งเท่านั้น

“มาพูดตอนนี้จะมีความหมายอะไร?” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่รีบลงมือ เหยียนเซียวก็รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหวงฮ่าว จอมพลสายมะเมีย บอกว่าขอคำชี้แนะก็ดีขอคำชี้แจงก็ได้ ต้องถามว่าเบื้องบนจะทำอะไรกันแน่

กำลังพลของลิ่งหูโต้วจ้งยังไม่ลงมือ เหมียวอี้ที่รอครู่หนึ่งเอียงน่ามองลิ่งหูโต้วจ้ง เห็นได้ชัดว่าทำสีหน้าไม่ค่อยพอใจ กล่าวอย่างเย็นชาว่า “หรือว่าท่านจอมพลลิ่งหูกับเหยียนเซียวมีไมตรีเก่าอะไรกัน?”

ลิ่งหูโต้วจ้งเข้าใจว่าเขากำลังเร่งให้ลงมือ จึงถามว่า “หรือว่าผู้ตรวจการใหญ่ต้องการจะกำจัดคนพวกนี้จริงๆ?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ถ้าจับเป็นได้ก็พยายามจับเป็น เก็บไว้เป็นตัวประกัน ถ้าจับไม่ได้ก็ฆ่าซะ ลงมือเถอะ!”

ลิ่งหูโต้วจ้งทำยังลังเลว่า “ผู้ตรวจการใหญ่จะฟังข้าพูดสักหน่อยได้ไหม?”

เหมียวอี้รู้สึกเดือดในใจนิดหน่อย แต่กำลังพลที่อยู่ตรงหน้าล้วนเชื่อฟังลิ่งหูโต้วจ้ง ไม่ได้ถูกควบคุมอยู่ในมือเขา เขาโมโหไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้ากดดันให้จนตรอกก็อาจจะกบฏได้ จำเป็นต้องอดทนไว้ “ยินดีที่จะรับฟังความเห็นอันสูงส่ง!”

ลิ่งหูโต้วจ้งถามกลับ “ผู้ตรวจการใหญ่ ฆ่าคนพวกนี้เป็นเรื่องง่าย แต่เคยคิดถึงผลที่ตามมาหลังจากลงมือหรือเปล่า?”

“เจ้ากังวลว่าถ้าพวกเจ้าเปิดโปงตัวตนแล้ว จะไม่สามารถผ่านอาณาเขตทัพใต้ไปได้อย่างราบรื่นเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

ลิ่งหูโต้วจ้งตอบว่า “ไม่ผิดหรอก! แดนรัตติกาลกับทัพใต้อยู่ติดกัน ถ้าอยากจะเข้าแดนรัตติกาล ก็ต้องผ่านอาณาเขตทัพใต้ ถ้าฝั่งนี้ลงมือกำจัดคนของก่วงลิ่งกง ก่วงลิ่งกงจะต้องบอกฮ่าวเต๋อฟางแน่นอน ถ้าก่วงลิ่งกงฉวยโอกาสยุยง ถึงตอนนั้นพวกเราจะข้ามผ่านไปได้หรือเปล่าก็ยังเป็นปัญหาเลย และทัพตะวันตกจะยอมให้กำลังพลกลุ่มนี้มีอยู่หรือไม่ก็ยังเป็นปัญหา ผู้ตรวจการใหญ่โปรดใคร่ครวญ”

“คิดมากไปแล้ว ข้าก็เลยพยายามให้จับเป็นเพื่อเอามาเป็นตัวประกันไง” เหมียวอี้กล่าว

“ถ้าสู้กันขึ้นมา อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ต้องเสียหายเกินครึ่ง ก่วงลิ่งกงเสียหน้าแบบนี้ไม่ไหว ไม่มีทางยอมถูกขู่แบบนี้ด้วย” ลิ่งหูโต้วจ้งกล่าว

เหมียวอี้บอกว่า  “ข้าจะแจ้งให้กำลังพลกองทัพองครักษ์มาเป็นพยาน คนพวกนี้ทำไม่ดีกับข้าก่อน”

ลิ่งหูโต้วจ้งส่ายหน้า  “ผู้ตรวจการใหญ่คิดอะไรเรียบง่ายเกินไปแล้ว กับพวกตาแก่พวกนั้นข้ารู้จักดี ผู้ตรวจการใหญ่ทำแบบนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ สำหรับคนที่อยู่ระดับก่วงลิ่งกง พูดอธิบายเหตุผลได้ไม่ชัดเจนหรอก ถ้าบีบให้อีกฝ่ายร้อนรน กำลังทหารที่อยู่ในมืออีกฝ่ายก็จะไม่ใช้เหตุผลเหมือนกัน ใครหมัดใหญ่กว่าคนนั้นก็มีเหตุผล แบบนั้นฝ่าบาทก็จะต้องปิดตาข้างเดียวอยู่ดี กำลังพลกองทัพองครักษ์มาแล้วยังไงล่ะ ถ้าพวกเขายืนกรานว่าผ่านทางมาเฉยๆ แล้วถูกผู้ตรวจการใหญ่ล้อมโจมตี ดึงดันจะโยนความผิดกลับมา ฉวยโอกาสลงยาพิษกับผู้ตรวจการใหญ่ แล้วทีนี้จะทำยังไง?”

เหมียวอี้เลิกคิ้ว “จะปล่อยให้เขาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แบบนี้ได้ยังไง ท่านจอมพลไม่เคยได้ยินเรื่องที่สระน้ำมังกรดำหรือไง!”

ลิ่งหูโต้วจ้งยิ้มเจื่อน “ผู้ตรวจการใหญ่ นี่ไม่เหมือนสถานการณ์ที่สระน้ำมังกรดำ ไม่เหมือนกันเลย สระน้ำมังกรดำเป็นการอุดกำลังพลของอ๋องสวรรค์…อิ๋งจิ่วกวงไว้ข้างใน แล้วข้างนอกก็ปล่อยข่าวกำลังพลของตระกูลอิ๋งปลอมตัวเป็นโจร ตระกูลอิ๋งกลับไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับด้วยว่ากำลังพลของตัวเองขัดแย้งกับผู้ตรวจการใหญ่ แบบนี้ผลที่ได้ก็คือ พอกองทัพองครักษ์ไปถึงก็พบว่ากำลังพลของตระกูลอิ๋งอยู่ข้างใน ต่อให้ตระกูลอิ๋งมีเหตุผล แต่ก็อธิบายได้ไม่ชัดเจนแล้ว ทำได้เพียงฝืนใจยอมรับ แต่เรื่องที่อยู่ตรงหน้านี้ล่ะ…ผู้ตรวจการใหญ่ได้โปรดดูสิ!” เขาชี้กำลังพลที่ล้อมอยู่ด้านนอก “พุ่งเป้ามาหาผู้ตรวจการใหญ่อย่างอุกอาจ ไม่ปลอมตัวเลยสักนิด อีกฝ่ายไม่กลัวเลยถ้าเกิดเรื่องขึ้น ถึงตอนนั้นถ้าเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อให้ความร่วมมือมาเป็นพยานอีก พิสูจน์ว่ากำลังพลของตระกูลก่วงผ่านอาณาเขตนี้จริงๆ ต่อให้ทุกคนจะรู้อยู่แก่ใจว่าความจริงเป็นยังไง แต่บนราชสำนักจะต้องตำหนิเป็นเสียงเดียวกันว่าผู้ตรวจการใหญ่ไร้เหตุผลแน่นอน ถึงขนาดว่าก่อนที่จะได้ข้อสรุปในการประชุมขุนนาง พวกเขาก็สามารถทำให้ผู้ตรวจการใหญ่ไม่มีโอกาสแก้ตัวได้อีก อีกฝ่ายยืนกรานว่าผู้ตรวจการใหญ่ทำชั่วก่อน ต้องการจะจัดการพวกเราให้ได้ กำลังพลกองทัพองครักษ์ไม่กี่คนที่อยู่แถวนี้ ก็ต้านทานทัพใหญ่ของอีกฝ่ายที่จะมาลงมือกับพวกเราไม่ได้หรอก!”

เหมียวอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย พบว่าตัวเองคิดอะไรเรียบง่ายไปจริงๆ ประเมินความไร้ยางอายของคนพวกนี้ต่ำไป พบว่าลิ่งหูโต้วจ้งรู้จักคนพวกนี้ดีกว่าเขา สิ่งที่พูดก็มีเหตุผลอยู่บ้างหลายส่วน อารมณ์โกรธในใจจึงสงบลงบ้างแล้ว ถามยังลังเลว่า “หรือจะปล่อยพวกเขาไปอย่างนี้?”

ลิ่งหูโต้วจ้งโบกมือเบาๆ “ไม่หรอก! ถ้าปล่อยพวกเขาไปอย่างนี้ พวกเขาก็อาจไม่ปล่อยพวกเราไปก็ได้ ถ้าทัพตะวันตกตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ยอมให้กำลังพลของข้าเป็นอิสระ ตัวอย่างจะต้องลงมาอีกแน่นอน ไม่ปล่อยให้พวกเราออกจากอาณาเขตของพวกเขาไปอย่างราบรื่นแน่!”

เหมียวอี้ถามเสียงต่ำ “ตามที่ท่านจอมพลบอก งั้นควรจะจัดการยังไงดี?”

ลิ่งหูโต้วจ้งตอบว่า “ล้อมไว้แต่ไม่โจมตี บังคับให้ยอมแพ้ จับให้สำเร็จในรวดเดียว! ตราบใดที่ไม่สร้างความเสียหายให้ก่วงลิ่งกง แค่ไว้หน้าก่วงลิ่งกง เรื่องบางเรื่องทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ ถึงตอนนั้นพวกเราก็สามารถจี้ตัวประกันกลุ่มนี้กลับไปที่แดนรัตติกาลได้อย่างราบรื่น ขอเพียงก่วงลิ่งกงประกาศเรื่องนี้ก่อน ตอนหลังก็จะไม่เอ่ยปากแล้ว! ผู้ตรวจการใหญ่ ถ้าลงมือเมื่อไหร่ ก่วงลิ่งกงจะต้องปล่อยไปตามยถากรรม ต้องกู้หน้าอ๋องสวรรค์กลับมา จะต้องเล่นงานผู้ตรวจการใหญ่ถึงตายเพื่อล้างความอัปยศแม่นอน แต่ถ้าบีบบังคับให้ยอมแพ้ล่ะ ก่วงลิ่งกงไม่มีทางมองข้ามความตายของคนมากมายขนาดนั้น ถ้ามีข่าวแพร่ออกไปว่าเขาไม่สนใจความเป็นความตายของลูกน้อง เขาก็ต้องคำนึงถึงความคิดของลูกน้อง ดังนั้นผู้ตรวจการใหญ่ได้โปรดไตร่ตรองและอดทนไว้!”

เหมียวอี้เข้าใจทันที พยักหน้าเบาๆ “พอได้ฟังคำพูดท่านจอมพล ก็เข้าใจกระจ่างเหมือนเปิดจุกไหออก หนิวบุ่มบ่ามเกินไปจริงๆ ได้ ทำตามที่ท่านจอมพลบอก!”

ลิ่งหูโต้วจ้งยังกังวลว่าเหมียวอี้จะใช้วิธีแข็งกร้าวเหมือนที่คนลือกัน ตอนนี้พอเห็นเหมียวอี้คล้อยตามเหมือนสายน้ำได้ เขาก็โล่งอก แอบคิดในใจว่า ก็ไม่ได้สื่อสารด้วยยากขนาดนั้นนี่…หารู้ไม่ว่าเป็นเพราะตอนนี้อำนาจทางทหารยังอยู่ในมือเขา ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้เปิดฉากต่อสู้ตั้งนานแล้ว

เขาไม่ได้พิจารณาเพื่อเหมียวอี้ แต่พิจารณาเพื่อกำลังพลของตัวเอง

จวนจอมพลสายมะเมีย

ในตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง เมื่อได้รับข่าวแล้ว หวงฮ่าวก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา ค่อนข้างกระฟัดกระเฟียด กล่าวด้วยสีหน้าดุร้ายว่า “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้? ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้? ท่านอ๋องหมายความว่าอะไรกันแน่?” แล้วก็หันกลับมาบอกอีกว่า “บอกพวกเขา ไม่ต้องอวดดี ฝ่าวงล้อมสุดกำลัง!”

พ่อบ้านหลี่จวินยังถือระฆังดาราไว้ตลอด พอได้ยินก็บอกว่า “ท่านจอมพล กำลังพลของลิ่งหูโต้วจ้งไม่ได้รุกโจมตี แค่ล้อมไว้ ถ้าฝ่าวงล้อมเมื่อไหร่ อีกฝ่ายจะลุกโจมตี ฝ่ายพวกเราจะต้องเสียหายหนักมากแน่นอน เกรงว่าคงจะมีไม่กี่คนที่ฝ่าวงล้อมได้ ทำกลางกำลังพลกลุ่มนี้ มียอดฝีมือของพวกเราไม่ใช่น้อยๆ!” เขาจะสื่อว่ายอมรับความเสียหายนี้ไม่ค่อยได้

“ไม่ได้รุกโจมตีเหรอ?” หวงฮ่าวงงไปชั่วขณะ เอามือขยี้เครายาวดกดำมันวาวดุจหมึก พลางขมวดคิ้วกล่าวอย่างสงสัย  “ไม่เหมือนลักษณะวู่วามใช้กำลังของหนิวโหย่วเต๋อ…”

“ขอให้ท่านอ๋องตัดสินใจเถอะขอรับ!” หลี่จวินกล่าว

………………