อย่าคิดหาจากภายนอก!
ยามทอดมองเมฆาเคราะห์พร่างพราวที่ปรากฏอยู่บนเวิ้งฟ้านั่น ส่วนลึกในใจหลินสวินก็มีคำพูดนี้ดังสะท้อนไม่ขาดสาย
เวลานี้เขาตระหนักได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว ว่าตนก่อนหน้านี้ทำพลาดไปหนึ่งข้อ
เอาแต่ฝากความหวังที่จะบรรลุระดับมกุฎราชันไว้กับจุดเปลี่ยนอันริบหรี่ไม่มีจริงนั่น เป็นผลให้ตนตกอยู่ในการเฝ้ารอที่ได้แต่เป็นฝ่ายถูกกระทำ ต้องการแต่ไม่อาจได้มา!
เดิมทีนี่ก็ขัดแย้งกับมรรคาที่เขาแสวงหา!
มรรคของเขา ไม่หยิบยืมปัจจัยภายนอก ไม่พึ่งพาวาสนาและศุภโชค ข้าแสวงหามรรคของข้าด้วยตัวเอง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดต้องเฝ้ารอจุดเปลี่ยนเสี้ยวนั้นด้วยเล่า
อย่าคิดหาจากภายนอก!
และยามเมื่อตัวตกอยู่ในสภาพคับขัน ได้เห็นพวกมู่เจิ้งชักนำเคราะห์สวรรค์ จึงทำให้หลินสวินดึงสติกลับมาได้โดยพลัน ได้สติตื่นรู้จากเส้นทางที่ผิด
จุดเปลี่ยนไม่มา แล้วเหตุใดไม่เป็นฝ่ายไปไขว่คว้าเองเล่า
และเพราะรู้แจ้งถึงจุดนี้ หลินสวินได้กำจัดความมืดมนในก้นบึ้งหัวใจไปสิ้น เปลี่ยนจากผู้ถูกกระทำเป็นผู้ลงมือกระทำ เลือกปลดปล่อยออกมาอย่างสมบูรณ์ในยามนี้โดยพลัน!
ปลดปล่อยมรรควิถี มรรคา สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณแห่งตนออกมาหมดสิ้น สำแดงสุดกำลัง ไปขวนขวายและไขว่คว้าจุดเปลี่ยนเลื่อนระดับเสี้ยวนั้น!
สมความคาดหมาย เขาทำสำเร็จแล้ว!
ส่วนลึกของเวิ้งฟ้ามีเมฆาเคราะห์มหึมาปรากฏขึ้น พร่างพรายถึงขีดสุด แตกต่างเหนือใคร งดงามไร้ที่ติ
หลินสวินรู้ นี่ก็คือเคราะห์ของตน
ขอเพียงข้ามผ่านไปได้ ระดับราชันก็วาดหวังได้!
ตูม ครืนๆ
เมฆาเคราะห์พร่างพราวสะท้านโลกไร้สิ้นสุด สั่นสะเทือนทั่วทิศ พาให้ทั่วทั้งแดนเผาเซียนตกสู่บรรยากาศสั่นไหวและกดดัน
นี่คือความน่าสะพรึงยิ่งใหญ่ราวกับทำลายล้างโลกก็ไม่ปาน
ทั้งในและนอกเมือง ผู้ฝึกปราณทุกคนต่างใจสะท้านเนื้อกระตุก รู้สึกถึงความอับจนและเล็กจ้อยหาใดเปรียบ ตัวสั่นงันงกไปทั้งร่าง
สิบแปดศิษย์กษิติครรภ์อย่างพวกมู่เจิ้งต่างตระหนกขุ่นเคืองทบทวี จิตใจสั่นสะท้าน รู้สึกถึงภัยคุกคามร้ายแรงอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน!
มีเพียงหลินสวินที่เวลานี้ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา ดุจมังกรคำรามสั่นสะท้านเก้าชั้นฟ้า!
เขาติดอยู่ในระดับกระบวนแปรจุตินานเกินไป และเฝ้ารอมานานแสนนาน ฝึกปราณและเคี่ยวกรำอย่างยากลำบากในช่วงหลายปีมานี้ ก็ไม่ใช่เพื่อวันนี้หรอกหรือ
ชีวิตคนเรายามลำพองควรต้องหรรษาให้สุด เวลานี้ถึงจะมีมหาเคราะห์สะท้านโลกอยู่ต่อหน้า แต่สำหรับหลินสวินกลับเป็นช่วงเวลาที่เขายินดีมากที่สุดในการเสาะแสวงหามรรคา!
ได้รับนัยแห่งมหามรรค ลืมเลือนตัวตน
นี่ก็คือ ‘ได้ใจจนลืมตน’ ที่เรียกกัน!
เมื่อมองชายหนุ่มที่แหงนหน้าระเบิดหัวเราะเหนือห้วงฟ้าคนนั้น มองเห็นท่าทางเหยียดหยันที่จับจ้องมหาเคราะห์บนเวิ้งนภานั่น ภายในใจทุกคนต่างสั่นสะท้านและซับซ้อน
สถานการณ์สิ้นหวังอย่างหนึ่ง กลับถูกพลิกผันเพียงชั่วพริบตา ฝีมือระดับนี้เรียกได้ว่าหงายมือเรียกเมฆคว่ำมือเรียกลมแล้ว
“เทพมารหลินคงไม่ถูกโจมตีจนพ่ายแพ้อย่างแน่นอน!” มีคนพึมพำ
ส่วนพวกมู่เจิ้ง สีหน้าในยามนี้กลับไม่น่าดูผิดธรรมดา
หลินสวินถูกพวกเขามองเป็นมารนอกรีตหมายจะกำจัด ถึงขนาดไม่เสียดายที่จะมอดม้วยไปด้วยกัน แต่ยามนี้ทั้งหมดล้วนไม่แน่นอนแล้ว สิ่งนี้พาให้จิตใจพวกเขาย่ำแย่จนไม่อาจแย่ไปมากกว่านี้แล้ว
“ทุกท่าน ไม่สู้ข้ามด่านเคราะห์ไปพร้อมกับข้าเป็นอย่างไร”
นัยน์ตาดำหลินสวินดุจสายฟ้า มุมปากแต้มรอยยิ้ม กวาดสายตามองพวกมู่เจิ้ง ทั่วร่างแผ่มาดสง่าไร้ทัดเทียมออกมา
หัวใจพวกมู่เจิ้งกระตุกขึ้นมา ลอบอุทานว่าแย่แล้ว!
ทว่าสถานการณ์ไม่อยู่ในการควบคุมของพวกเขาแล้ว ก็เห็นว่าเสียงเพิ่งสิ้นสุด หลินสวินทะยานขึ้นฟ้า เงาร่างดั่งหุบเหวลึก เข้ารับเมฆาเคราะห์บนเวิ้งฟ้านั่น!
ตูม!
ส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ที่งดงามเจิดจ้า พลิกม้วนออกมาเป็นอสนีเคราะห์ที่เหมือนโซ่เทพร้อยระเบียบสายแล้วสายเล่า แต่ละสายแวววาวโปร่งใส พิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์แพรวพราว
เสมือนถูกการกระทำปลุกปั่นของหลินสวินกระตุ้นต่อมเดือด พร้อมๆ กับเสียงกึกก้องสะเทือนเลื่อนลั่นนั้น อสนีเคราะห์เจิดจรัสวาววับสายหนึ่งผ่าฟาดลงมาก่อน
ประหนึ่งโซ่ทัณฑ์สวรรค์ลงมาเยือน หมายจะหวดกระหน่ำปวงมนุษย์!
“มาได้ดี!”
หลินสวินไม่หลบเลี่ยง ทะยานตัวต้อนรับ มหามรรครอบกายสำแดงออกมาเป็นหุบเหวลึก ซัดสะเทือนเข้าปะทะ
ปึง!
ประกายอสนีพุ่งยิง เงาร่างหลินสวินโงนเงน ไหล่ถูกแทงจ้วงเป็นรูกลวงโชกเลือด ผิวหนังไหม้เกรียม
ทว่าด้วยการโคจรของพลังมหามรรคไร้มรณะ อาการบาดเจ็บเพียงเท่านี้ก็หายเป็นปกติในชั่วพริบตา
รอบกายเขาอาบไล้อยู่ท่ามกลางอสนีเคราะห์ที่แหลกสลาย ละอองแสงแผ่ลอย ราวกับเทพมารกรำศึกท้าสวรรค์
ท่าทางเหยียดหยันผงาดกร้าวนั่นทำให้ผู้ฝึกปราณทุกคนที่เห็นภาพเหตุการณ์นี้ต่างพากันอ้าปากค้าง
อสนีเคราะห์ระดับนั้น สะท้านโลกและสูงสุดปานใด ถึงกับถูกต้านเอาไว้ทั้งอย่างนี้เลยหรือ
ตูม โครม โครม!
และพร้อมกันนั้น เคราะห์สวรรค์สิบแปดด่านที่ถูกข่มและจมหายในความเงียบงันบนเวิ้งฟ้านั่น ก็พากันโปรยปรายลงมาในเวลานี้เช่นเดียวกัน
ชั่วขณะนั้นกลางห้วงฟ้าถูกน้ำตกอสนีไหลล้นเติมเต็ม ประหนึ่งกระแสธารแห่งเคราะห์สวรรค์พลิกตัว ทะลักไหลพล่านลงมา
น่าสะพรึงเกินไปแล้ว!
เพียงแค่มองจากไกลๆ ก็พาให้ผู้ฝึกปราณในเมืองตกใจจนวิญญาณเกือบหลุดออกจากร่าง จิตของผู้คนมากมายถูกทำให้สะท้านสะเทือน ต่างพากันเพลียแรงทรุดลงพื้นเสียงดังตุ้บ
“บัดซบ!”
“มารนอกรีตสมควรตายนี่!”
พวกมู่เจิ้งกลับเหมือนกระต่ายแตกตื่น ปากสบถสาปแช่งพลางทำการต้านทาน
อสนีเคราะห์ระดับนี้มาเยือน มีหรือพวกเขาจะปลีกตัวไปได้
นี่เดิมทีก็เป็นด่านเคราะห์ของพวกเขา เพียงแต่เวลานี้กลับถูกหลินสวินชักนำแล้ว!
อสนีเคราะห์สิบแปดด่านรวมตัวเบียดแน่นอยู่ในบริเวณเดียวกัน เท่ากับให้พวกเขาสิบแปดคนร่วมกันแบกรับการโจมตีระดับนี้ มีหรือจะต้านทานได้ง่ายๆ ปานนั้น
ช่วงฉุกละหุกพวกมู่เจิ้งแต่ละคนต่างร้องโหยหวน ถูกอสนีเคราะห์ผ่าฟาดจนกอดหัวหนีอุตลุด ร้องครวญไม่สิ้น พยายามสลายพลังสุดชีวิต
สีหน้าของพวกเขาล้วนแปลกพิสดารสุดขีด ต่างมีความรู้สึกอยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา
นี่บางทีอาจเรียกว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว ไม่สิ สำหรับผู้บำเพ็ญธรรมอย่างพวกเขา นี่เรียกได้แค่ว่ากงเกวียนกำเกวียน ผลกรรมตามสนอง…
สูงขึ้นไปเหนือฟ้า หลินสวินหัวเราะลั่น สาแก่ใจหาใดเปรียบ พวกลาหัวโล้นที่ภายนอกขึงขังครัดเคร่ง อันที่จริงกลับปลอมเปลือกและไร้ยางอายพวกนี้ คงไม่เคยคิดมาก่อนสักนิดว่าจะถูกโจมตีเช่นนี้กระมัง
สะใจ!
สะใจเกินไปแล้วจริงๆ!
เสียงเปรี้ยงหนึ่งดังขึ้น โซ่เทพอสนีเคราะห์วาววับสายหนึ่งลงมาเยือน ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัว ก็ฟาดเข้าใส่ร่างหลินสวินที่กำลังหัวเราะลั่นตรงๆ ทำให้เขาหนังเปิดเนื้อปลิ้น กระดูกจวนจะขาดสะบั้น
เบิกบานถึงขีดสุขจึงเกิดทุกข์?
หลินสวินมุมปากกระตุก แค่นเสียงเย็นออกมาอย่างรุนแรง ไม่สนใจพวกมู่เจิ้งอีก พุ่งทะยานขึ้นไป ทุ่มกายใจทั้งหมดไปต้านทาน
ไม่นานร่างของเขาก็ถูกอสนีเคราะห์ดุจน้ำตกกลบมิด
เคราะห์สวรรค์ มีหรือจะธรรมดาทั่วไป
นับประสาอะไรเคราะห์สวรรค์ครานี้ นอกจากด่านเคราะห์ระดับมกุฎราชันที่หลินสวินชักนำมาแล้ว ยังมีอสนีเคราะห์มรรคราชันสิบแปดด่านลงมาเยือนพร้อมกัน อานุภาพระดับนั้นสามารถใช้คำว่าวิปริตมาบรรยายได้อย่างสิ้นเชิง!
แม้ว่ารากฐานพลังของหลินสวินจะยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ แต่ร่างกายกลับถูกผ่าฟาดจนทั่วร่างกระตุกเกร็ง ผิวหนังไหม้เกรียมเป็นรอยแยก แขนขาแกนกระดูกล้วนป่นปี้
ทอดมองจากระยะไกล ทั้งตัวเขาเหมือนถ่านไม้ไหม้เกรียมท่อนหนึ่ง
พวกมู่เจิ้งที่ต่างกำลังต้านทานเคราะห์สวรรค์อย่างเดือดดาลเห็นเช่นนี้ ล้วนมองเข้าไปด้วยอาการดีใจยกใหญ่ แทบทนไม่ไหวอยากให้หลินสวินถูกผ่าตาย ถูกกำจัดทิ้งไปทั้งอย่างนี้!
ผู้ฝึกปราณในเมืองต่างก็ตึงเครียดหาใดเปรียบ สูดหายใจหนาวเหน็บ อสนีเคราะห์แห่งยุคระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถต้านทานได้ง่ายๆ ขนาดพวกพลิกฟ้าอย่างเทพมารหลินยังอันตรายรายล้อม
เพียงแต่ไม่ทันไรน้ำตกอสนีเต็มฟ้านั่นพลันปลิวสลาย สะท้อนเงาร่างหล่อเหลาสูงโปร่งของหลินสวินออกมา
ไผ่อสนีหมื่นเคราะห์หนึ่งปล้องถูกเขากัดจนแตก ของเหลววิญญาณปฐมอสนีภายในนั้นพรั่งพรูเข้าไปในปาก
พริบตาเดียวหลินสวินที่ร่างกายไหม้เกรียม อาการบาดเจ็บรุนแรงหาใดเปรียบ ก็เสมือนหงส์เพลิงที่บาดแผลทั้งหมดล้วนหายเป็นปกติ
“เข้ามาอีก!”
หลินสวินไม่มัวโอ้เอ้ อานุภาพผงาดกร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ เหินทะยานสู่ฟากฟ้า
ในมือเขา นอกจากไผ่อสนีหมื่นเคราะห์ ยังมีสมบัติจากธรรมชาติอย่างน้ำค้างหยกลมทอง น้ำยาควบรวมจิต ลูกกลอนเจ็ดช่องดารา น้ำแร่อมฤต แร่กระดูกหยกหลากสีเป็นต้นอีกด้วย
สิ่งเหล่านี้เดิมทีก็เป็นโอสถสมบัติข้ามด่านเคราะห์ ที่หญิงลึกลับจากห้องโถงมรรคาสวรรค์ผู้นั้นได้มาจากการไปเยือนหกขุมอำนาจโบราณ และเตรียมพร้อมไว้ให้หลินสวิน!
และยามนี้ในที่สุดก็ได้ใช้มันจริงๆ หนำซ้ำประสิทธิภาพยังเป็นที่ประจักษ์
โครม!
อสนีเคราะห์ที่เจิดจ้าถึงขีดสุด แพรวพราวถึงขีดสุดยิ่งน่าสะพรึงขึ้นเรื่อยๆ ทุกการมาเยือนเสมือนจะดับทำลายโลกก็ไม่ปาน อสนีเคราะห์พันหมื่นสายโปรยปราย ปิดครอบห้วงอากาศที่แห่งนั้นเอาไว้
หนำซ้ำอสนีเคราะห์ยังเปลี่ยนรูปไม่ขาดสาย เดี๋ยวก็กลายเป็นดาบ ทวน กระบี่ ง้าว เดี๋ยวก็วิวัฒน์เป็นกระถางโบราณ เตาสมบัติ ประทับใหญ่ ขวดสมบัติ เป็นต้น
เมื่อถึงตอนสุดท้าย ถึงกับสำแดงเป็นตำหนักสายฟ้า ภูผาธารา นครเมือง!
นี่พาให้ผู้ฝึกปราณในเมืองต่างอึ้งค้างอยู่ตรงนั้น สีหน้าสับสน
อสนีเคราะห์แห่งยุคปานนี้ อยู่เหนือองค์ความรู้ของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง เหลือเชื่อเกินไป น่าสะพรึงไร้ที่สิ้นสุด
ล้วนไม่กล้าเชื่อว่าในโลกนี้จะมีด่านเคราะห์ระดับนี้ได้อย่างไร!
ระหว่างกระบวนการนี้ หลินสวินถูกฟันครั้งแล้วครั้งเล่าจนบาดเจ็บสาหัส ร่างแตกราวกับริ้วแพรไหม เลือดไหลดุจดั่งน้ำตก
ร้ายแรงหน่อยก็เกือบถูกโจมตีตายไปตรงๆ
พาให้ผู้คนมองดูจนหัวใจแทบกระดอนหลุดคอหอย ตึงเครียดอย่างยิ่งจนจวนจะลืมหายใจ
เพื่อรักษาบาดแผล โอสถสมบัติข้ามด่านเคราะห์ในมือหลินสวินถูกผลาญไปด้วยความเร็วอันน่าตกใจ
หาใช่เขาไม่แกร่งพอ แต่เพราะด่านเคราะห์ครั้งนี้ก่อขึ้นจากเคราะห์แห่งมรรคราชันสิบแปดด่านและเคราะห์มกุฎราชันซ้อนรวมกัน วิปริตผิดธรรดาเกินไป
ทำให้ผู้คนอดสงสัยไม่ได้ ว่าหากเปลี่ยนเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎคนอื่นๆ เกรงว่าคงถูกกำจัดทิ้งไปนานแล้ว!
“บัดซบ…!”
เดิมทีพวกมู่เจิ้งฮึกเหิม แทบทนไม่ไหวอยากให้หลินสวินถูกผ่าสังหาร แต่ทุกๆ ครั้งหลินสวินมักจะเปลี่ยนร้ายเป็นดี หวนคืนสภาพปกติเสมือนฆ่าไม่ตาย พาให้พวกเขาต่างอัดอั้นจนเกือบเสียสติ
แต่ไม่นานพวกเขาก็ไม่อาจสนใจสิ่งเหล่านี้อีก
เพราะเคราะห์สวรรค์ที่เป็นของหลินสวิน เริ่มแผ่กว้างมาทางพวกเขาแล้ว!
ตูม!
อสนีเคราะห์วาววับรูปร่างคล้ายทวนใหญ่สายหนึ่งพุ่งเข้ามา มู่จิ้งหน้าเปลี่ยนสีทันควัน เขากำลังสาละวนต้านทานเคราะห์สวรรค์ของตนอยู่ ไม่อาจเบี่ยงหลบเลยสักนิด ได้แต่ถูกซัดโครมอย่างจัง
จากนั้น ภาพเหตุการณ์ที่พาให้ผู้คนหนาวสะท้านก็เกิดขึ้น
ต่อให้มู่จิ้งต้านทานสุดชีวิต ก็ยังคงถูกอสนีเคราะห์ทวนใหญ่ฟาดผ่าร่างจนระเบิดกลายเป็นเถ้าธุลี!
“ไม่…!”
พวกมู่เจิ้งตาแทบถลน หางตาล้วนหลั่งเลือด
ถึงจะบอกว่าตั้งใจให้วายวอดกันทั้งสองฝ่ายตั้งแต่แรก ทว่ายามเมื่อความตายมาเยือนอย่างแท้จริง พวกเขากลับยังคงยากจะทำใจยอมรับอยู่ดี
และในที่สุดผู้ฝึกปราณในเมืองต่างก็ตระหนักได้ว่าหลินสวินนั้นวิปริตปานใด มู่จิ้งถูกซัดสะเทือนดุจเศษกระดาษ แต่เขาที่เอาแต่ต้านทานและกรำศึกอสนีเคราะห์ระดับนี้ นี่ยังไม่เรียกว่าวิปริตอีกหรือ
ปึง!
พร้อมๆ กับเสียงร้องโหยหวนหนึ่งครา ภิกษุจีวรดำคนหนึ่งก็ถูกซัดสังหารไปอีกคน ชั่วอึดใจร่างและวิญญาณล้วนดับสูญ ฝุ่นคลุ้งควันโขมง!
หาใช่พวกเขาไม่แกร่งพอ หากแต่อสนีเคราะห์ครานี้สำหรับหลินสวินและพวกเขาล้วนเหมือนกัน เป็นอสนีเคราะห์สิบแปดด่านและเคราะห์มกุฎราชันซ้อนรวมเข้าด้วยกัน!
จะให้พวกเขาต้านไหวได้อย่างไร
นี่คือสถานการณ์สิ้นหวัง หนียังหนีไม่รอด ได้แต่สู้ไม่คิดชีวิต!
ต่อให้พวกมู่เจิ้งเห็นความตายดุจคืนสู่เหย้า ทว่าเวลานี้ ในใจก็อดเศร้าสลดไม่ได้เช่นกัน รู้สึกสิ้นหวังและชิงชังอย่างไร้ที่สิ้นสุด
หากรู้เช่นนี้แต่แรก พวกเขาย่อมไม่เลือกทำเช่นนี้เป็นอันขาด!
น่าเสียดาย นึกเสียใจภายหลังก็ไม่มีประโยชน์
กรรมสนองกรรม บางทีอาจนำมาใช้อธิบายสภาพพวกเขาในยามนี้ได้
ปึง! ปึง! ปึง!
เวลาต่อมาผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์คนแล้วคนเล่าถูกซัดสังหาร ขวัญหลุดวิญญาณกระเจิง แม้แต่โอกาสจะตกสู่ระดับกึ่งราชันยังไม่มี
ผู้คนภายในเมืองต่างอดทอดถอนใจไม่ได้ ก่อกรรมทำเข็ญเอง ไม่อาจหนีพ้นหนอ!
………………..