บทที่ 1930 เหยียนซิวสืบคดี

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

สิ่งที่ทำให้เฟยหงอิจฉายิ่งกว่าก็คือ นิสัยเข้าได้กับทุกคนยามที่อวิ๋นจือชิวอยู่กับคนในครอบครัวของทหารพวกนั้น ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะรู้จักกันหรือไม่ แต่พอพบหน้าก็ทักทายทันที พูดแค่สองสามประโยคก็เริ่มทำให้คนสนิทสนมแล้ว มีทักษะการเข้าสังคมที่ยอดเยี่ยมมาก

พวกอนุภรรยาของทหารยศเล็กบางส่วนที่ยืนอยู่ไกลๆ ไม่สะดวกและไม่มีสิทธิ์เข้าใกล้ อวิ๋นจือชิวก็เป็นฝ่ายเดินเข้าไปพูดคุยผูกมิตรก่อนเช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่นตอนคุยกับฮูหยินของแม่ทัพคนหนึ่ง สายตาชำเลืองไปเห็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ไม่ไกล แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าผู้ชายของพวกนางตำแหน่งไม่สูงเท่าไหร่ ไม่สะดวกใจที่จะมายืนใกล้ๆ อวิ๋นจือชิวที่พูดคล่องก็จะจ้องหนึ่งในนั้นพร้อมถามว่า “น้องสาวคนนั้นสวยจัง ไม่รู้ว่าขุนพลคนไหนมีวาสนาขนาดนี้?”

ฮูหยินพี่กำลังคุยด้วยย่อมต้องกล่าวแนะนำด้วยรอยยิ้ม พออีกฝ่ายเข้ามาใกล้แล้ว อวิ๋นจือชิวก็จะมองประเมินอย่างละเอียดพลางเดาะลิ้น “ข้าชอบผู้หญิงที่มีลักษณะท่าทางแบบน้องสาวคนนี้ ข้าถูกชะตามาก” จากนั้นสายตาก็ย้ายไปที่ผมของอีกฝ่าย ถือโอกาสดึงปิ่นปักผมที่สวยประณีตบนศีรษะตัวเองออกมา แล้วปักให้บนมวยผมของอีกฝ่ายอย่างสง่าผ่าเผย เสร็จแล้วก้าวถอยไปข้างหลัง มองประเมินอย่างละเอียดพร้อมถามคนที่อยู่ทางซ้ายและขวา “ทุกคนคิดว่าสวยไหม?”

คนที่อยู่ทางซ้ายและขวาย่อมไม่บอกว่าไม่สวยอยู่แล้ว พวกนางพากันกล่าวชม “สวย! สวยจริงๆ!”

ผู้หญิงที่ถูกกลุ่มคนกล่าวชมค่อนข้างเขินอาย แต่ในดวงตาฉายแววตื่นเต้นดีใจจริงๆ มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่ชอบเวลาคนอื่นชมว่าตัวเองสวย โดยเฉพาะครั้งนี้มีคนเป็นกลุ่มมาชมตัวเองว่าสวย ในใจต้องรู้สึกงดงามดีใจอยู่แล้ว

ส่วนอวิ๋นจือชิวก็คว้ามืออีกฝ่ายแล้วถามว่าชื่ออะไร จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “”ถ้าน้องสาวไม่รังเกียจว่าข้าเคยใช้ปิ่นปักผมด้ามนี้มาแล้ว เจ้าก็ปักผมไว้เถอะ คิดเสียว่าเป็นของขวัญแรกพบ ถึงยังไงคะก็รู้สึกว่าสวย เหมาะกับน้องสาวพอดีเลยนะ”

“วันแรกพบจากฮูหยิน ถ้าจะรังเกียจได้ยังไงคะ” ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับอย่างเกรงใจ

อวิ๋นจือชิวหัวเราะคิกคัก “เรียกฮูหยินห่างเหินไปแล้ว ทำไมรังเกียจก็เรียกพี่สาวสิ อืม…สง่าราศีของน้องสาว ข้ายิ่งมองก็ยิ่งชอบ วันหลังถ้ามีเวลาว่าง ก็อย่าลืมมาเล่นกับข้าบ่อยๆ นะ ข้าไม่ได้พูดตามมารยาทหรอกนะ เจ้าต้องมาให้ได้”

เมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้ สมาชิกครอบครัวผู้หญิงที่ระดับพอๆ กันไม่น้อยก็ส่งสายตาอิจฉา สถานการณ์ของทุกคนในตอนนี้ มีสิ่งหนึ่งที่รู้อยู่แก่ใจ รู้ว่าในภายหลังต้องเชื่อฟังคำสั่งของที่นี่ แล้วอวิ๋นจือชิวก็คือนายหญิงของที่นี่ แล้วน้องสาวคนนี้ก็ได้เรียกพี่เรียกน้องกันกับนางเพราะว่านายหญิงถูกชะตา กลายเป็นสหายของนายหญิงแล้ว ได้ยินว่าอวิ๋นจือชิวได้รับความรักจากหนิวโหย่วเต๋อมาก ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ด้วยความสัมพันธ์ระดับนี้ก็อาจจะช่วยสามีตัวเองได้

ที่จริงอวิ๋นจือชิวก็มีความคิดที่จะสานสัมพันธ์อันดีกับผู้หญิงของทหารยศต่ำพวกนี้ สนับสนุนสามีของผู้หญิงพวกนี้ขึ้นมาให้เป็นตัวอย่าง พระนางก็กังวลใจเหมือนกันว่าเหมียวอี้จะควบคุมกำลังพลมากขนาดนี้ไหวหรือไม่ ถ้าดึงคนเหล่านี้มาเป็นพวกได้ ท่ามกลางกำลังพลมากมายขนาดนี้ ถ้าได้ยินข่าวอะไรมาบ้างก็อาจจะช่วยเหลือเหมียวอี้ได้ ส่วนคนที่ระดับสูงเกินไป นางก็ไม่สะดวกยื่นมือเข้าไปสนับสนุน เพราะอาจจะกระทบต่อการวางขอบข่ายงานด้านบุคลากรของเหมียวอี้ ส่วนคนที่อยู่ตำแหน่งต่ำจำนวนไม่มาก นางก็ยังบอกได้ไม่มีปัญหา

“กลัวก็แต่จะรบกวนฮูหยิน…” ผู้หญิงคนนั้นพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง พอเห็นอวิ๋นจือชิวถลึงตาแกล้งโกรธ ก็เปลี่ยนเป็นเรียกว่า “กลัวจะรบกวนพี่สาวค่ะ”

อวิ๋นจือชิวเอามือป้องปากหัวเราะคิกคักทันที “ไม่กลัวรบกวนหรอก กลัวว่าเจ้าจะไม่มารบกวนล่ะสิ ถ้าเห็นน้องสาวแล้วชอบมากจริงๆ”

ตอนที่กำลังคุยกัน เมื่ออวิ๋นจือชิวชวนคุยเมื่อไร ก็ย่อมชวนผู้หญิงที่อยู่ข้างกายผู้หญิงคนนั้นคุยด้วย ถามประมาณว่าเป็นคนที่ไหน

เมื่ออีกฝ่ายบอกว่ามาจากที่ไหน อวิ๋นจือชิวก็จะเอียงหน้าเล็กน้อย พวกช่างไม้ที่อยู่ข้างหลังนางก็จะเตือนว่าอวิ๋นจือชิวเคยไปทำอะไรที่นั่น อวิ๋นจือชิวก็จะเข้าใจทันที จึงมีประเด็นสนทนาเพิ่มขึ้นอีก

มีการอุ่นบรรยากาศกับผู้หญิงคนก่อนหน้านี้แล้ว พวกนางก็พบว่าอวิ๋นจือชิวไม่ได้คบยาก ผู้หญิงคนอื่นก็ผ่อนคลายขึ้นแล้วไม่น้อยเช่นกัน เปิดประเด็นสนทนาได้ง่ายมาก

เฟยหงรู้ว่าหลายปีมานี้อวิ๋นจือชิวไปเยี่ยมเยียนสถานที่ต่างๆ มาไม่น้อยเลย แต่นางไม่เชื่อว่าจะจำสถานที่ทั้งหมดได้ แต่อวิ๋นจือชิวก็ทำเหมือนเคยไปมาจริงๆ มีพวกช่างไม้ที่อยู่ข้างหลังให้ความร่วมมือ พออวิ๋นจือชิวส่งสายตาให้ ทำสีหน้าใส่ พวกช่างไม้ก็จะตอบรับอย่างเหมาะสม สร้างความปรองดองได้อย่างแนบเนียนไร้รอยต่อ

เฟยหงก็เคยคิดเพ้อฝันเหมือนกัน ว่าถ้าตัวเองได้กลายเป็นฮูหยินเอกบ้างจะเป็นอย่างไร แต่ครั้งนี้พอเดินวนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนไปทั่ว หลังจากได้ประสบการณ์ครั้งนี้ ก็รู้สึกละอายที่ตัวเองเทียบไม่ติด พบว่าอวิ๋นจือชิวเข้าสังคมเก่งเกินไป คุยกับใครก็คุยได้หมด บางทีก็ตรงไปตรงมา บางทีก็อ่อนโยนเข้าถึงง่าย รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาได้อย่างราบรื่น ไปกลับดูไม่เหมือนเสแสร้งเลยสักนิด ของแบบนี้ไทยวานางอยากจะเรียนรู้แล้วก็เรียนรู้ได้ อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ คิดว่าสมแล้วที่อีกฝ่ายเป็นฮูหยิน ส่วนตัวเองเป็นอนุภรรยา

พวกเสวี่ยหลิงหลงแอบนับถือ แอบรู้สึกหนาวในใจด้วย รู้สึกได้อย่างแจ่มแจ้งว่าฮูหยินคนนี้เป็นตัวละครที่หลอกลวงไม่ได้ง่ายๆ

โดยเฉพาะเสวี่ยหลิงหลง ปกติเวลาอยู่กับอวิ๋นจือชิวรู้สึกว่าอ่อนโยนมาก แต่นางรู้สึกได้ว่าสามีสวีถังหรานรู้สึกกลัวหนิวฮูหยิน สวีถังหรานมักจะบอกว่าหนิวฮูหยินเป็นบุคคลที่ไปหลอกลวงไม่ได้ง่ายๆ ก่อนหน้านี้นางไม่รู้สึกอย่างนี้ แต่ครั้งนี้นับว่ารู้สึกได้แล้ว

เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ผู้หญิงกลุ่มนี้เคารพยำเกรงอวิ๋นจือชิวมากขึ้นเรื่อยๆ

ทางนี้อวิ๋นจือชิวกำลังเดินสายทักทายไปทั่ว เหยียนซิวที่ไปถึงพิภพเล็กตั้งนานแล้วกำลังรอที่ตำหนักดาวกลางเงียบๆ กำลังยืนหลับตาอยู่กลางตำหนักอันกว้างโล่งที่จูเก๋อชิงเคยอาศัยตอนมีชีวิตอยู่ ยืนนิ่งราวกับเป็นรูปปั้น

เขาไปเยี่ยมคารวะฉินเวยเวยก่อน จากนั้นถึงได้มาที่ตำหนักดาวกลาง กำลังรอให้ทหารยามของตำหนักดาวกลางที่แยกย้ายกันไปแล้วมารวมตัวกันใหม่อีกครั้ง สาเหตุที่ไปเยี่ยมคารวะฉินเวยเวยก่อนก็เพราะเหตุผลนี้ ต้องการให้ฉินเวยเวยออกคำสั่งเรียกรวมคนให้กลับมา

สาเหตุที่เหยียนซิวทำอย่างนี้ อย่าว่าแต่ฉินซีเลย แม้แต่ฉินเวยเวยเองก็สัมผัสได้ แม้เหยียนซิวจะบอกว่ามาถามสถานการณ์ก่อนตายของจูเก๋อชิง แต่เดาว่าคงมีความเป็นไปได้สูง ว่าจะมาสืบหาสาเหตุการตายของจูเก๋อชิง

ฉินซีกังวลเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะใช้ระฆังดาราติดต่อหยางชิ่ง กังวลว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง หยางชิ่งกำลังเดินไปเดินมาอยู่ในตึกศาลาของตำหนักปราชญ์ เขาย่อมตระหนักได้ถึงความผิดปกติ เขาแทบจะตัดสินได้ทันทีว่าผู้บงการเบื้องหลังคืออวิ๋นจือชิว คงจะเป็นอวิ๋นจือชิวที่รู้เรื่องแล้วส่งเหยียนซิวไป ตอนนี้เหมียวอี้มีงานใหญ่รัดตัวอยู่เป็นกอง ไม่มีเวลามาสนใจด้านนี้เลย ไม่อย่างนั้นคงไม่ประทานความตายให้จูเก๋อชิงยังไม่ลังเลแบบนั้น น่าจะเป็นอวิ๋นจือชิวที่ได้กลิ่นอะไรบางอย่าง ผู้หญิงคนนี้รู้จักเหมียวอี้ดีเกินไป

หลังจากครุ่นคิดให้ละเอียด ก็เขย่าระฆังดาราปลอบใจฉินซี : เจ้าคิดมากไปแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรหรอก ขอเพียงตอนที่ฟางเหลียวรายงานตามปกติไม่ได้เอ่ยถึงเจ้า ก็จะไม่มีเรื่องอะไรหรอก เป็นไปไม่ได้ที่เหยียนซิวจะสอบสวนอย่างเข้มงวด ไม่อย่างนั้นจะถือว่าไม่เชื่อใจเวยเวย จงใจหาเรื่องสงสัยในตัวเวยเวย แบบนี้จะทำให้เหมียวอี้ไม่พอใจ อวิ๋นจือชิวก็ไม่มีทางให้เหยียนซิวทำอย่างนี้เช่นกัน จะบอกเรื่องพวกนี้ให้ฟางเหลียวดูด้วย ให้เขามีข้อมูลอยู่ในใจ เขาจะได้ยืนกรานว่าเป็นการรายงานตามปกติ ในใจเขาก็รู้แจ้งเช่นกัน ว่าถ้ากล้าพูดซี้ซั้ว ก็จะตายสถานเดียว

ไม่ได้ยินเขาบอกแบบนี้ ฉินซีก็มีความมั่นใจแล้ว รู้แล้วว่าควรทำอย่างไร

นอกตำหนักดาวกลาง คนกลุ่มหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้า หลี่โม่จิน ลูกศิษย์ของเฟิงเป่ยเฉินนำคนของสำนักงามวิจิตรคุมคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา เป็นทหารยามชุดเดิมของตำหนักประมุขดาวกลางนั่นเอง

คนรออยู่นอกตำหนักแล้ว มีเพียงหลี่โม่จินที่เข้ามาในตำหนักใหญ่คนเดียว พูดตามตรง ที่จริงหลี่โม่จินไม่อยากเจอเหยียนซิวเลย รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว แต่ในเมื่อถูกเรียกแล้วก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงมาพบสักครั้ง

พอเข้ามาในตำหนัก ก็เห็นเหยียนซิวจ้องตนอย่างเย็นเยียบ หลี่โม่จินจึงใช้สองมือมอบแผ่นหยกให้ รายงานว่า “นายท่านเหยียนซิว ตรวจสอบมาแล้ว ทหารยามชุดเดิมของตำหนักดาวกลางมาแล้ว แปดสิบแปดคน ไม่ขาดไปสักคนขอรับ”

เหยียนซิวขยุ้มนิ้วทั้งห้าดูดแผ่นหยกมาไว้ในมือ

รอจนกระทั่งเหยียนซิวอ่านเสร็จแล้วไงเงยหน้าช้าๆ หลี่โม่จินก็กุมหมัดคารวะอีก “นายท่านเหยียนซิวยังมีอะไรจะกำชับอีกหรือไม่ขอรับ?”

“พวกเจ้ารออยู่นอกตำหนัก ให้ทหารยามเข้ามา” เหยียนซิวกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“รับทราบ!” หลี่โม่จินเอ่ยรับแล้วเดินออกไป พอเดินไปถึงด้านนอก ก็ให้ฟางเหลียวนำคนเข้าไป ส่วนเขาก็นำลูกศิษย์สำนักงามวิจิตรออกจากตำหนัก

พอคนแปดสิบกว่าคนเข้าไปในตำหนัก ก็ทำให้ตำหนักใหญ่อันกว้างโล่งมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย เพียงแต่พวกฟางเหลียวพอเห็นท่าทางของเหยียนซิวแล้วพากันตกใจ เดิมทีเหยียนซิวเป็นผู้รับผิดชอบพวกเขา เพียงแต่ตอนหลังส่งต่อให้หยางเจาชิง ดังนั้นทั้งหมดจึงรู้จักเหยียนซิว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าพอไม่ได้เจอกับเหยียนซิวหลายปี สภาพจะเปลี่ยนกลายเป็นเหมือนผีไปแล้ว ใบหน้าที่เหมือนคนตายนั้นทำให้คนไม่กล้าสรรเสริญจริงๆ

เหยียนซิวใช้สายตามองสำรวจกลุ่มคน ยืนยันว่าเป็นกลุ่มคนในปีนั้นจริงๆ

“คารวะนายท่านเหยียนซิว” กลุ่มทหารยามทำความเคารพ

เหยียนซิวไม่พูดอะไรมาก ช่วยโอกาสตอนพวกเขาก้มหน้า โบก ‘ธงเรียกวิญญาณ’ ให้ลอยขึ้นมาวนด้านบนของตำหนักใหญ่

ทุกคนรู้สึกได้ว่าบนหัวมีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ พอเงยหน้ามอง ก็เห็นแสงสีดำผืนหนึ่งครอบพวกเขาเอาไว้แล้ว

ชั่วพริบตาเดียว ทหารยามกลุ่มนี้ก็ตกอยู่ในสภาวะเลอะเลือน  แต่ละคนมองเหยียนซิวด้วยสายตาเหม่อลอย เหมือนคนที่วิญญาณหลุดลอยไปแล้ว

ธงเรียกวิญญาณตกลง เหยียนซิวปักด้ามธงไว้ที่พื้น มองปฏิกิริยาทุกคนอย่างละเอียด ถามด้วยเสียงแหบน่าสะพรึงกลัวว่า “ก่อนจูเก๋อชิงตายมีอะไรผิดปกติ?”

กลุ่มทหารยามตอบอย่างเหม่อลอยว่า “ไม่มี…มี…” ท่ามกลางคำตอบว่า ‘ไม่มี แซมด้วยเสียง ‘มี’ จึงดึงดูดสายตาของเหยียนซิวให้จ้องไปทันที เขาก็คือฟางเหลียวพี่อยู่ตรงหน้านี้เอง

เหยียนซิวแววตาวูบไหว ฟางเหลียวเดินเข้ามาช้าๆ มายืนอยู่ตรงหน้าเขา

เหยียนซิวจ้องตาเขา “มีอะไรผิดปกติ?”

ฟางเหลียวตอบอย่างแข็งทื่อไร้น้ำเสียง “ก่อนจูเก๋อชิงตาย หยางฮูหยินมาหาข้า ให้ข้ารายงานนายท่านหยาง บอกว่าจูเก๋อชิงปีนขึ้นไปร้องเพลงบนหลังคา หยางฮูหยินกำชับว่าตอนรายงานให้เพิ่มคำว่า ‘ปีนขึ้นหลังคา’ ตอนหลังจูเก๋อชิงก็ถูกท่านปราชญ์ประทานความตายแล้ว ข้ารู้สึกว่ามีเงื่อนงำ”

เหยียนซิวหรี่ตาอีก “หยางฮูหยินคนไหนมาพบเจ้า แล้วเจ้ารายงานขึ้นไปหานายท่านหยางคนไหน?” เพราะลูกน้องของเหมียวอี้มีหยางฮูหยินสองคนและมีนายท่านหยางสองคน

“ฉินซี หยางเจาชิง!” ฟางเหลียวตอบ

“พวกเจ้าอยู่ในสังกัดโดยตรงของหยางเจาชิง ทำไมเจ้าถึงฟังคำสั่งฉินซี?” เหยียนซิวถาม

“อยู่ที่นี่ไม่มีอนาคต ฉินซีมาหาข้าตั้งนานแล้ว รับปากว่าจะให้อนาคตกับข้า…” ฟางเหลียวเล่าเรื่องที่ตัวเองถูกฉินซีดึงเป็นพวกให้ฟัง แต่ก็ไม่ได้พาดพิงถึงหยางชิ่งเลยสักนิด

เหยียนซิวตกตะลึงในใจ ต่อให้เขาจะไม่ฉลาด แต่ก็รู้สึกได้ว่าเรื่องนี้มีเงาของหยางชิ่งอยู่เบื้องหลัง จึงซักไซ้ฟางเหลียวต่อทันที ว่าทำไมฉินซีต้องให้เขารายงานอย่างนั้น ทว่าฟางเหลียวเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพราะฉินซีบอกเขาแค่เท่านี้ ไม่ได้บอกอะไรมากกว่านี้ แต่เวลาตอนเกิดเรื่องก็ทำให้เขารู้สึกได้รางๆ แล้วว่าคำสั่งของฉินซีเกี่ยวข้องกับการตายของจูเก๋อชิง

……………