บทที่ 597.2 มีคนจะถามหมัดเฉินผิงอัน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เจ้าของเรือนชุนฟานปรากฏตัวมารับรองฉีจิ่งหลงด้วยตัวเองอย่างที่หาได้ยาก

หลูสุ้ยช่วยชงชาให้เซียนกระบี่สองท่านที่อายุต่างกันมากอยู่ด้านข้าง เด็กหนุ่มป๋ายโส่วรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย

ไม่รู้ว่าเหตุใด ป๋ายโส่วไม่ค่อยมีความเคารพยำเกรงต่อสำนักกระบี่ไท่ฮุยมากนัก กับคนแซ่หลิวเขาก็ยิ่งไม่เกรงกลัว แต่คราวก่อนหลังจากที่ได้พบกับหวงถงเซียนกระบี่ผู้เป็นบรรพจารย์คุมกฎ ป๋ายโส่วกลับเริ่มตระหนกลนขึ้นมา

อันที่จริงเดินทางไกลมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งนี้ ต้องไปพบเจ้าสำนักอย่างหานไหวจื่อ นี่ทำให้ป๋ายโส่วยิ่งกลัวมากกว่าเดิม

เวลานี้ได้พบกับเส้าอวิ๋นเหยียนแห่งเรือนชุนฟานที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับอาจารย์ตัวเอง ป๋ายโส่วก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นกัน

ถึงอย่างไรก็เป็นเซียนกระบี่ในตำนานเชียวนะ

คือบุคคลยิ่งใหญ่ที่สามารถยืนอยู่บนยอดเขาของอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆได้

ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดอาจารย์ตนก็เป็นเซียนกระบี่เหมือนกัน แต่อยู่ด้วยกันทุกวัน เรียกอีกฝ่ายคนแซ่หลิวคำแล้วคำเล่า ป๋ายโส่วกลับเรียกได้อย่างคล่องปาก ไม่เคยตระหนกตกใจเช่นนี้มาก่อน เด็กหนุ่มกลับไม่เคยคิดให้ลึกซึ้ง

เพียงแต่พอมองอาจารย์ที่อยู่ตรงหน้า ตอนที่เขาอยู่กับผู้ฝึกตนตัวเล็กๆ ของเกาะกุ้ยฮวาอย่างจินซู่เป็นอย่างไร ยามมาอยู่ต่อหน้าเซียนกระบี่เจ้าของเรือนชุนฟานก็ดูเหมือนว่าจะยังคงเป็นอย่างนั้น

มือทั้งสองรับชาถ้วยหนึ่งมาจากมือของหลูสุ้ยด้วยรอยยิ้ม ป๋ายโส่วก้มหน้าดื่มชา จิตใจก็ค่อยๆ สงบลง

ฉีจิ่งหลงพูดถึงการจองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่

เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มพยักหน้าตอบตกลง แล้วยังตั้งราคาที่เป็นธรรมอย่างยิ่งด้วย

ฉีจิ่งหลงเอ่ยขอบคุณ

ป๋ายโส่วได้ยินตัวเลขก่อนจะตามมาด้วยคำว่าเงินฝนธัญพืช หน้าผากก็มีเหงื่อผุดออกมาแล้ว

เส้าอวิ๋นเหยียนเอ่ยว่า “นอกจากเป็นการค้าขายกันครั้งหนึ่งแล้ว สำนักกระบี่ไท่ฮุยก็ไม่ถือว่าติดหนี้บุญคุณใดๆ เพียงแต่สหายฉีกลับติดค้างน้ำใจข้าครั้งหนึ่ง บอกตามตรงว่า สมมติน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สิบสี่ลูก สุดท้ายสามารถหลอมเป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ได้สำเร็จเจ็ดลูก ภายในเวลาพันปีนี้ล้วนมีการจองไว้ล่วงหน้าทั้งหมด ห้ามเปลี่ยนใจเด็ดขาด เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้มีคนหนึ่งที่ไม่สามารถซื้อได้ตามสัญญา สหายฉีถึงมีโอกาสได้เปิดปาก แล้วข้าถึงได้กล้าพยักหน้าตอบตกลง ภายในหนึ่งพันปี การคืนน้ำใจก็แค่ต้องออกกระบี่หนึ่งครั้ง อีกทั้งสหายฉีก็สามารถวางใจได้ว่า การออกกระบี่ของเจ้าย่อมต้องเป็นฝ่ายที่มีเหตุผล จะไม่ทำให้สหายฉีต้องลำบากใจเด็ดขาด”

ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ตกลง”

จากนั้นฉีจิ่งหลงก็เอ่ยอย่างลังเลว่า “หากมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เกินเจ็ดลูก ข้าสามารถจองอีกลูกได้หรือไม่?”

เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “คงได้แต่มอบให้ผู้ที่ให้ราคาสูงที่สุดแล้ว ข้าเชื่อว่าคงยากที่สหายฉีจะสมใจปรารถนา”

ยังมีความจริงบางอย่างที่เส้าอวิ๋นเหยียนไม่ได้เอ่ยออกมาตามตรง ต่อให้มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เพิ่มอีกลูกให้ได้จองกันจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าใครจะซื้อไปก็ได้ การที่ฉีจิ่งหลงได้จองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนี้ เหตุผลมีอยู่สามข้อ เรือนชุนฟานและเขาเส้าอวิ๋นเหยียนต่างก็เห็นดีในผลสำเร็จในอนาคตของฉีจิ่งหลงที่ทุกวันนี้เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบแล้ว ข้อที่สอง มีความเป็นไปได้อย่างสูงที่สุดว่าฉีจิ่งหลงจะได้เป็นเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยคนถัดไป ข้อสาม เส้าอวิ๋นเหยียนเองก็มีชาติกำเนิดมาจากอุตรกุรุทวีป นี่ก็ถือเป็นสัมพันธ์ควันธูปที่จะมีหรือไม่มีก็ได้อย่างหนึ่ง

การที่เขาไม่ต้องเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ให้มากความก็เป็นเพราะในใจของเจียวหลงบนบกที่อายุน้อยผู้นี้ย่อมเข้าใจดี

ฉีจิ่งหลงกล่าว “เป็นผู้น้อยที่คิดมากไปจริงๆ”

เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “ได้พึ่งใบบุญของสหายฉี ข้าถึงได้ดื่มชาฝีมือแม่หนูหลู”

หลูสุ้ยคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่เจ้าสำนักภูเขาสุ่ยจิงให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุด

และคนผู้เดียวที่เส้าอวิ๋นเหยียนติดค้างในชีวิตนี้ ก็คืออาจารย์ของหลูสุ้ย

ปีนั้นเถาวัลย์น้ำเต้าสมบัติล้ำค่าก่อนกำเนิดต้นที่อยู่ในเรือนชุนฟาน เป็นคนทั้งสองที่ได้มาครอบครองพร้อมกันด้วยวาสนาที่ประจวบเหมาะ ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่านางเป็นคนออกแรงมากกว่า แต่สุดท้ายด้วยเหตุผลนานาประการ คนทั้งสองกลับไม่อาจเดินไปด้วยกัน กลายเป็นคู่รักเทพเซียนได้ สำหรับเรื่องที่ว่าสุดท้ายแล้วเถาวัลย์น้ำเต้าต้องตกเป็นของใคร นางไม่เคยเปลี่ยนความคิดมาก่อน ยิ่งนางเป็นเช่นนี้ เส้าอวิ๋นเหยียนก็ยิ่งไม่สบายใจ เป็นเหตุให้เส้าอวิ๋นเหยียนที่ไร้บุตรหลานมองหลูสุ้ยลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของนางเป็นดั่งบุตรสาวแท้ๆ ของตัวเอง นอกจากนี้หลูสุ้ยที่รักมั่นในตัวฉีจิ่งหลง ไยจะไม่เหมือนกับเส้าอวิ๋นเหยียนและอาจารย์ของหลูสุ้ยในปีนั้นเล่า?

ป๋ายโส่วรู้สึกอึดอัดนิดๆ เหตุใดเซียนกระบี่เส้าผู้นี้ถึงได้ไม่ต่างจากเฉินผิงอันสักเท่าไรเลย คนหนึ่งเรียกฉีจิ่งหลง คนหนึ่งเรียกสหายฉี

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ป๋ายโส่วเคยได้ยินข่าวลือเล็กๆ บางอย่างมาจากยอดเขาเพียนหราน ดูเหมือนว่าแรกเริ่มสุด แซ่เดิมของคนแซ่หลิวตอนอยู่ล่างภูเขาคือแซ่ฉี ภายหลังขึ้นมาฝึกตนบนภูเขา ได้รับการบันทึกชื่อไว้ในศาลบรรพจารย์ แต่กลับเขียนเป็นชื่อหลิวจิ่งหลง

เส้าอวิ๋นเหยียนดื่มชาไปแล้ว พูดคุยเรื่องน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เรียบร้อยแล้วก็รีบขอตัวลาจากไป

หลูสุ้ยยังคงอยู่ต่อเพื่อต้มชาให้

ป๋ายโส่วมองฝีมือการชงชาของพี่สาวเทพเซียนคนนี้แล้วก็ให้รู้สึกสบายตาสบายใจนัก

หลูสุ้ยยิ้มบางๆ ถามว่า “จิ่งหลง มองเรื่องวงในบางอย่างของภูเขาห้อยหัวออกหรือไม่?”

ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “สถานที่ท่องเที่ยวแปดแห่งซึ่งมีศาลาจัวฟ่าง เรือนซือเตาเป็นหนึ่งในนั้น คือตาค่ายกลแปดจุดของค่ายกลใหญ่ ภูเขาห้อยหัวไม่ได้เป็นเพียงแค่เป็นตราประทับตัวอักษรภูเขาเท่านั้น แต่เป็นอาวุธเซียนที่ผ่านการหล่อหลอมชั้นแล้วชั้นเล่าจนได้ทั้งโจมตีและป้องกันมานานมากแล้ว ส่วนต้นกำเนิดของค่ายกลก็น่าจะมาจากหนึ่งในสามอาคมใหญ่ที่เก่าแก่ซึ่งท่านซานซานจิ่วโหวทิ้งเอาไว้ ความลี้ลับที่ใหญ่ที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าใช้ภูเขามาหลอมน้ำ พลิกกลับจักรวาล หากเรียกออกมาก็จะเป็นวิชาอภินิหารที่สามารถพลิกตลบฟ้าดินได้”

หลูสุ้ยมีสีหน้าสดใส ต่อให้นางจะแค่มองคนแซ่หลิวแค่แวบเดียวแล้วก็ก้มหน้าจ้องไฟในเตาต่อ แต่กระนั้นก็ยังยากจะปิดบังความคิดของสตรีที่วกวนร้อยพันตลบของนางเอาไว้ได้

ทว่าความคิดของฉีจิ่งหลงกลับจมจ่อมอยู่กับค่ายกลใหญ่ของภูเขาห้อยหัว

ป๋ายโส่วที่มองดูอยู่นึกอยากจะทุบหัวทึ่มๆ ของคนแซ่หลิวยิ่งนัก

ดูเหมือนหลูสุ้ยจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “อาจารย์ของข้าเป็นเพื่อนสนิทของเซียนกระบี่ลี่ สามารถไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่พร้อมกับเจ้าได้พอดี คนที่เดินทางมาท่องเที่ยวภูเขาห้อยหัวพร้อมกับข้ายังมีแม่หนูหลงชงคนนั้น จิ่งหลง เจ้าน่าจะเคยเห็นนางมาก่อน ครั้งนี้ข้าเดินทางมาที่ภูเขาห้อยหัวก็เพราะมาเป็นเพื่อนนาง”

ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ

ดูเหมือนจะรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีแล้ว

ป๋ายโส่วที่มองดูอยู่ด้านข้างรู้สึกเหนื่อยใจยิ่งนัก ต้องดื่มชาระงับความอัดอั้นในอก เหตุใดเทพธิดาหลูถึงต้องมาภูเขาห้อยหัว เหตุใดต้องไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ เจ้าช่วยฉลาดหน่อยได้หรือไม่!

ยังจะพยักหน้า พยักหน้ากับท่านปู่เจ้าน่ะสิ!

เรื่องแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเขาป๋ายโส่วเข้าข้างคนอื่น แต่พี่น้องเฉินของข้าคนนั้นทิ้งห่างจากเจ้าคนแซ่หลิวไปไกลเป็นสิบแปดเส้นถนนใหญ่เลยจริงๆ!

ช่างเถิด รอให้เจอกับเฉินผิงอันก่อนค่อยว่ากัน

ถึงเวลานั้นเขานายท่านใหญ่ป๋ายโส่วจะยอมฝืนทนขอร้องให้พี่น้องเฉินผิงอันคนดีช่วยถ่ายทอดวิชาให้เจ้าสามส่วนห้าส่วนก็แล้วกัน

หลูสุ้ยกลับเคยชินเสียแล้ว ตอนที่เติมน้ำชาให้ฉีจิ่งหลงก็เอ่ยเบาๆ ว่า “ได้ยินว่าทางฝั่งของตำหนักสุ่ยจิงมีผู้ฝึกยุทธที่มีพรสวรรค์คนหนึ่งมาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ใช้ขอบเขตร่างทองขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดฝ่าทะลุคอขวดอยู่ที่ทวีปเกราะทอง ได้รับคำแนะนำจากเฉาสือไปไม่น้อย ครั้งนี้เดินทางมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ สตรีผู้นั้นต้องการไปที่หัวกำแพงเมืองเพื่อเลียนแบบเฉาสือที่เคยไปฝึกหมัดอยู่ที่นั่นหลายปี”

ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ามีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่ตอนนี้ก็ฝึกหมัดอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่พอดี ไม่แน่ว่าทั้งสองฝ่ายอาจได้เจอกัน”

ทุกวันนี้พอป๋ายโส่วได้ยินคำว่าผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ทั้งยังเป็นสตรีคนหนึ่ง ก็อดรู้สึกกระวนกระวายใจไม่ได้

หลูสุ้ยถามอย่างใคร่รู้ “คือเฉินผิงอันจากแจกันสมบัติทวีปผู้นั้นหรือ?”

คราวก่อนตอนที่อยู่ศาลซานหลาง ฉีจิ่งหลงเคยพูดถึงชื่อนี้ ดูเหมือนว่าก็เพื่อเฉินผิงอันผู้นี้ ก่อนที่ฉีจิ่งหลงจะเจอกับการถามกระบี่สามครั้งถึงได้แล่นไปซื้อของถึงที่ภูเขาชังกระบี่และศาลซานหลาง ดังนั้นหลูสุ้ยจึงจำคนผู้นี้ได้อย่างแม่นยำ

ฉีจิ่งหลงยิ้มพยักหน้ารับ

หลูสุ้ยยิ้มกล่าว “ข้าเริ่มสงสัยใคร่รู้ในตัวเฉินผิงอันผู้นี้แล้ว ไม่นึกว่าเขาจะทำให้จิ่งหลงมองเขาแตกต่างไปจากคนอื่นได้ถึงเพียงนี้”

ฉีจิ่งหลงยังคงไม่เอ่ยอะไร

ป๋ายโส่วอดไม่ไหวเอ่ยว่า “พี่หญิงหลู พี่น้องคนดีของข้าคนนั้นไม่มีข้อดีอะไรหรอก ก็มีแค่ความสามารถในการยุคนให้ดื่มเหล้าที่เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า!”

ฉีจิ่งหลงหันหน้ามายิ้มบางๆ มองป๋ายโส่ว

เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวท่าทางเที่ยงตรง “แต่พอเหล้าเข้าปาก เฉินผิงอันผู้นี้ก็มีสภาพไม่น่าดูเท่าไร! มีพี่น้องที่เป็นเช่นนี้ ข้ารู้สึกอับอายยิ่งนัก!”

หลูสุ้ยไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เหตุใดฉีจิ่งหลงถึงได้หาลูกศิษย์ที่ไม่ยี่หระสิ่งใดแบบนี้มาได้นะ

……

บนหัวกำแพง

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยกำลังถ่ายทอดวิชากระบี่ให้กับพวกหลินจวินปี้ เหยียนลวี่ สิ่งที่ขู่เซี่ยถ่ายทอดให้ก็คือวิชากระบี่วิชาหนึ่งที่กำแพงเมืองปราณกระบี่อนุญาตให้คนนอกเล่าเรียนได้

ทุกคนนั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง เงี่ยหูตั้งใจฟังคำชี้แนะจากเซียนกระบี่ขู่เซี่ย

ขู่เซี่ยอธิบายความหมายคร่าวๆ ของคาถาวิชากระบี่บทนี้ก่อน จากนั้นค่อยไล่อธิบายวิชาที่ต่อเนื่องเป็นชุดอย่างการโคจร การชักนำ และการขานรับต่อปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญ เขาอธิบายได้ละเอียดอย่างมาก จากนั้นก็ให้ทุกคนถามถึงจุดที่ตัวเองไม่เข้าใจ หรือไม่ก็เสนอความคิดถึงสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเป็นปมปัญหาจุดสำคัญ ส่วนใหญ่แล้วขู่เซี่ยจะให้หลินจวินปี้ที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยม มีสติปัญญาฉลาดหลักแหลมที่สุดเป็นผู้ช่วยไขข้อข้องใจให้แทน หากมีจุดไหนที่หลินจวินปี้อธิบายได้ไม่ครอบคลุมมากพอ ขู่เซี่ยถึงจะช่วยพูดเสริมให้ ชดเชยในส่วนที่ขาดไป

ความประหลาดของวิชากระบี่ชั้นสูงนี้อยู่ที่ว่า มีเพียงอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กที่ปราณกระบี่เปี่ยมล้นอย่างกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้เท่านั้นถึงจะแสดงให้เห็นประสิทธิผลที่เด่นชัด ไปถึงใต้หล้าไพศาลก็พอจะร่ายใช้ได้ เพียงแต่ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะน้อยนิดมาก สำหรับผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่มีโอกาสได้สัมผัสกับเวทกระบี่บทนี้ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกศิษย์ในสำนักที่ไม่ขาดเวทกระบี่ชั้นสูงแล้ว เวทกระบี่บทนี้จึงมีความหมายไม่มากนัก พูดง่ายๆ ก็คือเวทกระบี่วิชานี้พิถีพิถันในคำว่าฟ้าอำนวยดินอวยพรเกินไป คิดจะหาผลประโยชน์ให้แก่วิถีกระบี่และจิตวิญญาณ ต่อให้เป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่แบกโชคชะตาแห่งแคว้นเอาไว้อย่างหลินจวินปี้ ก็ยังคงได้แค่อาศัยการขัดเกลาทีละน้อยดุจน้ำหยดลงหินอยู่บนหัวกำแพงเมือง ตบะถึงจะมีการพัฒนาไปได้บ้าง

อันที่จริงในใจของขู่เซี่ยค่อนข้างจะเป็นกังวล เพราะคนที่ถ่ายทอดวิชากระบี่นี้ เดิมทีควรเป็นเซียนกระบี่ในท้องถิ่นอย่างซุนจวี้เฉวียน แต่ความประทับใจที่ซุนจวี้เฉวียนมีต่อเสาคานในอนาคตของราชวงศ์เส้าหยวนกลุ่มนี้ย่ำแย่เกินไป ถึงขั้นทิ้งภาระหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง ปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ขู่เซี่ยเองก็เป็นพวกดึงดัน ทีแรกไม่ยอมที่จะถอยไปเลือกลำดับรองอย่างการถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตัวเอง แต่ภายหลังซุนจวี้เฉวียนถูกตอแยจนรำคาญใจ ถึงได้พูดกับขู่เซี่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า หากราชวงศ์เส้าหยวนยังอยากจะพาคนมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่และยังคงได้มาพักในจวนซุนอีก ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้ก็อย่าทำให้เขาซุนจวี้เฉวียนต้องลำบากใจเกินไปนัก

ขู่เซี่ยมองเจี่ยงกวนเฉิงลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตนแล้วก็ทอดถอนใจอยู่ในใจไม่หยุด

ทั้งกังวลกับนิสัยตรงไปตรงมาของลูกศิษย์คนนี้ แล้วก็รู้สึกว่าผู้ฝึกกระบี่เรียนวิชากระบี่และการวางตัวเป็นคนในสังคม ไม่จำเป็นต้องให้เหมือนหลินจวินปี้มากเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อเทียบกับพวกเด็กหนุ่มเด็กสาวบางคนข้างกายเจี่ยงกวนเฉิงที่ใจแคบดุจไส้ไก่และเต็มไปด้วยกลอุบายแล้ว ขู่เซี่ยก็ยังมองลูกศิษย์ของตัวเองแล้วสบายตามากกว่า การที่ขู่เซี่ยเลือกเจี่ยงกวนเฉิงเป็นลูกศิษย์ แน่นอนว่าย่อมมีเหตุผล มหามรรคาคล้ายคลึงกันก็คือเงื่อนไขแรก เพียงแต่ว่าเส้นทางการเดินสู่ที่สูงของเจี่ยงกวนเฉิงจำเป็นต้องขัดเกลาอีกมาก

ต่อให้หลินจวินปี้จะเพียงแค่นั่งอยู่บนเบาะ มือทั้งสองแบวางทับกันไว้ตรงหน้าท้อง แย้มยิ้มพูดคุยอย่างผ่อนคลาย แต่ก็ยังมีมาดของเจ๋อเซียนบนภูเขาที่พบเห็นได้ยาก

เหยียนลวี่คอยเลียนแบบหลินจวินปี้มาโดยตลอด อีกทั้งยังตั้งใจอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างการรับรองผู้คน หรือเรื่องใหญ่ยิ่งกว่าอย่างการวางตัวอยู่ในสังคม เหยียนลวี่ก็ยังรู้สึกว่าแม้หลินจวินปี้จะอายุน้อย แต่กลับคู่ควรให้ตนลองเอาข้อดีของเขามาปรับใช้

เมื่อก่อนเหยียนลวี่มองคนเรียบง่ายมาก เพียงแค่แบ่งพวกเขาออกเป็นคนโง่และคนฉลาด ส่วนดีหรือเลวนั้น เขาไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย คนที่ข้าเอามาใช้ประโยชน์ได้ก็ถือเป็นสหาย คนที่ข้าเอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้ อย่างมากสุดก็เป็นได้แค่คนแปลกหน้าที่ตัวเองพูดคุยไปด้วยตามมารยาทเท่านั้น

ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ที่เดินทางมาร่วมกันครั้งนี้ อันที่จริงไม่มีคนโง่ แค่แบ่งเป็นคนที่ฉลาดมากพอกับฉลาดไม่มากพอเท่านั้น

คนที่ฉลาดไม่มากพอก็เหมือนเจี่ยงกวนเฉิงลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเซียนกระบี่ขู่เซี่ย และยังมีเด็กสาวโง่เขลาที่หลงรักหลินจวินปี้คนนั้น

คนที่ฉลาดมากพอ ก็เหมือนอย่าง ‘คนโง่’ ที่ตอนนั้นพูดจาผดุงความเป็นธรรมให้แก่หลินจวินปี้ มองดูเหมือนพลิกขาวกลับดำ จริงเท็จปะปนกันส่งเดช แต่คิดจริงๆ หรือว่าคนกลุ่มนี้ไม่รู้จักหนักเบา ไม่รู้ผลดีผลเสีย? ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่พวกเขาต้องการคืออะไร? ก็แค่อยากจะพูดจาสวยหรูที่ได้ผลลัพธ์คุ้มค่าแต่ไม่ต้องเปลืองแรงกับหลินจวินปี้เท่านั้น ส่วนลึกในใจ ไม่แน่อาจหวังให้หลินจวินปี้ไม่ทันระวัง เป็นเด็กหนุ่มที่เลือดร้อนกำเริบเสิบสาน ถูกผู้คนพากันวิพากษ์วิจารณ์ในทางเสียหาย หากหลินจวินปี้ทำอะไรไปโดยอารมณ์ ดึงดันว่าไม่ตายไม่ยอมเลิกรากับเฉินผิงอันย่อมดีที่สุด ต่อให้ถอยไปพูดหนึ่งก้าว สุดท้ายทั้งสองฝ่ายฉีกหน้าแตกหักกันอย่างสิ้นเชิง แต่ผลกลับกลายเป็นว่ามังกรผู้แข็งแกร่งมิอาจข่มงูเจ้าที่ได้ ไปชนตอจากฝั่งของฉินผิงอันเข้า แล้วจิตแห่งเต๋าของหลินจวินปี้ได้รับความเสียหาย ก็ถือเป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวเช่นกัน