และในเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีก้อนเมฆสีทองก้อนหนึ่งลอยตรงมาจากด้านหน้า ค้อนใหญ่ที่เปล่งประกายด้วยแสงสีทองระยิบระยับบินตรงออกมาจากก้อนเมฆ พุ่งตรงมายังพวกหลัวซิว

“จูเฟยเฉียว!”

ความรู้สึกบนใบหน้าที่เรียวบางของถังหยุนเปลี่ยนไป ค้อนยักษ์ทองเต้านี้คืออัญมณีแห่งเทพมาร ก่อนหน้านี้นางเคยเห็นไอ้อ้วนจูเฟยเฉียวนั่นใช้มาก่อน

ร่างมังกรของจินเฟยเทียนที่อยู่ใต้เท้าหลัวซิวก็สั่นเทาไปด้วยเช่นกัน เมื่อก่อนตอนที่มันถูกจูเฟยเฉียวกำราบ พูดได้เลยว่ามันโดนทุกข์ทรมานอย่างสาหัสมาก จนถึงทุกวันนี้มันยังมีปมติดค้างอยู่ในใจเล็กน้อย

“เป็นแค่ตัวกระจอกที่เคยพ่ายแพ้อยู่ใต้ตีนข้าเท่านั้นแหละ”หลัวซิวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง เหมือนกำลังพูดถึงเรื่องที่น้อยนิดมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงยังไงอย่างนั้น

เมื่อเห็นหลัวซิวนิ่งสงบเช่นนี้ บวกกับอดีตเขาเคยเอาชนะจูเฟยเฉียวด้วย ถังหยุนและจินเฟยเทียนถึงจะรู้สึกผ่อนคลายลงไปเล็กน้อย ข่มความรู้สึกกลัวในใจไว้

“ไอ้เดรัจฉาน! บังอาจทรยศข้าอย่างนั้นหรือ!”

เสียงตะคอกที่โกรธเกรี้ยวของจูเฟยเฉียวดังออกมาจากก้อนเมฆสีทอง ค้อนทองที่ใหญ่มหึมาตกหล่นลงมาดังสะเทือนเลื่อนลั่น เหมือนภูเขาลูกใหญ่หล่นทับลงมาทางจินเฟยเทียนอย่างแรง

“โครม!”

มีเตาเทพเตาหนึ่งอันปรากฏขึ้นมาตรงเหนือหัวหลัวซิว มีแสงเทวสาดพุ่งออกมาจากเตา เปลวเพลิงลุกโชน ภายใต้การโคจรของกฎปริภูมิ พลังดูดกลืนวิญญาณที่ใหญ่หมึหาซัดกระหน่ำออกมา เสียงกวงดังขึ้น และดูดค้อนยักษ์ทองนั่นเข้าไปในเตา

“กวง! กวง! กวง! ……”

ค้อนยักษ์พุ่งโจมตีไปมาอยู่ภายในเตา ทำให้เตาเทพอันนี้สั่นสะเทือนอย่างไม่หยุดหย่อน สั่นไหวไปมา

หลัวซิวยกมือขึ้นแล้วโบกมือทีหนึ่ง เตาเทพที่สั่นไหวไปมาอย่างไม่หยุดหย่อนก็ได้บินตรงกลับมาโดยที่ยังสั่นอยู่ ก่อนจะร่วงลงบนฝ่ามือเขา

“เจ้าอ้วนจู ใครเป็นคนมอบความกล้าให้เจ้า ถึงกับกล้ามาดักสังหารข้าที่นี่”

หลังจากที่เตาเทพร่วงลงบนฝ่ามือของเขาแล้ว มันก็กลับไปเงียบสงบเหมือนเดิม กดอัดค้อนยักษ์ทองที่อยู่ด้านในได้อย่างอยู่หมัด หลัวซิวเงยหน้ามองขึ้นไปบนเมฆสีทองก้อนนั้น ตัวสำนึกของเขาค้นพบร่างของจูเฟยเฉียวที่หลบซ่อนอยู่ภายในนั้นตั้งนานแล้ว

“หึ ไอ้แซ่หลัว ตอนอยู่ในสำนักเขา อย่าคิดว่าเอาชนะข้าได้เพราะเคราะห์ดีแล้วจะมาทำตัวกระหยิ่มยิ้มย่องต่อหน้าท่านจูข้าได้”

ฝ่ามือที่อ้วนใหญ่ได้เขี่ยเมฆทองออกไป ก่อนจะเผยให้เห็นใบหน้าที่ดูดุร้ายนั่นของจูเฟยเฉียว

“ท่านจูข้าวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในยุทธจักรมานานหลายสิบปี ยังไม่เคยเสียเปรียบขนาดนี้มาก่อน เจ้าคิดว่าเรื่องนี้จะจบลงง่าย ๆ เหมือนปัดฝุ่นที่ติดอยู่บนก้นอย่างนั้นหรือ?”

จูเฟยเฉียวหัวเราะอย่างดุร้ายน่ากลัว“ในสำนักเขามีกฎระเบียบของสำนักศักดิ์สิทธิ์ มากสุดข้าท่านจูก็ทำได้แค่โจมตีเจ้าจนบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่สามารถลงมือสังหารเจ้าอย่างจริงจังได้ แต่ที่แห่งนี้กลับอยู่ห่างไกลจากสำนักศักดิ์สิทธิ์มาก ๆ ในทุก ๆ ปีมีผู้คนต้องตายอย่างน่าเวทนาและถูกปล่อยทิ้งอยู่กลางป่าที่รกร้างแห่งนี้ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ไม่เหลือแม้กระทั่งซากกระดก!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้หลัวซิวก็ไม่รู้สึกโกรธเช่นกัน เขายิ้มพลางพูด: “เจ้าเป็นสหายพี่น้องสำนักเดียวกันกับข้า หรือว่าศิษย์พี่จูจะมาดักสังหารข้าอยู่ ณ ที่แห่งนี้จริง ๆ?”

“ใช่แล้วอย่างไร?”จูเฟยเฉียวแหงนหน้าขึ้นไฟหัวเราะดังลั่น “ลูกศิษย์ในและนอกสำนักของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินมีมากจนนับไม่ถ้วน ในทุก ๆ ปีก็มีคนตายไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ จะมีเจ้าหรือไม่มีเจ้าแค่คนเดียว มันก็ไม่ส่งผลอะไรต่อสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินหรอก!”

หลัวซิวไม่โกรธ บนใบหน้าเขายังคงมีรอยยิ้มที่ดูเรียบนิ่งอยู่เช่นเคย เขาถามอย่างสงสัย: “ไม่ทราบว่าศิษย์พี่จูมีความมั่นใจอะไรหรือ ถึงกล้าบอกว่าสามารถฆ่าข้าได้?”

“ความมั่นใจ?”

จูเฟยเฉียวหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง เสียงหัวเราะดังสะเทือนจนก้อนเมฆที่อยู่บนฟ้าแตกแยกออกจากกัน

“โครม!”

ทันใดนั้นเอง ออร่าเกะกะระรานที่ยิ่งใหญ่มหึมาก็ได้พุ่งออกมาจากร่างกายที่อ้วนท้วมของจูเฟยเฉียว เห็นเพียงมีรอยแยกตรงกลางระหว่างคิ้วของเขา เงาร่างที่เปล่งปลั่งไปด้วยรัศมีเทวเดินออกมา รูปร่างดูทรงพลัง เป็นกลิ่นอายที่ลึกซึ้งคาดเดาได้ยาก

“นี่แหละคือความมั่นใจของข้า!”

จูเฟยเฉียวหัวเราะเสียงดังอย่างหยิ่งผยอง “เจ้าคิดว่าท่านจูมีอัญมณีแห่งเทพมารแค่ชิ้นเดียวอย่างนั้นหรือ? อุบายแท้จริงที่ยังไม่เคยเปิดเผยของท่านจูข้าคือร่างปีศาจเทพร่างนี้!”

“ร่างปีศาจเทพ?”

สีหน้าของถังหยุนและจินเฟยเทียนเปลี่ยนไปในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงเลยว่าไอ้อ้วนจูเฟยเฉียวนี่จะอดกลั้นเก็บความลับได้ดีขนาดนี้ ยอมที่จะขายหน้าแพ้ให้หลัวซิวอยู่ในสำนักเขา แต่ก็ไม่ยอมเปิดเผยอุบายสุดท้ายที่แท้จริงของเขาออกมา