ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 4 นางเอ่ย

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ถ้วยน้ำชาวางอยู่บนโต๊ะเย็นแล้ว

เฉินฉางเฉิงนั่งเงียบ ๆ บนเก้าอี้ โดยไม่ได้มีท่าทีที่จะเริ่มเอ่ยคำใด

ก็เหมือนกับในปีนั้น ราวกับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย

แต่ในความเป็นจริง ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว

นักพรตเต๋าหนุ่มในลัทธิเต๋าที่ถูกยกเลิกพิธีมงคลสมรสเมื่อเข้าเมืองหลวงคราแรกได้กลายเป็นสมเด็จใต้เท้าสังฆราช

โชคดีที่เหมือนกับในปีนั้นที่สวีซื่อจีไม่อยู่ที่นั่น ไม่อย่างนั้นบรรยากาศอาจจะกระอักกระอ่วนกว่านี้

เพียงแตะเบา ๆ ที่ม่านลูกปัด ทำให้เกิดเสียงกรุ๊งกริ๊ง สวีโหย่วหรงเดินออกมาจากหลังม่าน

หลังจากกลับมายังจวน สวีโหย่วหรงไม่สนใจเขา และทิ้งเขาไว้ในห้องโถง นางนั้นก็ไปชำระล้างร่างกาย

เห็นได้ชัดว่านางช่างทำตัวตามสบายยิ่งนัก ราวกับผมสีดำที่กระจายอยู่เต็มแผ่นหลังของนาง

ผมที่เปียกชื้นนั้นมีหยดน้ำอยู่บ้าง กอปรกับใบหน้าที่สะอาดหมดจดราวกับบุปผา มองแล้วงดงามยิ่งนัก

เฉินฉางเซิงชื่นชอบความงามของคู่หมั้นตนยิ่งนัก ที่ชื่นชอบไปกว่านั้นคือความเป็นกันเองของนาง เขาคิดจะมองต่อไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ แต่ที่นี่คือจวนสวี อีกทั้งเขายังมีเรื่องราวอื่นต้องไปทำ

เขาจึงลุกขึ้นยืนเอ่ยกับสวีโหย่วหรงว่า “เช่นนั้นข้าขอตัว”

สวีโหย่วหรงเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ไม่ทานอาหารแล้วหรือ”

ที่นี่คือบ้านของนาง เฉินฉางเซิงเป็นคู่หมั้นของนาง นางจึงเป็นกันเองกับอีกฝ่าย ดังนั้นประโยคนี้จึงเเป็นธรรมชาติ กระทั่งสังเกตว่าในห้องโถงมีบรรยากาศแปลก ๆ นางจึงได้เข้าใจสาเหตุ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาก่อนเอ่ย “เช่นนั้นท่านก็ไปเถิด”

“พรุ่งนี้ข้าจะมารับเจ้า” เฉินฉางเซิงเอ่ยขึ้น

หลังจากนั้นเขาก็หันกลับไปลาสวีฮูหยิน ทั้งยังไม่ลืมที่จะพยักหน้ากับคุณยายท่านนั้นและซวงเอ๋อร์

ไม่ว่าจะเป็นมารยาทหรือท่าทาง เขาก็ล้วนไร้ที่ติทั้งสิ้น

ความสงบนิ่งเยี่ยงนี้ ยังทำให้สวีฮูหยินและคนอื่นพาลนึกไปถึงภาพนั้นเมื่อหลายปีก่อน

เวลาหลายปีมานี้ สำหรับเขาแล้วราวกับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย ไม่ว่าจะเป็นนักพรตหนุ่มในครานั้น หรือว่าใต้เท้าสังฆราช เขายังคงรับมือกับโลกใบนี้หรือแม้กระทั่งผู้คนบนโลกนี้ด้วยความสงบและเฉยเมย

เมื่อดำเนินออกมาจากจวนจอมพล เดินไปตามริมแม่น้ำสายเล็กที่ไม่สะดุดตา ไม่นานก็มาถึงสะพานหินโค้งที่ดูไม่สะดุดตา

เฉินฉางเซิงเดินขึ้นไปบนสะพาน ไม่เหมือนกับหลายปีก่อนนั้น ที่มองกลับไปยังบ้านหลังงามวิจิตรนั้น

เวลาผ่านไปสามปี เมื่อกลับมายังเมืองหลวงอีกครั้ง เขาก็ไม่ได้กลับไปยังพระราชวังหลีหรือสำนักฝึกหลวง แต่ตรงมายังจวนสวีเลย มิใช่เขาประสงค์จะทำสิ่งใด แต่เพียงเพราะว่าคู่หมั้นนั้นต้องการให้เขากลับบ้านเป็นเพื่อนนาง เหตุผลง่ายดายถึงเพียงนี้

ในระยะเวลาหลายปีมานี้เขาเคยมาเป็นแขก ณ จวนสวีสองครั้ง หากจะเอ่ยว่าภาคภูมิใจหรือก็มิใช่ จะว่าความหลังครั้งเก่าหรือก็เปล่า

เขากับสวีโหย่วหรงเองยังเด็กนักชีวิตยังอีกยาวไกล ทั้งยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ต้องทำ ยังต้องดำเนินไปยังอีกหลายที่

เมื่อก่อนเมื่อเทียนกับอนาคตในหลายปีนี้ ช่างไม่สำคัญเอาเสียเลย

เช่นนั้นก็ให้มันผ่านไปเสียเถิด หรือว่านี่ก็คือความหมายของการดำรงอยู่นั่นเอง

จู่ ๆ ก็มีหิมะโปรยปรายลงมา

เฉินฉางเซิงกางร่มกระดาษทองออก ไม่นานก็กลืนหายไปกับฝูงชน

……

……

อดีตก็ปล่อยให้มันเป็นอดีตไป นี่คือคำพูดที่ง่ายมาก เป็นหลักการที่เข้าใจง่ายแต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้

อย่างเช่นสวีซื่อจี

หลังจากกลับมาถึงจวน เขาก็ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวันแล้วสีหน้าก็บิดเบี้ยวไม่น่าดู แต่ยังคงไม่ทำอันใด

แม้แต่จอกสุราก็ไม่ได้ขว้างปา

เนื่องจากยามนี้สวีโหย่วหรงกำลังพักผ่อนอยู่เรือนหลัง

ทั้งจวนของจอมพลเงียบสงบราวกับภูเขาลึก

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสวีซื่อจียอมรับความเป็นจริง และสถานะของเขาในราชวงศ์โจวเองก็มาจากบุตรสาวของเขาทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็นยามที่จักรพรรดินีเทียนไห่ยังอยู่ในตำแหน่งหรือนามนี้ ก็ไม่เปลี่ยนแปลง

นี่ก็คือเรื่องที่ยากจะยอมรับได้ แต่เขาก็ต้องก้มหน้ายอมรับ

เขาแทบจะไม่ทราบเลยว่าจะเผชิญหน้ากับบุตรสาวของตนเช่นไร

สวีฮูหยินก็ไม่มีทางลืมเรื่องที่ผ่านไปได่ นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกต่ำว่า “ในปีนั้นข้าจะรู้ได้เช่นไร ว่าเขาจะได้กลายเป็นใต้เท้าสังฆราช”

สวีซื่อจีเอ่ยเสียงต่ำว่า “นั่นอย่างไรเล่า สุดท้ายแล้วยังมิใช่ลูกเขยของข้า สวีซื่อจีผู้นี้”

……

……

“ดูท่าทางที่ดูลำพองใจของท่านนั้นแล้ว ที่จริงไม่รู้ว่าในใจเบิกบานเพียงใด”

ในเรือนหลัง ซวงเอ๋อร์ถือชามกุ้งมังกรอบเนื้อมายืนอยู่เบื้องหน้าของสวีโหย่วหรง นางยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงมีโทสะ

สวีโหย่วหรงเอ่ยถามเสียงเบาว่า “ตอนนั้นที่เจ้าเคยเอ่ยในจดหมาย ตอนนั้นเขาก็เป็นเช่นนั้น ในครานั้นเขามีอะไรน่าภูมิใจนัก”

ซวงเอ๋อร์คิดอยู่นานก่อนเอ่ย “ในตอนนั้นท่านหน่ะหรือ เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก หรือจะเอ่ยว่าเสแสร้งดี”

สวีโหย่วหรงเอ่ยหน้าขึ้น มองนางด้วยสีหน้าเฉยเมย

ซวงเอ๋อร์เริ่มวิตกรีบเอ่ย “คุณหนูข้าผิดไปแล้ว”

สวีโหย่วหรงถามต่อ “เจ้ารู้หรือว่าตัวเอง……”

เมื่อนึกถึงการประเมินของตนที่มีต่อเฉินฉางเซิงอย่างไม่ยุติธรรม นึกถึงตอนนี้ที่คุณหนูและอีกฝ่ายรักกันแน่นแฟ้นลึกซึ้ง นางก็ยิ่งกังวลขึ้นไปอีก เสียงนางจึงสั่นไหวเล็กน้อย “ข้าไม่เคยมองเห็นข้อดีของท่านผู้นั้นเลย ทั้งยังพูดถึงเขามากมายไปอีก”

“วิสัยทัศน์ของเจ้าก็ถือว่าไม่ดีจริง ๆ นั่นแหละ แต่ในปีนั้นมีสักกี่คนที่เห็นข้อดีของเขากัน”

จู่ ๆ สวีโหย่วหรงก็นึกไปถึงตอนนั้นที่กลับมายังเมืองหลวง ตนไปเยี่ยมเยียนสำนักฝึกหลวงยามวิกาลกลับพบเรื่องเก่าของม่ออวี่ในห้องของเขาเข้า

ยิ่งคิดไปถึงที่ม่ออวี่กำลังจะแต่งงาน กลับต้องการให้เขามาเป็นเถ้าแก่ นางก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วเล็กน้อย ในใจลอบคิดว่านี่ถือว่าเป็นคนมีวิสัยทัศน์ค่อนข้างดีทีเดียว

“เขาดีอย่างไรกันเจ้าคะ”

สวีโหย่วหรงเอ่ยเสียงเบา “ข้าชอบที่ไม่ว่าเขาจะเจอปัญหาใด ต่อให้เป็นเรื่องน่ากลัวที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายเช่นไรกล้วนไม่กลัดกลุ้ม ทั้งยังไม่กำเริบเสิบสานหลงระเริง หลังจากที่ยอมแพ้แล้วเขายังคงจอจ่อและยึดมั่น เด็ดเดี่ยวและสงบนิ่ง

ซวงเอ๋อร์ฟังไม่เข้าใจ แต่ฟังออกว่าในประโยคนี้ของคุณหนูนั้นชื่นชอบจริง ๆ นางก็อดตื่นตระหนกไม่ได้

การแต่งงานระหว่างเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงได้ถูกกำหนดไว้แล้ว แต่จนถึงตอนนี้นางยังไม่คิดว่าหญิงสาวจะชอบเฉินฉางเซิงจริง ๆ

เพราะในความคิดของนาง คุณหนูเป็นดั่งหงส์สวรรค์ สูงส่ง เย่อหยิ่งและเย็นชา นางจะชอบใครได้อย่างไร

ในเวลานี้สาวใช้มารายงาน สวีซื่อจีได้มาถึงแล้ว

ประตูลานเปิดออก มีรอยเท้าปรากฏอยู่บนหิมะ

ทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน มีถ้วยชาล้ำค่าสองใบบนโต๊ะ

ทุกอย่างล้วนดูเกรงอกเกรงใจมาก ไม่เหมือนบิดากับบุตรสาว แต่ดูแล้วเหมือนแขกมากกว่า

สวีซื่อจีมองไปที่ลูกสาวของเขา ราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้วก็หยุดพูดไป

ในท้ายที่สุดเขาทำได้เพียงใส่ใจเรื่องอาหารการกินและชีวิตประจำวันแล้วจากไป แต่เขาก็ไม่ได้ปกปิดความกังวลก่อนจะจากไป

สวีโหย่วหรงทราบดีว่าบิดาของตนต้องการจะพูดอะไร หรืออยากจะให้นางไปเอ่ยอะไรกับเฉินฉางเซิง

เช่นเดียวกับตอนที่นางยังเป็นเล็ก ท่านพ่อจะมีท่าทางเช่นนี้เมื่อเขาต้องการเข้าวังเพื่อพบกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่

นางไม่อยากฟัง เนื่องจากนางจะไม่พูดอะไรกับเฉินฉางเฉิง

นี่ก็คล้ายกับตอนเล็ก ๆ เช่นกัน นางไม่เคยยินดีที่จะเอ่ยเรื่องเหล่านี้กับจักรพรรดินีเทียนไห่

นับตั้งแต่โลหิตหงส์สวรรค์ตื่นขึ้นมาครั้งแรก หลังจากนางฝึกบำเพ็ญพรต นางก็รู้สึกว่าเรื่องราวเหล่านี้น่าเบื่อยิ่งนัก น่ารำคาญเป็นอย่างยิ่ง

คืนนี้นางรู้สึกรำคาญมากขึ้นมาอีกครั้ง ดังนั้นนางจึงอาศัยค่ำคืนหิมะปีนขึ้นไปบนหลังคา ไขว้มือไว้เบื้องหลังแล้วพิเคราะห์ดวงดาว

มีเมฆหนาในท้องฟ้ายามค่ำคืน แน่นอนว่าไม่สามารถมองเห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวได้ แต่ก็ไม่สามารถกั้นดวงจิตของนางได้

นางเฝ้าดูดวงดาวในเวลากลางคืน อ้างอิงสิ่งที่เห็นกับแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ ทำความเข้าใจอย่างใจเย็นแล้วก็สงบลง

ลมและหิมะปั่นป่วนเล็กน้อย หญิงสาวในชุดดำก็ปรากฏตัวลงข้าง ๆ กายสวีโหย่วหรง

แสงสลัวเล็กน้อย ทว่าไฝสีชาดที่คิ้วของนางยังคงสว่างและเด่นชัดนัก

สวีโหย่วหรงจ้องที่นั้น

หญิงสาวในชุดดำพูดอย่างรำคาญเล็กน้อย: “น่าสงสัยถึงเพียงนี้เชียวหรือ

สวีโหย่วหรงกล่าวอย่างจริงจังว่า: “แน่นอน ตอนที่ข้ายังเด็กข้าไปที่สะพานอุดรใหม่เพื่อเที่ยวชมธรรมชาติในฤดูใบไม้ผลิ ข้ายังเตรียมที่จะกระโดดลงไปในบ่อน้ำเพื่อตามหาเจ้า”

หญิงสาวในชุดดำหัวเราะเยาะและเอ่ยว่า: “แล้วเหตุใดข้าจึงไม่ได้พบเจ้าเล่า แถมเจ้ายังมีชีวิตอยู่อีก”

สวีโหย่วหรงมองไปที่หิมะที่ตกลงมาบนท้องฟ้ายามค่ำคืน นางยิ้มและเอ่ยว่า “เหนียงเหนียงช่วยข้าไว้”