โกวเยว่โมโหแล้ว กล่าวเสียงต่ำว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ไว้หน้าแล้วก็อย่าปฏิเสธ!”
ไม่โมโหไม่ได้หรอก ท่านอ๋องทำถึงขั้นนี้แล้ว ขนาดคำพูดแบบนั้นก็ยังพูดออกมาได้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่รับน้ำใจ
เหมียวอี้กลับไม่โมโหเรื่องนี้ โบกมือพูดว่า “ท่านบุรุษโกวอย่าเพิ่งใจร้อน ในเมื่อท่านอ๋องไว้หน้า หนิวก็ย่อมต้องรับไว้ เพียงแต่แอบเป็นพันธมิตรกันก็ไม่จำเป็นต้องเสียสละคุณหนูเม่ยเอ๋อร์ และไม่จำเป็นต้องให้คุณหนูเม่ยเอ๋อร์มาเป็นคนกลางด้วย ขอเพียงทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลง ก็แอบให้ความร่วมมือกันก็ได้!”
“หึหึ…” โกวเยว่แสยะยิ้มไม่หยุด เรียกได้ว่าทั้งโมโหทั้งรู้สึกขำ ให้บรรลุข้อตกลงกับเจ้าและแอบให้ความร่วมมือเหรอ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร?
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ สำหรับก่วงลิ่งกงแล้ว ระหว่างเขากับเหมียวอี้ไม่มีการเป็นพันธมิตรอะไรทั้งนั้น และไม่จำเป็นต้องเป็นพันธมิตรกับใครด้วย เขากับอ๋องสวรรค์คนอื่นๆจำเป็นต้องเป็นพันธมิตรกันด้วยเหรอ? ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เคยบอกว่าต้องการเป็นพันธมิตรกับเหมียวอี้เลย ที่บอกว่าแอบเป็นพันธมิตรกัน เป็นเป็นเหมียวอี้ที่คิดไปเองฝ่ายเดียว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ก่วงลิ่งกงต้องการ สิ่งที่ก่วงลิ่งกงต้องการก็คือ กำหนิวโหย่วเต๋อไว้ในมือ!
พันธมิตรคือสิ่งที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ ตราบใดที่มีผลประโยชน์ ก็สามารถร่วมมือกับเขาเพื่อต่อต้านศัตรูได้ทุกเมื่อ!
ทำไมก่วงลิ่งกงถึงไม่เสียดายที่จะมอบลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนอย่างก่วงเม่ยเอ๋อร์ให้เป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ล่ะ? ถึงขนาดให้โกวเยว่พาก่วงเม่ยเอ๋อร์มาด้วยตัวเองแล้ว ทั้งยังบอกชัดว่าสามารถมอบให้เหมียวอี้ใช้งานได้ทุกเมื่อ แบบนี้เท่ากับตัดทางถอยทางอื่นของเหมียวอี้แล้ว!
“ข้อตกลงอาบไม่น่าเชื่อถือ ความสัมพันธ์เขยพ่อตาน่าเชื่อถือกว่า!”
“หากท่านบุรุษโกวดึงดันจะพูดแบบนี้ เกรงว่าความสัมพันธ์พ่อตาลูกเขยคงไม่น่าเชื่อถือไปสักเท่าไหร่หรอก ถ้าต้องการจะแปรพักตร์ก็แปรพักตร์อยู่ดี ผู้หญิงของข้าเป็นลูกสาวบุญธรรมของอ๋องสวรรค์โค่ว แล้วยังไงล่ะ?”
“ลูกสาวบุญธรรมจะมาเทียบกับลูกสาวแท้ๆ ได้ยังไง ผู้ตรวจการใหญ่อย่าลืมนะ มารดาของคุณหนูเม่ยเอ๋อร์ก็คือหวังเฟย!” พอพูดถึงตรงนี้ โกวเยว่ก็ไม่อยากอ้อมค้อมกับเหมียวอี้แล้ว พูดตรงๆ เลยว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ ตอนนี้ท่านยังไม่มีอะไรที่จะช่วยท่านอ๋องได้ ภายในระยะเวลาที่ค่อนข้างนานนี้ ท่านยังต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างลับๆ จากท่านอ๋อง เพื่อไม่ให้ถูกเปิดโปง ต้องใช้ความพยายามเยอะมาก นอกจากลูกเขยตัวเอง ท่านอ๋องก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจขณะนี้!”
“ท่านบุรุษโกวกำลังทำให้ข้าลำบากใจอยู่นะ!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ
โกวเยว่พ่นเสียงทำจมูก “ไม่รู้ว่ามีลูกหลานขุนนางใหญ่ตั้งมากมายเท่าไหร่ที่หวังจะดอมดมกลิ่นหอมของคุณหนูเม่ยเอ๋อร์ นี่เป็นเรื่องงดงามที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ทำไมกลายเป็นทำให้ลำบากใจไปได้ล่ะ?”
เหมียวอี้ขี้คร้านจะพูดเรื่องนี้กับเขาโดยไม่จบไม่สิ้นสักที “ท่านบุรุษโกว คุณหนูเม่ยเอ๋อร์เย้ายวนใจจริงๆ ข้าเองก็เป็นผู้ชาย คิดอยากจะดมดอมกลิ่นหอมจริงๆ แต่ถ้าคิดจะครอบครองนางอย่างสง่าผ่าเผยจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องลักลอบแบบนี้ ทางเลี่ยงให้กำเนิดลูกยังลับๆ ไม่สู้ท่านรายงานบอกท่านอ๋อง ว่าข้าจะแต่งงานกับคุณหนูเม่ยเอ๋อร์อย่างสง่าผ่าเผย แบบนี้ดีไหม?”
โกวเยว่หน้าดำทันที ล้อเล่นอะไรกัน ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ถ้ามอบให้เจ้าอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย งานจะไม่พังหรอกหรือ นอกจากท่านอ๋องจะมอบลูกสาวให้เปล่าๆ แล้ว ขนาดให้ลูกสาวแบบรับฐานะอนุภรรยา ก็ยังดึงตัวเจ้ามาไม่ได้ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ลูกสาวในจวนท่านอ๋องจะแต่งงานได้ง่ายๆ ขนาดนั้นเชียวหรือ?
“ผู้ตรวจการใหญ่จะไม่พิจารณาอีกแล้วจริงๆ เหรอ?”
“ถ้าค่าแต่งงานอย่างสง่าผ่าเผย แต่ท่านอ๋องกลับไม่ตอบตกลง งั้นก็ไม่จำเป็นต้องพิจารณาอีกแล้ว”
โกวเยว่หันตัวมา มองไปที่ประตูทางออก แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ที่นี่เล็กเกินไป ตาแก่คนนี้รู้สึกอึดอัด ปล่อยคนเถอะ!”
“ก็ได้!” เหมียวอี้ก็หันตัวแล้วเช่นกัน เอียงหน้าบอกใบ้หยางเจาชิง อยากจะไล่ตาแก่คนนี้กลับไปเต็มทีแล้ว
หยางเจาชิงไปจัดเตรียมเรื่องนี้ทันที
อวิ๋นจือชิวที่ได้ข่าวก็รีบพาก่วงเม่ยเอ๋อร์กลับมาเช่นกัน เมื่อรู้ว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว โกวเยว่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์อยู่ที่นี่ต่อ
เพียงแต่ก่อนจะไป โกวเยว่กลับขอช่องทางติดต่อของเหมียวอี้ ไม่อย่างนั้นถ้าติดต่อผ่านเม่ยเหนียงและลูกสาวเหมือนก่อนหน้านี้ ก็ยุ่งยากเกินไป ใครจะไปรู้ว่าในภายหลังยังจะต้องติดต่อกับเจ้าหนุ่มนี่อีกหรือเปล่า
นอกประตูใหญ่ของสำนัก ก่วงเม่ยเอ๋อร์กล่าวลาสองสามีภรรยาอย่างงุนงง ไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองถูกพาตัวมาด้วยจุดประสงค์อะไร เลอะเลือนนิดหน่อย ไหนบอกว่าจะพานางมาเที่ยวเล่นไม่ใช่หรือ? ทำไมจะพานางกลับเร็วขนาดนี้ล่ะ?
เหมียวอี้เห็นสายตานางแล้วรู้สึกเห็นใจอยู่บ้าง คิดในใจว่า ถ้าผู้หญิงคนนี้รู้ความจริง ในภายหลังจะทนความรู้สึกได้อย่างไร
ยังคงเป็นหลงซิ่นที่ไปส่ง ตัวประกันหนึ่งล้านนั่นไม่สะดวกจะปล่อยที่แดนรัตติกาล ออกจากแดนรัตติกาลก่อนถึงจะปล่อยได้ แล้วเหมียวอี้ก็ไม่ได้เล่นตุกติกอะไรเลยจริงๆ ปล่อยทหารออกไปโดยครบสมบูรณ์แล้ว
ขณะมองคนหายไปในท้องฟ้า เหมียวอี้ก็ค่อนข้างเงียบงัน อวิ๋นจือชิวหันกลับไปมองเขา แล้วถามอย่างค่อนข้างแปลกใจว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “จะมีเรื่องอะไรได้ล่ะ ก็แค่มาทวงตัวประกันคืน ข้ายังมีธุระ” พูดจบก็หันตัวเดินไปเลย ไม่ได้บอกความจริง อวิ๋นจือชิวจะได้ไม่คิดเพ้อเจ้อ
ถ้าต้องการตัวประกัน แล้วทำไมต้องรีบร้อนพาก่วงเม่ยเอ๋อร์มาแล้วรีบพากลับ อวิ๋นจือชิวทำสายตาสงสัย รีบย้ายสายตาไปที่หยางเจาชิง ต้องการสอบถาม
ใครจะคิดว่าหยางเจาชิงจะกุมหมัดคารวะทันที “ฮูหยิน ข้าน้อยยังมีธุระนิดหน่อย ขอตัวไปทำงานก่อน”
อวิ๋นจือชิวเป็นคนที่ถนัดเรื่องสังเกตสีหน้าท่าทางของคนที่สุด มองออกถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่างแล้ว พบว่านายบ่าวสองคนนี้มีท่าทีหลบเลี่ยงตน มีเรื่องอะไรปิดบังตัวตนอยู่สินะ! นางช้อนสายตามองทันที กล่าวด้วยเสียงปกติว่า “หยุดก่อน!”
หยางเจาชิงที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวหยุดชะงัก มองเงาร่างเหมียวอี้ที่อยู่ใกล้ๆ แอบร้องในใจว่าแย่แล้ว หลังจากหันตัวมาช้าๆ ก็ถามด้วยสีหน้าใจเย็น “ฮูหยินมีอะไรจะกำชับ?”
อวิ๋นจือชิวนำเสวี่ยเอ๋อร์เดินเนิบนาบเข้าไปใกล้ แล้วจ้องเขาอย่างเยียบเย็น “บอกมาเถอะ ในบ้านยังมีเรื่องอะไรต้องปิดบังข้าอีก?”
หยางเจาชิงแปลกใจ “ทำไมฮูหยินพูดอย่างนี้ขอรับ?”
อวิ๋นจือชิวยิ้มแข็งทื่อ “หยางเจาชิง ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดต่อเจ้าหรอกใช่ไหม? คิดจะโกหกเพราะข้าเป็นผู้หญิงใช่ไหม รู้สึกหลอกง่ายใช่ไหม? บอกมาเถอะ เจ้าเตรียมจะหลอกอะไรข้าอีก?”
หยางเจาชิงปาดเหงื่อ ถ้าวังสวรรค์มีบัญชามาเมื่อไหร่ ทั้งคู่ก็จะกลายเป็นนายบ่าวกันทันที คำถามนี้ทำให้เขากดดันมาก ทำไมบอกว่าตนจะหลอกอะไรนางแล้วล่ะ สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความเชื่อใจ แล้วในอนาคตจะทำงานกันอย่างไร?
รู้ถึงความร้ายกาจของท่านนี้ทันที โดนจับพิรุธได้แล้ว เกรงว่าคงปิดบังต่อไปไม่ได้ หยางเจาชิงคิดเรื่องนี้อีกครั้ง รู้สึกว่าไม่น่ามีอะไรที่พูดไม่ได้ เดาว่าเหมียวอี้คงไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวคิดมากก็เท่านั้นเอง ทำได้เพียงถอนหายใจ เล่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของโกวเยว่ในวันนี้ให้ฟัง
อวิ๋นจือชิวฟังแล้วงง แต่ก็พอจะเข้าใจบางอย่างเหมือนกัน มิน่าล่ะก่วงเม่ยเอ๋อร์จึงรีบไปรีบกลับ นางเลิกคิ้ว แล้วปรายตาถามว่า “นี่เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรอ ก่วงเม่ยเอ๋อร์น่ะ ขนาดผู้หญิงด้วยกันเห็นแล้วยังหวั่นไหว เป็นไปได้ยังไงที่นายท่านจะไม่ตอบตกลง?”
หยางเจาชิงรีบโบกมือซ้ำๆ ” ไม่ได้ตอบตกลง! นายท่านไม่ได้ตอบตกลงจริงๆ!”
อวิ๋นจือชิวเปลี่ยนสีหน้าเป็นหรี่ตายิ้ม กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรื่องนี้ไม่มีผลเสียกับนายท่าน มีแต่ผลดี ก็ตอบตกลงไปสิ ไม่เห็นเป็นไร”
มีหรือที่หยางเจาชิงจะไม่รู้ว่าในรอยยิ้มของนางซ่อนดาบเอาไว้ เขาตอบอย่างหัวเระาไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ฮูหยินไม่ต้องอย่างเชิงข้าหรอก ข้าน้อยไม่ได้หลอกลวงฮูหยินจริงๆ นายท่านไม่ได้ตอบตกลงจริงๆ…” เขารีบเล่าว่าเหมียวอี้ปฏิเสธโกวเยว่อย่างไรเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ตัวเอง ก็ช่วยไม่ได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรนายท่านก็ผ่านไปได้ทั้งนั้น ติดแค่เรื่องกลัวเมีย พอเป็นแบบนี้ลูกน้องก็ช่วยสนับสนุนไม่ได้เช่นกัน!
หลังจากฟังจบ อวิ๋นจือชิวก็ทำสีหน้าปกติ แล้วสะบัดชายเสื้อบอกว่า “ช่างเถอะ ข้าไม่ได้โทษเจ้าเสียหน่อย จะหวาดกลัวขนาดนั้นทำไม ไปเถอะ ไปทำงานของเจ้า”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงราวกับได้รับการอภัยโทษ รีบหนีออกไปแล้ว
อวิ๋นจือชิวสีหน้าผ่อนคลายแล้ว หันกลับไปมองเสวี่ยเอ๋อร์ที่หัวเราะคิกคัก แล้วดูว่า “หัวเราะอะไร? ถ้าหัวเราะอีก ฟันเจ้าร่วงแน่!”
เสวี่ยเอ๋อร์เม้มริมฝีปาก แล้วเดินตามหลังนางไป
เมื่อกลับเข้ามาด้านใน ก็ถามว่าเหมียวอี้อยู่ที่ไหน อวิ๋นจือชิวถือน้ำชาบุกเข้ามาในห้อง
เหมียวอี้ที่ยังนั่งอ่านบัญชีรายชื่อเหลือบตาขึ้น ตอบว่า “ไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนผู้หญิงพวกนั้นเหรอ?”
อวิ๋นจือชิววางน้ำชาลงข้างๆ เขา มองหน้าเขาพร้อมยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง
ผ่านไปพักใหญ่ก็ไม่ได้คำตอบ เหมียวอี้เงยหน้าอีกครั้ง “มีเรื่องอะไร?”
อวิ๋นจือชิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จะไม่มีเรื่องได้เหรอ สามีของข้ากำลังจะรับอนุภรรยา ฮูหยินอย่างข้าจะไม่ถามสักหน่อยได้ยังไง?”
เหมียวอี้เข้าใจทันที หยางเจาชิงคงจะโดนง้างปากแล้ว ตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหยางเจาชิงจะจงใจใส่ร้ายข้า ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว มาพูดหยอกข้าอีกสนุกนักเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวเดินอ้อมมาอยู่ข้างกายเขา โน้มตัวลงหมอบบนบ่า เอามือคล้องคอ หัวเราะคิกคักอยู่ข้างหู “ปฏิเสธแล้วจะไม่เสียดายได้ยังไง หน้าตาของก่วงเม่ยเอ๋อร์นั่นข้าจะไม่พูดถึงแล้ว แต่ข้าเคยอาบน้ำกับนาง หน้าอกนั่น บั้นท้ายนั่น รับรองว่าจะทำให้เจ้าพอใจ เจ้าไม่พิจารณาดูสักหน่อยเหรอ? ถ้าไม่คัดค้านหรอก”
เหมียวอี้ระวังตัวทันที จะตกหลุมพรางนี้ได้อย่างไร กล่าวอย่างจริงจังทันทีว่า “เลิกพาลหาเรื่องได้แล้ว ข้าไม่ขาดแคลนผู้หญิงเสียหน่อย ไม่สนใจก่วงเม่ยเอ๋อร์หรอก ก่วงลิ่งกงอยากจะถือโอกาสนี้ควบคุมข้า เจ้าดูไม่ออกเชียวเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจข้างหูเขา “ถ้าไม่มีผลประโยชน์ อีกฝ่ายจะมอบลูกสาวให้เจ้าทำไม ทุกเรื่องล้วนมีผลได้ผลเสีย ไม่มีเรื่องไหนที่ได้เปรียบอย่างเดียวโดยไม่เสียเปรียบ ได้รับความช่วยเหลืออย่างลับๆ จากเขา ถ้าในอนาคตมีกำลังยิ่งใหญ่แล้ว มีศักยภาพที่จะคานอำนาจกับฝ่ายต่างๆ แล้ว ต่อให้ประกาศแล้วจะยังไงล่ะ? เขาไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไม่รู้แม้แต่หลักการนี้? เรื่องนี้ข้าไม่คัดค้านแน่นอน ยืนหยัดสนับสนุนเจ้า เอาอย่างนี้ ตอนนี้หลงซิ่นน่าจะยังอยู่กับโกวเยว่ ข้าจะให้หลงซิ่นเชิญโกวเยว่กลับมา” พูดจบก็หยิบระฆังดาราออกมา
เหมียวอี้คว้าข้อมือนางไว้ เขาจะไม่รู้จักนางเชียวหรือ? ยิ่งบอกว่าเห็นด้วยหรือสนับสนุน ผลลัพธ์ที่ตามมาก็จะยิ่งร้ายแรง วางแผนไปถึงทายาทรุ่นต่อไปของผู้หฺญิงคนนี้แล้ว ถ้าตัวเองกล้ารับปาก คาดว่าห้องนี้คงจะถูกถล่มแน่ เดี๋ยวคนเต็มลานบ้านจะได้เห็นนางถือดาบมาสู้ตายกับตนแน่
เหมียวอี้ทำสีหน้าเคร่งขรึม พูดกับนางอย่างจริงจังมากกว่า “ข้าบอกเจ้าอย่างจริงใจเลย ลูกของข้าของเหมียวอี้จะต้องเกิดกับอวิ๋นจือชิวก่อน คนอื่นไม่มีความเป็นไปได้เลย!”
อวิ๋นจือชิวถลึงตาตำหนิเขา “เจ้าโง่หรือไง! ทุกอย่างต้องคำนึงถึงสถานการณ์ภาพรวมสิ!”
เหมียวอี้เหล่ตามองอย่างเย็นเยียบ มีท่าทีแน่วแน่มาก “เรื่องนี้ไม่ต้องปรึกษากันแล้ว ข้ารู้ว่าต้องทำยังไง ไม่ต้องให้เจ้ามาสอนข้าหรอก เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้ายังมีงานต้องทำ!” ตอนพูดประโยคนี้ดูมีความั่นใจมาก
“งั้นข้าก็ไม่รบกวนเจ้าแล้ว” อวิ๋นจือชิวก้มหน้าพ่นลมหายใจหอมข้างหูเขา เพียงแต่ยิงฟันกัดหูเขาอย่างแรงหนึ่งที
“โอย!” เหมียวอี้ร้องอย่างเจ็บปวด
ในห้องเริ่มวุ่นวายทันที โต๊ะคว่ำเก้าอี้ล้ม อวิ๋นจือชิวที่มวยผมโดนดึงจนเอียงโดนผลักออกไปแล้ว นางโซเซถอยหลัง ดวงตางามฉายประกาย ใบหน้าเผยรอยยิ้มจากใจ ทั้งยังแลบลิ้นเลียเลือดบนริมฝีปากตัวเองด้วย ราวกับเป็นอาหารเลิศรสของมนุษย์ จากนั้นย่อตัวคำนับเหมือนผู้หญิงเรียบร้อย “หม่อมฉันขอตัวเพคะ!”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ปิดปากเงียบ ทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น สำหรับอีกด้านที่เป็นนางมารร้ายของฮูหยิน พวกนางเห็นจนชินตาตั้งนานแล้ว
เหมียวอี้ยกมือขึ้นคลำหู ที่มือเต็มไปด้วยรอยเลือด โดนกัดจนเลือดไหลแล้ว โดนกัดหูจนเลือดไหลแล้ว เขาโมโหทันที ชี้แผ่นหลังอวิ๋นจือชิวที่เดินออกไปพลางตะโกนด่า “เป็นบ้าอะไรของเจ้า? ผู้หญิงใจร้าย! สักวันข้าจะหย่ากับเจ้า!”
“หม่อมฉันจะรอนะเพคะ” เสียงของอวิ๋นจือชิวลอยมาจากด้านอก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภูมิใจ
ปกติถ้านอกห้องมีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติอะไร เหยียนซิวก็จะปรากฏตัวเงียบๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้จะไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยสักนิด
อวิ๋นจือชิวที่เข้ามาถึงลานบ้านไม่สนใจภาพลักษณ์ที่ดุร้ายของตัวเอง ไม่ว่าเห็นอะไรก็หัวเราะคิกคักไปหมด ตอนที่เดินผ่านสาวใช้ จู่ๆ ก็บอกว่า “ช่วงนี้คนในจวนทำงานหนัก ตบรางวัลให้ทุกคน!”
“ค่ะ!” เสวี่ยเอ๋อร์กลั้นขำขณะเอ่ยรับ
………………………