ร่างของมิสเตอร์ประตูซึ่งหดตัวกลายเป็นลูกบอลแสง ชะงักไปกะทันหันราวกับกำลังเกิดการต่อสู้ภายในอย่างดุเดือด
ชั้นของประตูบนร่างกาย เหลืออีกเพียงเล็กน้อยก็จะซ้อนทับกันอย่างสมบูรณ์
ท่ามกลางเสียงมายา กระแสน้ำสีแดงเข้มซึ่งแทรกผ่านช่องว่างของ ‘ประตูเลือดเนื้อ’ อย่างยากลำบาก เริ่มทวีความปั่นป่วน ชุดคลุมสีเลือดร่วงหล่นลงมาและพยายามห่อหุ้มร่างกายเบเทล·อับราฮัมอีกครั้ง
แต่เมื่อมันเสด็จเยือนลงมา ดวงตาทองเหลืองซึ่งมีคิ้วเป็นปีก ชายหนุ่มในชุดเกราะเพลิง ม่านแสงซึ่งมีใบหน้าอันน่าสะพรึง ผืนดินที่ลืมตาแต่ปิดปาก และร่างเงาดำของสตรี ทั้งหมดเลือนหายไปในพริบตาโดยพร้อมเพรียง
จากนั้น แสงอาทิตย์อันเจิดจ้าปรากฏขึ้นเหนือผืนป่า กลางวันแทนที่กลางคืน สลายเงาทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
ฉากดังกล่าวบีบคั้นให้เสื้อคลุมสีเลือดต้องลอยขึ้นอีกครั้ง มันพยายามสาดแสงจันทร์ให้มากขึ้น พยายามเรียกคืนความวุ่นวายกลับมายังอ้อมกอดของมารดา
ฉวยโอกาสดังกล่าว ดวงตามายาของมิสเตอร์ประตูปิดลงพร้อมกับก้มศีรษะต่ำ
“ตกลง…” มันกล่าวคำแรกหลังจากกลับสู่โลกความจริง ด้วยความยากลำบากและเจ็บปวด
ร่างของมันแข็งทื่อโดยสมบูรณ์ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นและเลื่อนมาไว้บนใบหน้า
วินาทีถัดมา มิสเตอร์ประตูเงยหน้าขึ้น สวมแว่นผลึกที่ตาข้างขวา
บนกระจกแว่นขาเดียว แสงสว่างอันเจิดจ้าระเบิดออกอย่างท่วมท้น มอบความสว่างไปทั่วโลก
ทันใดนั้นเอง ข้อผิดพลาดใน ‘ผนึก’ ทั้งหมดถูกแก้ไข แต่ทุกสิ่งที่กำลังทำงานเป็นปรกติ ล้วนแปรเปลี่ยนเป็นความผิดพลาด เข็มนาฬิกากระโดดไปข้างหน้าหลายวินาที
พิธีกรรมของลำดับ 0 ‘ข้อผิดพลาด’ ก็คือ:
แทนที่ผู้อื่นในพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์เทพ!
และการกลับมาของมิสเตอร์ประตู ดูเหมือนจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์เทพในทันที
แสงสว่างดับลงในทันที มิสเตอร์ประตูได้กลายเป็นอามุนด์ซึ่งแต่งกายด้วยหมวกปลายแหลมและชุดคลุมสีดำทรงโบราณ
ในมือของผู้เย้ยเทพกำลังถือกุญแจรูปร่างหน้าตาสุดแสนธรรมดา แต่คล้ายกับถูกตีขึ้นจากแสงดาวบริสุทธิ์
เหนืออามุนด์ เสื้อคลุมสีเลือดตกลงมาและพยายามโอบกอดมันไว้ในท่อนแขน ด้านหลังอามุนด์ กระแสน้ำสีแดงเข้มพยายามแหวกผ่านซากบานประตูเลือดเนื้ออย่างเกรี้ยวกราด หวังแทรกตัวเข้ามาในโลกนี้ให้ได้
เพียงพริบตา แสงจันทร์สีเลือดพลันเบ่งบานสุดขีด บดบังดวงอาทิตย์ กลางคืน ผืนดิน แสงสว่าง และหอคอยสีขาวแปลกตาด้านนอก
เมื่อเผชิญหน้ากับการกัดกร่อนจากเทพภายนอก มุมปากอามุนด์กระตุกแผ่วเบา ก่อนจะเหยียดมือขวาออก ล้วงแผ่นศิลาโบราณซึ่งมีร่องรอยเก่าแก่ออกมา
ศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่ง!
จากนั้น มันเสียบศิลาเย้ยเทพที่ควบแน่นจาก ‘ทะเลแห่งความโกลาหล’ เข้าไปในช่องว่างของบานประตูเลือดเนื้อ ก่อนจะดึงกลับและนำมาใช้รับเสื้อคลุมสีเลือดที่กำลังตกลงมา
ศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่งกลายเป็นภาพมายาทันที ประหนึ่งกำลังเชื่อมโยงเข้ากับทะเลอนันต์ซึ่งเปี่ยมไปด้วยสีสัน
ทะเลเกิดความปั่นป่วน กลืนกินเสื้อคลุมสีเลือด และปิดกั้นกระแสน้ำสีแดงเข้มจากอวกาศ
ประตูเลือดเนื้อซึ่งพังทลายโดยสมบูรณ์ หดตัวและเลือนหายไปในพริบตา เสียงคำรามอันเดือดดาลและน่าสะพรึงดังก้องมาจากด้านใน
วินาทีถัดมา ดวงจันทร์สีแดงสว่างขึ้นบนท้องฟ้า แต่สีแดงของมันจางหายไปในทันที กลายเป็นสีขาวซีด บนดวงจันทร์มีร่างขนาดมหึมา สีแดงเข้มและบิดเบี้ยว
อามุนด์ซึ่งแต่งกายด้วยหมวกปลายแหลมและชุดคลุมสีดำ ขยับกรอบแว่นตาขาเดียวให้ตรง พลางโบกมือให้กับร่างสีแดงเข้มบนดวงจันทร์ซึ่งกำลังจ้องมองมาทางตน จากนั้นก็แสยะยิ้ม โค้งคำนับอีกฝ่ายเล็กน้อย และหันมาคำนับรอบตัว
…
ณ วิหารโครงกระดูกซึ่งมีไม้กางเขนยักษ์เด่นตระหง่าน และกะโหลกสีซีดจำนวนมากกำลังเฝ้ามองผู้มาเยือน
อาดัมซึ่งสวมชุดคลุมสีขาวเรียบง่าย ทอดสายตาออกไปนอกกระจกหลากสี เฝ้ามองสายฟ้าด้านนอกซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เดินไปยังบ่อเลือดที่ไคลน์เหลือทิ้งไว้ ก้มลงหยิบกระจกลึกลับและโบราณ
จากนั้น มันหันกลับและเดินไปยังศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง
…
ร่างแรกที่ซาราธอัญเชิญจากสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ ยังคงเป็นโรซายล์·กุสตาฟผู้แต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีแดงเข้ม ปักด้ายสีทอง ผมยาวสีเกาลัดหยักศกเล็กน้อย
สำหรับบริวารเร้นลับ ตลอดช่วงอายุที่ยืนยาวของมัน ซาราธรู้จักเทวทูตให้อัญเชิญพอสมควร แต่กลับมีเพียงน้อยคนที่จะแข็งแกร่งกว่าลำดับ 1 จักรพรรดิความรู้ ยกตัวอย่างเช่น อันทีโกนัสก่อนจะกลายเป็นฮาล์ฟฟูล เทวทูตโชคชะตาโอโรเลอุส หรือไม่ก็สมาชิกระดับสูงของหน่วยรบ ‘สีชาดแห่งสงคราม’ ซึ่งสามารถใช้พลังของเทวทูตสีชาดได้ทางอ้อม
แต่ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ซาราธเชื่อว่า การอัญเชิญภาพฉายของโรซายล์·กุสตาฟออกมาก่อนนั้นปลอดภัยที่สุด:
อันทีโกนัสก่อนจะเป็นฮาล์ฟฟูล เองก็เป็นลำดับ 1 บริวารเร้นลับ ส่งผลให้เสียเปรียบศัตรูซึ่งถือครองปราสาทต้นกำเนิดจนมีระดับตัวตนเหนือกว่าราชาเทวทูตส่วนใหญ่ ระดับใกล้เคียงเทพแท้จริง เรียกได้ว่าถูกข่มจนมิดด้วยระดับที่สูงกว่าของเส้นทาง
หลังจากซาราธเลือกที่จะร่วมมือกับโรงเรียนกุหลาบและอาดัม อัตราความสำเร็จในการอัญเชิญเทวทูตโชคชะตาย่อมลดต่ำลงมาก ไม่เหมาะกับการใช้งานในช่วงเวลาฉุกเฉิน
ส่วนนักรบระดับสูงของ ‘สีชาดแห่งสงคราม’ ที่สามารถยืมพลังจากเทวทูตสีชาดในอดีต เนื่องจากมันไม่ได้ใช้พลังของตัวเอง ผลลัพธ์จึงมิได้ยอดเยี่ยมไปกว่าจักรพรรดิความรู้อย่างโรซายล์·กุสตาฟมากนัก
เมื่อเทียบกับแล้ว ซาราธย่อมเลือกที่จะอัญเชิญภาพฉายของบุคคลที่มันคุ้นเคยมากที่สุด มีโอกาสสำเร็จมากที่สุด
แผนของมันก็คือ ฉวยโอกาสที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์เพิ่ง ‘ท่องมิติ’ มาหาตนโดยตรงโดยไม่ได้เตรียมภาพฉายเอาไว้ล่วงหน้า ชิงเปิดฉากด้วยการอัญเชิญภาพฉายของจักรพรรดิความรู้โรซายล์ จากนั้นก็เป็นนักรบหัวกะทิของสีชาดแห่งสงคราม ตามด้วยเทพหายนะเซียอาเพื่อยื้อเวลาให้ตัวเองมีช่องว่างสำหรับสร้างปาฏิหาริย์
ทันทีที่ร่างของโรซายล์ปรากฏ สัญลักษณ์อันซับซ้อนและมายาพลันควบแน่นในดวงตา เตรียม ‘ถ่ายโอน’ ความรู้ไร้ประโยชน์จำนวนมากเข้าไปในสมองของเป้าหมายเพื่อระเบิดความคิด
ในเวลาเดียวกัน ซาราธอาศัยการเปลี่ยนตำแหน่งผ่านการเชื่อมโยงที่เตรียมไว้ล่วงหน้า – หนองน้ำแห่งนี้เปรียบดังถิ่นของมัน ขณะซาราธปล่อยหนวดรยางค์เรียบและโปร่งใส่ พุ่งออกจากชุดคลุมสีดำและเหยียดเข้าไปในสายหมอกประวัติศาสตร์ มันทำการอัญเชิญนักรบหัวกะทิของกองพันสีชาดแห่งสงครามออกมา
ทันใดนั้นเอง ภาพฉายของโรซายล์·กุสตาฟขยับศีรษะ อาศัยการเชื่อมต่อกับซาราธ มันหันหน้าเข้าหาร่างต้นของซาราธอย่างแม่นยำ
สมองซาราธพลันท่วมท้นไปด้วยข้อมูลไร้ประโยชน์และซ้ำซากจำนวนมหาศาล หัวของมันแทบระเบิด มิอาจดำเนินกระบวนการความคิดใดได้เป็นเวลานาน
ร่างกายของมันพลันแข็งทื่อ แม้แต่แสงสว่างในดวงตาก็ไม่แปรเปลี่ยน!
ภาพฉายของจักรพรรดิความรู้ โรซายล์·กุสตาฟที่มันเชิญออกมา ได้ทรยศตัวมันเอง!
สำหรับผลลัพธ์เช่นนี้ ไคลน์ทั้งประหลาดใจและไม่
มันไม่ประหลาดใจเพราะนี่เป็นฝีมือของตน หนอนวิญญาณบนปราสาทต้นกำเนิดได้ทำการ ‘ปลูกถ่าย’ จิตใต้สำนึกของภาพฉายโรซายล์ เข้ากับโรซายล์ในสภาพปัจจุบันซึ่งไคลน์เพิ่งไปพบอีกฝ่ายมา!
ส่วนที่น่าประหลาดใจก็คือ อาดัมไม่ได้เตือนให้ซาราธระวังการใช้โรซายล์·กุสตาฟ
หลังจากไคลน์สังเกตเห็นความบังเอิญในบางสิ่งก่อนหน้านี้ หนึ่งในไพ่ตายที่ชายหนุ่มเตรียมไว้ก็คือ อาศัยการเชื่อมโยงระหว่างสัญลักษณ์ของเดอะฟูลที่อยู่ในผนึกของโรซายล์ ผ่านจุดแสงแห่งการสวดวิงวอน ส่งหนอนวิญญาณบรรจุเจตจำนงของตนลงไปปลุกสหายร่วมโลก อาศัยความช่วยเหลือจากพลังปาฏิหาริย์ ไคลน์สามารถระงับการกัดกร่อนจากมารดาเทพธิดาฯ ได้ชั่วคราว
ในเวลานั้น สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เท่าที่ไคลน์จะคิดมาตรการรับมือไว้ก็คือ: ตัวมันประสบอุบัติเหตุบางอย่างจนไม่สามารถติดต่อกับปราสาทต้นกำเนิดและหนอนวิญญาณบนปราสาทได้ รวมถึงไม่สามารถติดต่อกับหนอนวิญญาณจากทั่วโลก ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือตนได้เลย
เมื่อหนอนวิญญาณที่ไคลน์ฝากไว้กับโรซายล์เกิดกลายพันธุ์ โรซายล์จะทราบทันทีว่ามีบางสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้น เมื่อถึงตอนนั้น โรซายล์จะใช้พลังจักรพรรดิมืดเพื่อบิดเบือนให้หนอนวิญญาณของไคลน์ได้สติกลับคืนมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง
ส่วนคำถามที่ว่า โรซายล์และหนอนวิญญาณจะเลือกใช้วิธีใดเพื่อช่วยร่างต้นให้ไคลน์ ชายหนุ่มไม่ทราบเลย
และนั่นคือเหตุผลที่สามารถเก็บซ่อนแผนฆ่าตัวตายจากอาดัมได้!
จากประสบการณ์ในโถงแห่งความจริง ไคลน์ย่อมตระหนักได้ว่า ตนไม่สามารถมีความลับขณะเผชิญหน้ากับนักสร้างฝันได้ หากคิดแผนช่วยเหลือตัวเอง ไม่ว่าจะคิดหน้างานหรือคิดเตรียมไว้แล้ว ก็คงไม่แคล้วถูกอาดัมอ่านออกและขัดขวางแน่นอน
ด้วยระดับพลังในปัจจุบัน แผนเดียวที่ไคลน์จะช่วยเหลือตัวเองได้ คือการที่มันไม่รู้ว่าแผนนั้นคืออะไร
แน่นอน นักสร้างฝันอาดัมย่อมทราบว่าไคลน์ฝากหนอนวิญญาณเอาไว้ในสุสานจักรพรรดิมืดของโรซายล์·กุสตาฟ และทราบว่าไคลน์ทิ้งไพ่ตายใบสุดท้ายของตนไว้ที่นี่ เพียงแต่ว่า อาดัมไม่สามารถอ่านความคิดโรซายล์ได้ เพราะอีกฝ่ายถูกกัดกร่อนโดยมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม การแอบส่องโรซายล์ย่อมเท่ากับการแอบส่องเทพภายนอก!
นี่คือช่องว่างทางระดับตัวตน
ด้วยเหตุผลข้างต้น ไคลน์จึงวางใจและสอบถามความลับต่างๆ อย่างใจเย็น รวมถึงการนั่งถอดรหัสศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง ในแง่หนึ่ง นั่นเป็นข้อมูลที่ล่อตาล่อใจ ในอีกแง่หนึ่ง มันกำลังถ่วงเวลาเพื่อให้อีกฝั่งหาทางช่วยเหลือ ในขณะเดียวกัน ไคลน์ไม่ต้องการให้หัวว่าง ไม่อย่างนั้นคงเอาแต่คิดว่าจะช่วยเหลือตัวเองอย่างไร
มันค่อนข้างมั่นใจว่า การที่อาดัมยอมเล่าข้อมูลสำคัญจำนวนมาก เป็นเพราะอีกฝ่ายต้องการหลอกล่อให้ตนคิดหาวิธีช่วยตัวเองไปเรื่อยๆ หากมีวิธีใดที่อาจช่วยให้ไคลน์หนีออกไปสำเร็จ อาดัมก็จะทำการขัดขวางทันที
ดังนั้น ช่วงเวลาถามตอบในวิหารโครงกระดูกจึงเปรียบดังการต่อสู้ทางใจ และไคลน์ก็สามารถควบคุมตัวเองได้ตลอดรอดฝั่งจนรอดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบากได้ในที่สุด
ภายใต้สมมติฐานดังกล่าว อาดัมย่อมทราบว่าโรซายล์·กุสตาฟมีปัญหา แต่มันกลับไม่ได้ตักเตือนซาราธ!
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ไคลน์ก็ไม่คิดจะปล่อยให้โอกาสหลุดลอย มันยกไม้เท้าดวงดาวขึ้น เตรียมจำลองพลังของอามุนด์อย่างชำนาญ
ก๊อง!
นาฬิกาหินโบราณปรากฏขึ้น หน้าปัดแบ่งออกเป็นสิบส่วน สีเทาอ่อนและสีน้ำเงินเข้มสลับกัน แต่ละส่วนมีลักษณ์บอกเวลาที่แตกต่างกันไป
ก๊อง!
หนึ่งในสามเข็มเริ่มขยับ ร่างกายซาราธแข็งค้างอยู่กับที่
ไคลน์รีบจำแลงกายเป็นวังวนหนอนวิญญาณพร้อมกับเหยียดหนวดรยางค์ล่องหนออกไป กึ่งกลางวังวนมีบานประตูแสงแปลกประหลาด
บานประตูแห่งแสงไม่ขยับเขยื้อนแม้รอบๆ จะมีวังวนหนอนสีใส ด้วยแรงดึงดูดมหาศาล ตะกอนพลังในร่างของซาราธค่อยๆ ถูกดูดออกมา
นี่คือวิธีที่พาลีส·โซโรอาสเตอร์เคยใช้จัดการกับร่างโคลนของอามุนด์ เป็นการอาศัยระดับตัวตนที่สูงกว่าเพื่อสร้างแรงดึงดูดระหว่างพลัง!
ทีละเล็กละน้อย ตะกอนพลังของซาราธค่อยๆ หลุดออกมาด้วยความเร่ง และเมื่อซาราธเป็นอิสระจากภาวะเชื่องช้า ถึงตอนนั้นก็สายไปแล้ว ชาตะกรรมเดียวของมันคือการเฝ้ามองตัวเองดำดิ่งเข้าไปในวังวนอันมืดมิดของหนอนวิญญาณ!
ไม่กี่วินาทีถัดมา วังวนหนอนสีใสได้เปลี่ยนกลับไปเป็นไคลน์อีกครั้ง
ท่ามกลางสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ ร่างของซาราธปรากฏขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็มิอาจดึงตะกอนพลังตัวเองกลับไปได้ ลงเอยด้วย มันทำได้เพียงจางหายไป ยากที่จะยืนชีพอย่างสมบูรณ์
ไคลน์อาศัยผลลัพธ์จากพิธีกรรมซึ่งยังสลายไปไม่หมด เพื่อกลืนกินตะกอนพลังของซาราธโดยตรง!
มันต้องการตะกอนพลังอีกหนึ่งก้อนเพื่อลดอิทธิพลของราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชคในร่าง!
…
ขณะวิหารโครงกระดูกยังคงลอยท่ามกลางพายุสายฟ้า อาดัมเจ้าของเคราสีทองซีด แต่งกายในชุดคลุมสีขาวเรียบง่าย จู่ๆ ก็หายตัวไปโผล่ที่ชายทะเลริมซากสมรภูมิเทพ
น้ำทะเลแยกออกจากกัน ทางเดินเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น ปลายทางนำพาไปสู่จุดที่เป็นทะเลเลือดของเทพสุริยันบรรพกาล ยาวไปจนถึงภาพฉายของวังราชาคนยักษ์ ทางเข้าดินแดนเทพทอดทิ้ง
ในส่วนลึกของดินแดนเทพทอดทิ้ง บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ไม้กางเขนยักษ์ถูกวางตั้งเด่นตระหง่าน ด้านบนมีร่างหนึ่งถูกห้อยกลับหัว
(จบบทที่เจ็ด)