บทที่ 1268 ความทะเยอทะยานของอู่เยวี่ย + ตอนที่ 1269 อยากถ่ายละคร

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 1268 ความทะเยอทะยานของอู่เยวี่ย + ตอนที่ 1269 อยากถ่ายละคร โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 1268 ความทะเยอทะยานของอู่เยวี่ย

เหมยเหมยมองหูโทรศัพท์ที่มีเสียงตู้ด ๆส่งผ่านมาพลันถอนหายใจอย่างห่อเหี่ยวใจ แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมาดีอกดีใจอีกครั้ง

อีกแค่อาทิตย์เดียวก็จะได้เห็นหน้าเหยียนหมิงซุ่นแล้ว ทุกครั้งที่ภารกิจเสร็จสิ้น เขาก็จะสามารถหยุดได้นานจนเกือบครึ่งเดือน เพียงพอที่จะลบล้างความทุกข์ทรมานจากความคิดถึงที่เธอมีได้!

พูดถึงเหยียนโฮ่วเต๋อแล้วเจอเหมยเหมยถางถางใส่ ก็คอตกกลับบ้านไป ทั้งยังถูกถานซูฟางดึงตัวมาถามอีก

“เป็นอย่างไรบ้าง? ถามแล้วได้ความไหม? คุณชายหมิงนั่นใช่เหยียนหมิงซุ่นไหม?”

เหยียนโฮ่วเต๋อส่ายหน้าตอบ ทั้งยังตะคอกเสียงดังด้วยความโกรธ “นางเด็กบ้าจ้าวเหมยนั่นไม่ยอมปริปากพูดเลย พูดเพียงแต่ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ทำให้ฉันต้องถูกแม่ดุไปด้วยอีกต่างหาก”

“คุณนี่แม้แต่เด็กก็รับมือไม่ได้? คุณคิดว่าตัวคุณจะไปทำอะไรได้อีก?”

ถานซูฟางฟาดลงบ่าของเขาอย่างผิดหวัง ช่างเป็นของไร้ค่าเสียจริง เรื่องแค่นี้ก็ยังเค้นถามไม่ได้

หลายปีมานี้เหยียนโฮ่วเต๋อการงานไม่ค่อยราบรื่นนัก เพื่อนร่วมงานของเขาบัดนี้ต่างก็ได้เลื่อนขั้นไปสูงกว่าเขาแล้ว มีเพียงเขาที่ยังคงย่ำอยู่กับที่ เป็นรองหัวหน้าจวนจะสิบปีแล้ว ไม่ต้องเลยว่าในใจของเหยียนโฮ่วเต๋อนั้นจะอึดอัดมากถึงเพียงไหน!

เขาเคยไปหาจ้าวอิงหัวอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เคยเจอเลยสักครั้ง ทุกครั้งต้องเป็นเลขาโจวที่ออกมาต้อนรับอยู่เรื่อย คำพูดน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาช่างงดงาม แต่กลับไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด

ดังนั้นเมื่อเหยียนโฮ่วเต๋อที่หมดหวังได้รู้ข่าวของลูกชายที่เป็นดั่งความหวัง จึงไม่แปลกที่จะตื่นตาตื่นใจ อีกทั้งยังตื่นเต้นเรื่องเหยียนหมิงซุ่นอีกด้วย!

ยังดีที่สวรรค์ไม่ทอดทิ้งเขาไป!

ถานซูฟางเองก็ดีใจไม่ต่างกัน หน้าที่การงานของเธอเองก็ไม่ก้าวหน้า แบกตำแหน่งรองหัวหน้าอาจารย์แพทย์กุมารเวชมาสิบกว่าปี ทุกครั้งที่มีการประเมิน หากว่าตรงนั้นไม่เกิดปัญหาตรงนี้ก็มีปัญหาและเป็นแบบนี้ทุกปีอยู่ร่ำไป

ทั้งสองสามีภรรยาต่างก็คิดว่าหลายปีมานี้พวกเขาดวงไม่ดี พวกเขาทั้งคู่เลยต้องแบกรับความโชคร้ายนี้ไว้

ตอนนี้เหยียนหมิงซุ่นแกร่งขึ้น พวกเขาจึงคิดว่าโชคลาภกำลังมาถึง ดีใจเสียยิ่งกว่าใคร เฝ้ารอคอยให้เหยียนหมิงซุ่นพาพวกเขาขึ้นไปบนปุยเมฆ

“ไม่ได้การล่ะ คุณเหยียน คุณต้องทำให้ความสัมพันธ์ของคุณและเหยียนหมิงซุ่นกลับมาดีอีกครั้ง ฉันว่าเรื่องนี้เป็นความจริงเกินครึ่งแน่นอน คุณลองคิดดูนะ หากว่าหมิงซุ่นเป็นเพียงแค่ทหารชั้นผู้น้อย ท่านผู้ว่าจะยินยอมให้ลูกตนคบหากับเหยียนหมิงซุ่นเหรอ?” ถานซูฟางเอ่ยอย่างแน่วแน่

เหยียนโฮ่วเต๋อตกตะลึงไปชั่วครู่ แล้วตบขาตัวเองอย่างฮึกเหิม

นั่นสิ ทำไมเขาถึงคิดไม่ได้ล่ะ!

ตระกูลสูงส่งมักจะให้ความสำคัญต่อชาติตระกูล จ้าวอิงหัวจะต้องรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของเหยียนหมิงซุ่นแล้วเพราะงั้นถึงได้ยินยอมให้ลูกสาวตนคบหากับลูกชาย ทำไมเขาถึงดูไม่ออกตั้งแต่แรกนะ!

หากว่าดูออกไปเมื่อสองปีก่อน ไม่แน่ว่าตอนที่หัวหน้าเกษียณอายุ คนที่จะขึ้นแทนก็อาจจะเป็นเขา!

“แล้วตอนนี้ต้องทำอย่างไรต่อ?” เหยียนโฮ่วเต๋อถามภรรยา เขาคิดว่าเรื่องพวกนี้ภรรยาน่าจะถนัดกว่าเขา

ถานซูฟางเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ย “ไม่ต้องรีบหรอก เพราะถึงอย่างไรคุณก็คือพ่อแท้ๆ ของเหยียนหมิงซุ่น เขาไม่มีทางไม่ยอมรับคุณหรอก? ยิ่งคนที่มีฐานะสูงส่งก็ยิ่งให้ความสนใจต่อชื่อเสียง หากว่าเขาไม่ทำดีต่อคุณ คุณก็แค่ออกไปแฉว่าเขาเป็นคนอกตัญญู แล้วมาดูสิว่าเขาจะห่วงหน้าตาศักดิ์ศรีตัวเองไหม!”

เหยียนโฮ่วเต๋อลังเลไปพักหนึ่ง ภายในใจเกิดการปะทะอย่างสับสน สุดท้ายความปรารถนาในการเลื่อนตำแหน่งก็ชนะไป

“เอาตามนี้แหละ รอให้เหยียนหมิงซุ่นกลับมา ฉันจะให้เขาขับไสไล่ส่งหัวหน้าตอนนี้ไปเสีย อายุน้อยกว่าฉันตั้งสิบแปดปีมีสิทธิ์อะไรมาออกคำสั่งฉัน!” เหยียนโฮ่วเต๋อสบถด่าออกมา

ถานซูฟางรีบเอ่ย “ยังมีตำแหน่งหัวหน้าอาจารย์แพทย์ของฉันด้วยนะ คุณอย่าลืมพูดล่ะ”

ทางฝั่งอู่เยวี่ยและหานป๋อหย่วนนั้นก็เร้าร้อนไม่แพ้กัน เธอบอกให้หานป๋อหย่วนพูดกับอู่เจิ่งซือเรื่องบทตัวละคร เพื่อช่วยอู่เยวี่ยหาเงินให้ได้มาก ๆ แน่นอนว่าหานป๋อหย่วนเองก็เต็มใจที่จะช่วยพูดเกลี้ยกล่อมให้ แต่ผลงานฟอร์มยักษ์เช่นนี้ นางเอก นางรอง หรือนางรองคนที่สามต่างก็ถูกกำหนดไว้นานแล้ว อู่เจิ้งซือจะเอาสิทธิ์นั้นมาจากไหนเล่าจึงทำได้แค่ไปหาเหมยซูหาน

พูดง่ายๆ ก็คือเขาเองก็อยากให้อู่เยวี่ยมีชื่อเสียง ถึงอย่างไรเสียก็เป็นลูกสาวแท้ ๆ ในเมื่อเอาดีด้านการเรียนไม่ได้ งั้นก็ไหลไปตามแม่น้ำอีกสายแล้วกัน!

ถ้าหากว่ามีชื่อเสียงขึ้นมาก็นับว่าเป็นหน้าเป็นตาให้เขาเช่นกัน!

……………………………………………………..

ตอนที่ 1269 อยากถ่ายละคร

เหมยซูหานเตรียมที่จะไปพบอู่เยวี่ยเพื่อพูดคุยเรื่องการแต่งงานจอมปลอม แต่อู่เจิ้งซือดันมาหาเขาเสียก่อน หลายวันมานี้เขาหาเวลาเข้าบริษัทเพื่อตรวจสอบบัญชีและสถานการณ์ของกิจการ

“เยวี่ยเยวี่ยอยากถ่ายละคร? นี่เป็นความคิดของตัวเธอเองเหรอครับ?” เหมยซูหานเอ่ยถามปะปนสงสัย

อู่เยวี่ยในความฝันดูถูกอาชีพนักแสดงเป็นที่สุด ทั้งยังบอกอีกว่านักแสดงเป็นเพียงหมาก นักแสดงหญิงล้วนแล้วแต่เป็นพวกโสเภณี เธอมักจะดูแคลนเอามาก แล้วทำไมตอนนี้ถึงอยากเข้าวงการได้เล่า?

อู่เจิ้งซือพยักหน้า “ใช่แล้วล่ะ อู่เยวี่ยอยากแสดงเป็นอี้เฟยเรื่องตำนานราชวงศ์ เพียงแต่บทบาทของอี้เฟยนั้นถูกกำหนดนักแสดงไปแล้ว”

“ผมรู้ครับ นักแสดงที่รับบทอี้เฟยผมเป็นคนคัดเลือกเอง ครูอู่ครับละครเรื่องนี้ผมให้ความสำคัญมาก และผมก็หวังที่จะเข้าชิงรางวัลด้วย ดังนั้น…นักแสดงทุกคนจะต้องจบปริญญาภาคแสดงมา และที่สำคัญต้องมีฝีมือในการแสดง”

เหมยซูหานเน้นที่คำว่าปริญญาอย่างหนัก ละครเรื่องนี้ถือเป็นอีกเรื่องที่เขาขบคิดอยู่นานกว่าจะตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์มาดัดแปลงเอง ในฝันเขาจดจำได้เป็นอย่างดี ละครเรื่องนี้ฉายและโด่งดังไปทั่วประเทศ รวมทั้งได้รับรางวัลมากมายจนนับไม่ถ้วน

หากว่าบริษัทของเขาถ่ายทำละครเรื่องนี้ผลกำไรที่ได้มานั้นคงไม่ต้องพูดถึง ส่วนเรื่องได้รับรางวัลยิ่งไม่ต้องพูด เพราะนักแสดงที่เขาคัดสรรค์มานั้นไม่ต่างไปจากในฝันเลย ผู้กำกับก็ด้วย เพียงแต่ไม่ใช่โปรดิวเซอร์คนเดียวกัน

เขามั่นใจเลยว่าละครเรื่องนี้จะมีผลทำให้บริษัทของเขาก้าวหน้าไปอีกขั้น

อู่เจิ้งซือมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเข้าใจในความหมายที่เหมยซูหานสื่อนั่นก็คือรังเกียจที่อู่เยวี่ยไม่มีใบจบ

อู่เจิ้งซือรู้สึกไม่ดีนัก อย่ามองแค่ว่าเขาเป็นผู้จัดการบริษัท ฟังดูก็แค่ดูดีหน่อย แต่หากเรื่องราวสำคัญอะไรล้วนต้องฟังคำสั่งจากเหมยซูหาน เขาไม่มีอำนาจแม้แต่น้อย

ตัวอย่างเช่น การเลือกนักแสดงของละครเรื่องนี้ เขายื่นมือเข้าไปยุ่มย่ามไม่ได้แม้แต่น้อย ตอนนี้ลูกสาวของเขาอยากแสดงเป็นหญิงกำนันยังทำไม่ได้เลย ตำแหน่งหัวหน้าผู้จัดการของเขาจะมีความหมายอะไร?

อู่เจิ้งซือตีหน้านิ่งขรึมไม่พอใจต่อเหมยซูหานเอามาก แต่เขาเป็นเก็บอารมณ์ ไม่แม้แต่จะแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้าเลยสักนิด

เหมยซูหานจึงรู้สึกแปลกใจพลันเอ่ยถาม “แล้วทำไมครูถึงไม่เกลี้ยกล่อมเยวี่ยเยวี่ยล่ะครับ? เธอไม่ได้จบปริญญา แล้วก็ไม่มีความสามารถด้านการแสดงด้วย ในวงการบันเทิงไม่ได้อยู่ง่ายขนาดนั้นนะครับ!”

อู่เยวี่ยในชีวิตจริงแต่งหน้าแต่งตัวได้สวยดูดี แต่ในวงการบันเทิงหญิงงามราวปุยเมฆนั้น จากรูปลักษณ์หน้าตาของเธอเกรงว่าจะไม่เป็นที่สะดุดตาของผู้ชมเลย

อีกทั้งเธอไม่มีความสามารถที่โดดเด่นเลย ทั้งยังเป็นกลุ่มผู้พิการอีกด้วย และที่สำคัญไปกว่านั้น…

เรื่องที่เกิดขึ้นในคลับวันนั้นหากถูกเปิดเผยออกไป จะต้องมีผลต่อภาพลักษณ์ของบริษัทแน่ เขาไม่กล้าที่รับนักแสดงเช่นนี้ไว้หรอก

อู่เจิ้งซือฟังความหมายในคำพูดของเหมยซูหานออก ในใจยิ่งรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม ในช่วงเวลาแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นวงการไหน แค่มีคนคอยให้ความช่วยเหลือ ต่อให้เป็นเพียงขอทานข้างถนนก็สามารถเป็นนักแสดงที่โด่งดังได้

อีกอย่างอู่เยวี่ยมีส่วนไหนที่บกพร่องหรือ รูปลักษณ์หน้าตาเพียบพร้อม ฉลาดหลักแหลม หากว่าบริษัทให้การช่วยเหลือมีหรือที่จะไม่โด่งดัง?

“เหอะๆ ฉันก็คิดเหมือนซูหานนั่นแหละ เพียงแต่เจ้าอู่เยวี่ยอยากแสดงละครขึ้นมากะทันหัน อีกทั้งคู่หมั้นของเธอก็พร้อมที่จะสนับสนุน ลูกสาวโตขึ้นมากแล้วก็มีความคิดเป็นของตัวเอง!”

อู่เจิ้งซือกลั้วหัวเราะออกมา โดยไม่แม้แต่จะสนใจต่อหน้าที่ของตนเอง

เหมยซูหานเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ “คู่หมั้น? เยวี่ยเยวี่ยหมั้นตั้งแต่เมื่อไหร่? กับใคร?”

“เหมยซูหานคงจะเคยได้ยินชื่อตระกูลหานที่เมืองหลวงใช่ไหม? เยวี่ยเยวี่ยหมั้นหมายกับหานป๋อหย่วน หลานชายตระกูลหาน ฉันและเจ้าเด็กป๋อหย่วนนั่นเคยกินข้าวด้วยกันไม่กี่มื้อ แม้ว่าร่างกายจะดูอ่อนแอไปบ้าง แต่ก็นับว่านิสัยใจคอและการเรียนก็ดีใช้ได้เลย ไม่มีมาดผู้ดีสูงส่งที่ทำตัววางท่าเลยแม้แต่น้อย เป็นชายหนุ่มที่ถือว่าไม่เลวเลย!”

อู่เจิ้งซือแสดงสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องอย่างได้ใจ เขาพอใจต่อหานป๋อหย่วนอยู่มาก แต่กลับไม่เห็นสีหน้าประหลาดใจของเหมยซูหาน

………………………………………………..