ราชันเร้นลับ 1362 : สักขีพยาน

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ในฐานะผู้วิเศษซึ่งเข้าร่วมหน่วยข่าวกรองของอินทิสในนามสมาชิกลัทธิเร้นลับ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อองตวนเผชิญเหตุการณ์คล้ายคลึงกัน

ในอดีต ทุกครั้งที่เลื่อนลำดับ มันจะได้ยินเสียงเพรียก ‘โฮนาซิส… เฟรเกีย… โฮนาซิส… เฟรเกีย…’ จนเกือบคลุ้มคลั่งไปหลายหน

แต่ไม่เหมือนกับคราวก่อน เนื้อหาของเสียงเพรียกเปลี่ยนแปลงไป

หลังจากเสียงเพรียกสงบลง ทัศนวิสัยของมันกลับเป็นปรกติ อองตวนพึมพำกับตัวเองพลางขมวดคิ้ว:

สภาพจิตใจของเราเป็นปรกติมาสักระยะแล้ว แถมยังไม่ได้ดื่มโอสถหรือพยายามเลื่อนลำดับ ทำไมถึงได้ยินเสียงเพรียกจากตัวตนลึกลับ?

เนื้อหาดูจะต่างไปจากคราวก่อน…

ออร์เวลล์หมายถึงอะไร? เรามีข้อมูลไม่มากพอที่จะถอดรหัส…

ดีแลน… ดีแลน… หืม… เบื้องบนของลัทธิเคยกล่าวว่า ผู้นำลึกลับและน่าสะพรึงของเราเคยซ่อนตัวอยู่ในปราสาทโบราณชื่อดีแลน…

เฮ้อ… เมื่อหวนนึกถึงตัวตนดังกล่าว เราอดไม่ได้ที่จะขวัญผวา แม้ท่านผู้นั้นจะกลับมาเป็นปรกติในช่วงสองปีหลัง แต่ตำนานอันน่าสะพรึงและการทำลายล้างเชิงกายภาพที่เขาสร้างขึ้น ก็เพียงพอที่จะมอบฝันร้ายชั่วชีวิตให้แก่ผู้คน…

อองตวนสงบสติอารมณ์ สลัดความสงสัยชั่วคราว ดำเนินการมอบหมายงานให้ลูกน้องต่อไป

หน้าป้ายหลุมศพ ไคลน์ซึ่งเพิ่งวางช่อดอกไม้สีขาวลง เบือนศีรษะเล็กน้อยคล้ายกำลังเงี่ยหูฟังบางสิ่ง

แม้จะไม่ได้ยินอะไรเลย แต่ในฐานะราชาเทวทูตซึ่งถือครองอำนาจของเส้นทางตัวเอง มันสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีบางสิ่งไม่ปรกติ คล้ายกับข้อความลับบางชนิดถูกส่งผ่านไปยังเป้าหมายหนึ่ง

ซาราธยังไม่ร่วงหล่นโดยสมบูรณ์? ไคลน์ถอนสายตากลับ พึมพำกับตัวเอง

ในช่วงเวลาดังกล่าว ไคลน์อาศัยระดับตัวตนและอำนาจเพื่อยับยั้งมิให้ซาราธดำเนินการคืนชีพ และไม่พบว่ามีความผิดปรกติใดเกิดขึ้น แต่หลังจากนึกทบทวนตัวเองในภายหลัง มันพบปัญหาเล็กน้อย:

ตะกอนพลังที่มันได้มาจากศพของซาราธ เป็นก้อนสมบูรณ์ตั้งแต่ลำดับ 9 ถึง 1

กล่าวคือ ภายในตะกอนพลังดังกล่าว มีตะกอนพลังของผู้ชี้นำปาฏิหาริย์เพียงก้อนเดียว

และอสรพิษปรอท วิล·อัสติน เคยกล่าวไว้ว่า ทั้งซาราธและบรรพชนของอันทีโกนัส ล้วนถือครองตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ไว้มากกว่าหนึ่ง

สถานการณ์จึงค่อนข้างไม่ปรกติ เป็นที่แน่ชัดว่าตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์อีกหนึ่งก้อนที่อยู่ในมือซาราธได้หายไป ส่วนคำถามที่ว่า อีกฝ่ายมีตะกอนพลังของจอมเวทพิสดารและปราชญ์โบราณมากกว่าหนึ่งก้อนด้วยหรือไม่ ไคลน์ไม่ทราบเนื่องจากยังมีข้อมูลของซาราธไม่มากพอ

จากสถานการณ์ดังกล่าว ไคลน์จึงสงสัยว่าซาราธอาจยังร่วงหล่นไม่สมบูรณ์

แต่แน่นอน หากอีกฝ่ายต้องการคืนชีพ นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการใช้วิธีคืนชีพแบบทั่วไปจะยังขาดอำนาจการ ‘ปกปิด’ ที่มิดชิด ตัวตนระดับสูงกว่าบนเส้นทางเดียวกันย่อมตระหนักถึงอย่างมิอาจเลี่ยง และจะลงมือขัดขวางได้ทันเวลา

เมื่อคำนึงว่าซาราธสามารถสกัดตะกอนพลังลำดับ 2 ออกมาได้ แปลว่ามันลงมือทำขณะอยู่ในลำดับ 1 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว มีเพียงไม่กี่ตัวตนที่สามารถเป็นภัยคุกคามต่อมันได้ แต่ทุกคนล้วนรับมือได้ยาก ชนิดที่แม้แต่ซาราธก็ห้ามประมาทในทุกลมหายใจ

ดังนั้น ไคลน์จึงเชื่อว่าอีกฝ่ายคงหาทางใช้ประโยชน์จากตะกอนพลังซึ่งถูกสกัดออกไป แต่แทนที่จะคืนชีพโดยตรง ซาราธน่าจะใช้มันเพื่อเตรียมการในหลายสิ่ง และจำเป็นต้องสบโอกาสหรือมีสื่อกลาง จึงจะประสบความสำเร็จ

ดูเหมือนว่าเจ้านั่นจะซ่อนตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ไว้ที่ใดสักแห่งและผนึกด้วยวิธีการพิเศษ ไม่อย่างนั้น เมื่อครั้งที่เราเลื่อนลำดับเป็นบริวารเร้นลับ ก็ต้องมองเห็นตะกอนพลังโดยตรงผ่านปราสาทต้นกำเนิด…

ใช่แล้ว ขั้นตอนถัดไปต้องการเป็นชี้นำให้เป้าหมายสักคน คืนชีพตนด้วยวิธีการลับๆ ซึ่งไม่เคยเปิดเผยกับใครมาก่อน… หึหึ ซาราธมิได้ถือครองเอกลักษณ์ของเส้นทาง จึงไม่สามารถ ‘กระจายเสียง’ ออกไปเป็นวงกว้างได้ นอกจากนั้น มันยังต้องระวังมิให้เราหรืออามุนด์ได้ยินข้อความดังกล่าว เพื่อป้องกันการถูกขัดขวางขณะคืนชีพ ดังนั้น เป้าหมายที่ซาราธสามารถชี้นำได้จึงเหลืออยู่ไม่มาก… สมาชิกทั้งหมดของลัทธิเร้นลับ? หรือแค่บางส่วน? ไคลน์ซึ่งกำลังคุกเข่าหนึ่งข้าง พยักหน้าอย่างครุ่นคิด

มันถอนหายใจออก รำพันอย่างไม่ปกปิด

“ทำไมผู้วิเศษของเส้นทางนักทำนายถึงตายยากตายเย็นนักนะ”

ทุกคนล้วนมีกลเม็ดและไพ่ตายเตรียมไว้เสมอ

สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจว่า เหตุใดเทพธิดาถึงไม่ลงมือฆ่าบรรพชนอันทีโกนัสให้สิ้นเรื่อง:

สำหรับฮาล์ฟฟูล ความตายอาจหมายถึงชีวิตใหม่!

อย่างไรก็ดี เมื่อเป็นเส้นทางที่เก่งกาจหากได้เตรียมตัว นั่นหมายความว่านักทำนายจะไม่ถนัดการเผชิญความเสี่ยง บางที แผนการคืนชีพของซาราธอาจไม่ซับซ้อนอย่างที่เราคิด… หึหึ สมาชิกลัทธิเร้นลับคนใดจะได้เป็นผู้โชคดี? วิธีนี้มีแนวโน้มสูงกว่าการคืนชีพอย่างน่าอัศจรรย์ผ่านสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์เสียอีก เพราะวิธีหลังอาจถูกอิทธิพลและการแทรกแซงจากเทพภายนอกก่อกวน… ไคลน์เย้ยหยันในใจขณะลุกขึ้นยืน

ปัจจุบัน ชายหนุ่มยังไม่มีความคิดที่จะตามหาตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ที่หายไป เนื่องด้วยแรงกดดันอันมหาศาลจาก ‘ข้อผิดพลาด’ อามุนด์ ไคลน์จำเป็นต้องเร่งมือสร้างเสถียรภาพให้กับความเป็นคน และลงมือสำรวจเมืองกัลเดรอนในส่วนลึกของโลกวิญญาณ นำน้ำจากแม่น้ำอันธการนิรันดร์กลับมา จากนั้นก็เริ่มดำเนินการปรองดองกับเอกลักษณ์ของเดอะฟูล ตอนนี้จึงไม่มีเวลามัวสนใจเรื่องเล็กๆ

ไว้ไคลน์ประสบความสำเร็จในการยกระดับตัวเอง และรักษาเสถียรภาพของจิตใจเมื่อไร มันก็ไม่รังเกียจที่จะเดินทางไปยังอินทิสเพื่อเริ่มสืบสวนจากสมาชิกของลัทธิเร้นลับ ตามหา ‘ขุมทรัพย์’ ที่ซาราธซ่อนไว้ และส่งเทวทูตจากยุคสมัยที่สี่ให้หลับสบายไปตลอดกาล

หลังจากสลัดความคิดและจดจ้องหลุมศพตรงหน้าสักพัก ไคลน์บรรจงก้าวถอยหลัง สอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ เดินเข้าสู่โลกวิญญาณ

ปัจจุบัน มันเปรียบดังนักท่องเที่ยวตัวจริงเสียจริงในเชิงศาสตร์เร้นลับ ในบางครั้ง ชายหนุ่มจะเดินทางไปยังสถานที่เก่าๆ จากความทรงจำ บางครั้งก็อาศัยการชี้นำของโชคชะตา ท่องไปตามโลกวิญญาณและโลกความจริงที่แตกต่าง ได้เห็นฉากต่างๆ มากมาย

ลงเอยด้วย ส่วนหนึ่งของการตระหนักรู้ในตัวไคลน์ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาและทวีความเข้มแข็ง สามารถร่วมมือกับหลักยึดเหนี่ยวเพื่อกำราบเจตจำนงของราชันสวรรค์ฟันดินซึ่งกำลังฟื้นตัวได้ในระดับหนึ่ง

ส่งผลให้สภาพจิตใจมั่นคงกว่าเมื่อครั้งที่ได้เข้าเฝ้าเทพธิดารัตติกาลพอสมควร

ท่ามกลางโลกวิญญาณซึ่งเต็มไปด้วยแสงสีสันฉูดฉาดซ้อนทับ ราวกับอยู่ในโลกแห่งภาพวาดสีน้ำมันนามธรรม ไคลน์เตร็ดเตร่อย่างไร้จุดหมายไปในทุกทิศทาง

จากนั้น อาศัยการชักนำจากโชคชะตาและสัมผัสวิญญาณ ชายหนุ่มออกจากมิติปัจจุบันและกลับสู่โลกความจริง

ภาพแรกในการมองเห็นก็คือ จัตุรัสขนาดเล็กและวิหารของเทพธิดารัตติกาล

ปัจจุบัน ผู้คนกำลังทยอยเข้าไปในวิหารด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข

กลับมาที่เบ็คลันด์? ไคลน์แหงนหน้ามองดวงอาทิตย์ซึ่งพยายามส่องแสงทะลุเมฆบาง ก่อนจะเดินตามผู้คนไปยังประตูวิหาร

ทันทีที่ย่างกรายผ่านทางเข้า ดวงตาของมันมีอันต้องชะงัก

ไคลน์เห็นเบ็นสัน

เบ็นสัน·โมเร็ตติ

บุรุษผมดำ ดวงตาสีน้ำตาลรายนี้มีใบหน้าคล้ายคลึงไคลน์อยู่หลายส่วน จุดต่างเพียงหนึ่งเดียวคือทรงผมที่หวีผมเรียบไปด้านหลังจนเผยให้เห็นหน้าผากเถิกกว้าง

มันกำลังยืนข้างแท่นบูชา สวมชุดรีดเรียบเนียนกริบ กิริยาท่าทางค่อนข้างประหม่า

ไคลน์จ้องเล็กน้อยก่อนจะรีบถอนสายตากลับ

จากนั้น มันกวาดสายตาจนกระทั่งพบกับเมลิสซ่าผู้แต่งกายในเดรสสีขาวนวลล้าสมัย

เมื่อเทียบกับสมัยก่อน ใบหน้าของหญิงสาวดูมีอายุมากขึ้น แถมยังมีเนื้อมีหนัง ไม่ผอมซูบเหมือนในอดีต

เธอสนทนากับผู้คนตลอดเวลา จัดการสิ่งต่างๆ ให้แต่ละบุคคลอย่างชำนาญ

“แต่งตัวเชยชะมัด… โชคดีที่ไม่ได้ใส่สีดำ…” ไคลน์พึมพำกับตัวเอง เดินไปยังมุมห้องโถงเพื่อหาที่นั่ง

ผ่านไปราวสิบนาที เมลิสซ่าเสร็จหน้าที่อันยุ่งวุ่นวายและกลับมายังตำแหน่งของเธอ

เสียงดนตรีอันรื่นเริงในตอนต้น ค่อยๆ เจือความศักดิ์สิทธิ์ทีละนิด

สตรีในชุดแต่งงานบริสุทธิ์ผุดผ่อง เดินควงแขนบิดามารดาเข้ามาทางประตู เดินไปตามทางเดินจนกระทั่งถึงแท่นบูชา

เบ็นสันซึ่งยืนอยู่ใกล้แท่นบูชา กลืนน้ำลายอึกใหญ่พลางยิ้มอย่างมิอาจควบคุม

นี่คืองานแต่งของมัน

ได้เห็นฉากดังกล่าว ไคลน์ผู้นั่งอยู่ตรงมุมห้องโถง โน้มตัวลงพลางก้มศีรษะ ตามด้วยพึมพำเสียงแผ่ว:

“หมอนั่นยิ้มยังกับลิงบาบูนขนหยิก…”

หลังจากพ่อแม่เจ้าสาวมาส่งถึงหน้าแท่นบูชา เธอหันไปคำนับเบ็นสัน ก่อนจะหันหน้าเข้าหาตราศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพธิดาและนักบวช

เบ็นสันก้มศีรษะลงและหันหน้าไปในทิศทางเดียวกัน

เมื่อพ่อแม่เจ้าสาวกลับไปนั่งที่ นักบวชกล่าวขึ้น

“ภายใต้สายพระเนตรแห่งความเมตตาของเทพธิดา เพื่อนสนิทและครอบครัวทั้งหลาย พวกเราทุกคนล้วนมารวมตัวกันที่นี่เพื่อเป็นสักขีพยานในพิธีการสมรสอันศักดิ์สิทธิ์”

“เทพธิดาจงเจริญ” แขกที่มาร่วมงานซึ่งเชื่อในเทพธิดารัตติกาล ต่างยกมือขวาขึ้นพร้อมกันและแตะหน้าอกสี่จุดตามเข็มนาฬิกา วาดเป็นสัญลักษณ์ดวงดาว

แน่นอนว่าไคลน์ก็ด้วย

เมื่อทุกคนสงบลง นักบวชหันไปทางเจ้าสาวและกล่าว

“ลูซี่·บรู๊ก คุณจะรับสุภาพบุรุษด้านข้าง เบ็นสัน·โมเร็ตติ เป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมาย และสัญญาว่าจะรักและทะนุถนอมเขา ไม่ว่าจะยากจน ร่ำรวย ป่วยไข้ หรือแข็งแรง จะคอยให้ความเคารพเขา คอยอยู่เคียงข้างเขา และคอยดูแลเขาไปชั่วชีวิตหรือไม่?”

สตรีนามว่าลูซี่ จ้องไปยังตราศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพธิดารัตติกาลพร้อมกับกล่าวเสียงขรึม:

“รับค่ะ”

รอยยิ้มกลับมาปรากฏบนใบหน้าเบ็นสันอีกครั้ง

นักบวชหันมาจ้องเบ็นสันและกล่าว

“เบ็นสัน·โมเร็ตติ คุณจะรับสุภาพสตรีด้านข้าง ลูซี่·บรู๊ก เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย และสัญญาว่าจะรักและทะนุถนอมเธอ ไม่ว่าจะยากจน ร่ำรวย ป่วยไข้ หรือแข็งแรง จะคอยให้ความเคารพเธอ คอยอยู่เคียงข้างเธอ และคอยดูแลเธอไปชั่วชีวิตหรือไม่?”

เบ็นสันรีบพยักหน้าหนักแน่น

“รับครับ!”

ได้ยินประโยคดังกล่าว ดวงตาเมลิสซ่าพลันเปียกชุ่ม หญิงสาวรู้สึกใจหายเจือความสุข

หลังจากผ่านสุขและทุกข์มานับไม่ถ้วน ในที่สุดครอบครัวของเธอก็มีโอกาสได้ต้อนรับสมาชิกใหม่

ทันใดนั้นเอง เมลิสซ่าหันหน้าตามจิตใต้สำนึก จดจ้องไปยังม้านั่งที่ว่างอยู่

เมลิสซ่าเม้มปากเล็กน้อยพลางส่ายหน้า

หลังจากกวาดสายตาไปมาสักพัก หญิงสาวบรรจงเบือนหน้ากลับมายังแท่นบูชาอีกครั้ง

จนกระทั่งนักบวชประกาศว่า พิธีการสมรสดำเนินมาถึงจุดที่เบ็นสันและลูซี่กลายเป็นสามีภรรยาตามกฎหมาย เมลิสซ่าจึงเผยรอยยิ้มอีกครั้ง

แคว้นเชสเตอร์ตะวันออก ภายในคฤหาสน์ตระกูลฮอลล์ ร่างของไคลน์เดินออกจากความว่างเปล่า

เมื่อจิตใจสงบลงในระดับหนึ่ง ถึงเวลาที่ต้องเข้ารักษาจากจิตแพทย์ นอกจากนั้น ชายหนุ่มยังต้องการสะสางบางปัญหา

…………………………