บทที่ 601.2 ลูกศิษย์กับนักเรียนไปพบครูและอาจารย์

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ความหมายคร่าวๆ ของเว่ยป้อ เฉินหน่วนซู่จะต้องเข้าใจกระจ่างชัดที่สุด เพียงแต่โดยทั่วไปแล้วนางจะไม่เป็นฝ่ายเอ่ยอะไรก่อน ต่อมาก็เป็นเผยเฉียน เพราะทุกวันนี้นางเองก็ไม่แย่ ถึงอย่างไรหลังจากที่พ่อครูจากไป นางก็ไม่อาจไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนได้อีก ก็เลยเปิดหนังสือหลายเล่มอ่านเอาเอง ตำราที่อาจารย์พ่อ*ทิ้งไว้ในชั้นหนึ่งนางอ่านจบหมดแล้ว จากนั้นก็มีตำราบางส่วนที่ให้หน่วนซู่ช่วยซื้อมาให้ ถึงอย่างไรนางก็ไม่สนสี่สนแปดอะไรทั้งนั้น ท่องไว้ก่อนค่อยว่ากัน ในเรื่องของการท่องตำราจดจำสิ่งของนั้น เผยเฉียนเชี่ยวชาญกว่าเฉินหน่วนซู่เสียอีก หากไม่เข้าใจหรือเข้าใจแค่ครึ่งๆ กลางๆ ก็จะข้ามไปก่อน เผยเฉียนเองก็ไม่ได้สนใจมากนัก บางครั้งหากอารมณ์ดีก็จะถามคำถามจากพ่อครัวเฒ่า แต่ไม่ว่าอย่างไร เผยเฉียนก็มักจะรู้สึกว่าหากเปลี่ยนมาเป็นอาจารย์พ่อที่เป็นคนตอบคำถาม คงจะดีกว่านี้มาก ดังนั้นจึงค่อนข้างรังเกียจการถ่ายทอดความรู้และไขข้อข้องใจจากพ่อครัวเฒ่าที่มีความรู้แค่ครึ่งๆ กลางๆ อยู่บ้าง ไปๆ มาๆ พ่อครัวเฒ่าก็หมดอาลัยตายอยากไปเอง มักจะชอบพูดจาไร้สาระว่าความรู้ของตัวเขาไม่ได้แย่ไปกว่าของอาจารย์จ้งเลย แน่นอนว่าเผยเฉียนย่อมไม่เชื่อ จากนั้นมีครั้งหนึ่งที่ทำกับข้าว พ่อครัวเฒ่าก็เลยจงใจใส่เกลือมากกว่าปกติ

เฉินหน่วนซู่เดินเอาเมล็ดแตงกำมือหนึ่งไปส่งให้เว่ยป้อ

เว่ยป้อเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยื่นสองมือออกไปรับ จากนั้นก็เอนหลังพิงราวรั้ว เริ่มแทะเมล็ดแตงพลางคุยเล่นกับแม่นางน้อยทั้งสาม

บนฝ่ามือข้างหนึ่งที่แบออก มีเมล็ดแตงอยู่หนึ่งกองและเปลือกเมล็ดแตงอีกหนึ่งกอง ภูเขาใหญ่กลายเป็นภูเขาเล็ก และภูเขาเล็กก็กลายเป็นภูเขาใหญ่ สุดท้ายเหลือภูเขาเพียงลูกเดียว

นอกราวระเบียงคือลมฝน

ในระเบียงคือความอบอุ่น

เว่ยป้อรู้ความคิดภายในใจของเฉินผิงอัน

คือต้องการให้ลูกศิษย์สองคนและนักเรียนคนหนึ่ง**รีบไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้เร็วสักหน่อย หากไปช้ากว่านั้น คนของใต้หล้าไพศาลจะยังมีโอกาสได้เห็นกำแพงเมืองปราณกระบี่จริงๆ หรือ? จะยังสามารถไปเยือนที่นั่นราวกับไปท่องเที่ยวขุนเขาสายน้ำ มองเป็นทัศนียภาพแห่งหนึ่งในสวนที่ใต้หล้าไพศาลบุกเบิกมาได้อีกหรือ?

เพียงแต่ว่าไม่ได้เขียนบอกไว้ในจดหมาย และเว้ยป้อก็ยังมองออกถึงความเป็นกังวลอีกอย่างหนึ่งของเฉินผิงอัน จ้งชิวราชครูแห่งแคว้นหนันเยวี่ยนคนเดียวต้องพาเด็กสองคนอย่างเฉาฉิงหล่างที่ก่อนหน้านี้เคยพาท่องไปทั่วพื้นที่มงคลรากบัวแล้ว รวมไปถึงเผยเฉียนอีกคนหนึ่ง อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ค่อยวางใจสักเท่าใด แต่ภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้ จูเหลี่ยนที่แทบจะถือว่าเป็นเจ้าของภูเขาลั่วพั่วครึ่งตัวได้แล้วย่อมไม่มีทางจากไปได้ คนในม้วนภาพอีกสามคนที่เหลือต่างก็มีภาระหน้าที่แตกต่างกันไป ต่างก็มีความต้องการบนมหามรรคาที่ไม่เหมือนกัน ส่วนเขาเว่ยป้อก็ยิ่งออกจากแจกันสมบัติทวีปไปไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เฉินผิงอันเป็นกังวลอย่างแท้จริงก็คือการขาดแคลนปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธและผู้ฝึกตนบนภูเขาลั่วพั่ว ส่วน ‘โจวเฝย’ ผู้ถวายงานที่เป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้วผู้นั้น ต่อให้เฉินผิงอันจะเชื้อเชิญตัวเจียงซ่างเจินมาได้ เขาก็ไม่มีทางเปิดปากแน่นอน

อันที่จริงหากจดหมายฉบับนี้มาถึงเร็วกว่านี้ย่อมดีกว่า เพราะสามารถให้พวกเขาไปเยือนนครมังกรเฒ่าพร้อมกับหลิวจิ่งหลงแห่งอุตรกุรุทวีป แล้วค่อยไปเยือนภูเขาห้อยหัวกับกำแพงเมืองปราณกระบี่

ตอนนี้ในใจเว่ยป้อจึงวางแผนเตรียมจะที่ลองทำบางอย่าง ดูว่าชุยตงซานที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับเสมอผู้นั้นจะสามารถช่วยคลายความทุกข์ให้แก่อาจารย์ของตนได้หรือไม่

ไม่กี่วันต่อมา ภูเขาพีอวิ๋นก็ได้รับกระบี่บินส่งจดหมายลับ ในจดหมายบอกให้จ้งชิว เผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างเดินทางลงใต้ไปก่อน แล้วไปรอเขาชุยตงซานที่นครมังกรเฒ่า

จากนั้นทุกคนก็จะโดยสารเรือข้ามฟากเดินทางไปหาอาจารย์ของเขาอย่างครึกครื้นด้วยกัน

พอได้ยินว่าห่านขาวใหญ่ผู้นั้นจะตามไปด้วย ความกลัดกลุ้มเล็กๆ ที่เดิมทีมีอยู่ในใจเผยเฉียนก็สลายหายไปสิ้น

…….

เดิมทีนัดหมายกันว่าอีกประมาณครึ่งเดือนจะมีการถามหมัดอีกครั้ง อวี้เจวี้ยนฟูกลับเปลี่ยนใจ บอกว่าไว้ค่อยกำหนดวันอีกที

พวกนักพนันในนครก็ไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไรเถ้าแก่รองคนนั้นก็มีฝีมือการเล่นพนันที่ไม่ธรรมดา หากรีบร้อนเกินไป กลับง่ายที่จะหลงกลอีกฝ่าย

เพียงแต่พวกนักพนันเก่าแก่ที่ประสบการณ์โชกโชนกลับเริ่มคิดไม่ตก กลัวก็แต่ว่าอวี้เจวี้ยนฟูแม่นางน้อยคนนั้นจะไม่ทันระวังดื่มเหล้าของเถ้าแก่รองเข้าไป สมองเกิดเสียขึ้นมา ผลกลายเป็นว่าจากการประลองฝีมือดีๆ กลับกลายไปเป็นการช่วยกันร้องช่วยกันรับ ถึงเวลานั้นจะเอาเงินมาจากที่ไหน? ตอนนี้มาลองคิดดูแล้ว อย่าว่าแต่พวกนักพนันที่ประมาทเลย ต่อให้เป็นพวกเจ้ามือก็ยังไม่สามารถหากำไรเงินเทพเซียนจากตัวของเฉินผิงอันได้สักกี่มากน้อย

ดังนั้นนักพนันเฒ่าคนหนึ่งที่หลังจากดื่มเหล้าเข้าไปจึงเอ่ยประโยคปลงอนิจจังว่า สีครามเกิดจากต้นครามแต่เข้มกว่าคราม (เปรียบเปรยว่าศิษย์เก่งกว่าครู) วันหน้าบนโต๊ะพนันน้อยใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่พวกเราคงต้องเจอกับลมคาวฝนเลือดกันแล้ว

ในเมื่อไม่มีกระท่อมให้พักอาศัย ถึงอย่างไรอวี้เจวี้ยนฟูก็เป็นสตรี ไม่สะดวกจะปูผ้านอนอยู่บนหัวกำแพงทุกวัน ดังนั้นจึงทำเหมือนเซียนกระบี่ขู่เซี่ยที่ไปพักอยู่ในจวนของเซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียน เพียงแต่ว่าทุกวันจะต้องไปกลับหัวกำแพงเมืองเพื่อฝึกหมัดหลายชั่วยาม ซุนจวี้เฉวียนไม่มีความประทับใจอันใดต่อกลุ่มเจ้าลูกกระต่ายเยี่ยนลวี่ เจี่ยงกวนเฉิง ทว่าสำหรับคุณหนูตระกูลอวี้ของแผ่นดินกลางผู้นี้กลับรู้สึกไม่เลว จึงเผยตัวอยู่หลายครั้งอย่างที่หาได้ยาก คอยให้คำแนะนำโดยใช้เวทกระบี่มาพูดถึงวิชาหมัด ทำให้อวี้เจวี้ยนฟูรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง

หลินจวินปี้นอกจากจะไปฝึกกระบี่บนหัวกำแพง ยามอยู่ในจวนซุนส่วนใหญ่ก็มักจะนั่งเล่นหมากล้อมเพียงลำพัง เพื่อทำความเข้าใจกับ ‘ตำราเมฆหลากสี’ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้าเล่มนั้น

เรื่องที่หลินจวินปี้สนใจมีอยู่สามเรื่อง สถานการณ์ใหญ่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง การฝึกตน หมากล้อม

สถานการณ์ใหญ่เป็นเช่นไร ตอนนี้หลินจวินปี้ได้แต่มองดูอยู่ด้านข้างเท่านั้น การฝึกตนเป็นเช่นไร ไม่เคยเกียจคร้าน ส่วนวิชาหมากล้อม อย่างน้อยในราชวงศ์เส้าหยวน เด็กหนุ่มก็แทบจะไม่เจอกับคู่ต่อสู้แล้ว คนที่เขาอยากพบเจอที่สุดก็คือซิ่วหู่ ชุยฉาน

ศิษย์พี่เปียนจิ้งชอบไปที่หอมายา เวลานี้จึงไม่เห็นแม้แต่เงา

และเซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็ไม่เคยห้ามปรามเปียนจิ้งที่ไม่เอาจริงเอาจังผู้นั้น เรื่องของการฝึกกระบี่ ขอแค่กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแล้ว ถ้าอย่างนั้นใต้ฝ่าเท้าของแต่ละคนก็มีเส้นทางเป็นของตัวเอง แค่เดินหน้าขึ้นสู่ที่สูงไปก็พอ

หากไร้เส้นทางนี้ จะสร้างโอสถได้อย่างไร

ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ของราชวงศ์เส้าหยวนกลุ่มนี้ อวี้เจวี้ยนฟูพอจะพูดคุยกับจูเหมยได้อยู่บ้าง

เพียงแต่คำว่าพูดคุยนี้ แท้จริงแล้วเป็นจูเหมยที่พร่ำพูดเจื้อยแจ้วอยู่คนเดียว บวกกับที่อวี้เจวี้ยนฟูเองก็รับฟังได้อย่างไม่มีเบื่อหน่าย

จูเหมยยังช่วยซื้อตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่เล่มหนาหนักมาให้อวี้เจวี้ยนฟู ตอนนี้ทางกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีการจัดพิมพ์ที่นับว่าประณีตงดงามแล้ว ว่ากันว่าเป็นฝีมือของตระกูลเยี่ยน น่าจะพอได้ทุนคืนอยู่บ้าง แต่ไม่อาจได้กำไรมามากนัก

วันนี้จูเหมยมานั่งดื่มชาในห้องของอวี้เจวี้ยนฟู มองอวี้เจวี้ยนฟูที่พลิกเปิดตำราตราประทับอ่านอย่างตั้งใจ จูเหมยก็ถามอย่างใคร่รู้ว่า “พี่หญิงอวี้ ได้ยินมาว่าท่านตรงจากทวีปเกราะทองมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่อยากไปพบว่าที่สามีบ้างเลยหรือ? อันที่จริงหลังจากที่ท่านออกจากบ้านเกิดไป ไหวเฉียนผู้นั้นก็มีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่นว่าเป็นสหายกับเฉาสือ กับหลิวโยวโจว หรืออย่างเช่นว่าทำให้พวกคนหนุ่มสาวมากมายในสำนักอักษรจงรู้สึกเจ็บปวดเสียใจ มีข่าวลือดีๆ เกี่ยวกับเขาแพร่ไปมากมาย พี่หญิงอวี้ เป็นเพราะท่านไม่ชอบการหมั้นหมายที่มีมาตั้งแต่เด็กนี่เฉยๆ ก็เลยอยากเอาชนะพวกผู้อาวุโส หรือว่าเคยคบค้าสมาคมกับไหวเฉียนเป็นการส่วนตัวมาก่อน ก็เลยรู้สึกว่าชื่นชอบไม่ลงจริงๆ”

อวี้เจวี้ยนฟูเอ่ย “ทั้งสองอย่าง”

จูเหมยถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไม่ต้องพูดถึงไหวเฉียนผู้นี้แล้ว มาพูดถึงเซียนกระบี่ผู้เฒ่าโจวกันดีไหม? ดูเหมือนว่าการลงมือในแต่ละครั้งของเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้ล้วนน่าเหลือเชื่ออย่างมาก คราวก่อนที่ลงมือก็คล้ายว่าเพราะต้องการทวงความเป็นธรรมให้พี่หญิงอวี้ ตอนนี้ยังมีข่าวลือที่น่าเชื่อถือแพร่ไปมากมาย บอกว่าการลงมือของเทพเซียนผู้เฒ่าโจวครั้งนั้นอำมหิตเกินไป อันที่จริงก็ได้ถูกผู้อำนวยการของสถานศึกษาท่านหนึ่งซักไซ้เอาความผิดแล้ว”

อวี้เจวี้ยนฟูลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “เรื่องโกหก”

จูเหมยเบิกตากว้าง สายตาเต็มไปด้วยแววคาดหวัง

อวี้เจวี้ยนฟูเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าโจวสั่งสมคุณความชอบไว้มาก ขอแค่ไม่ทำเกินกว่าเหตุ ทางสำนักศึกษาและสถานศึกษาก็ไม่มีทางไปหาเรื่องเขา เรื่องนี้เจ้ารู้คนเดียวก็พอแล้ว อย่าได้เอาไปแพร่งพรายกับใคร”

จูเหมยพยักหน้ารับ

อวี้เจวี้ยนฟูยังเอ่ยเตือนเพิ่มอีกประโยค “หากเจ้าไม่อาจควบคุมปากของตัวเองในเรื่องนี้ได้ แล้วปล่อยให้คนอย่างพวกเหยียนลวี่ได้ยินเรื่องนี้เข้า ก็จะกลายเป็นจุดอ่อนที่ไม่เล็กเรื่องหนึ่ง เจ้าระวังไว้หน่อย”

จูเหมยได้แต่พยักหน้ารับต่อ

แล้วจู่ๆ จูเหมยก็ปิดปากหัวเราะ

อวี้เจวี้ยนฟูกำลังจ้องมองอักษรบนตราประทับประโยคหนึ่งในตำราตราประทับ จึงไม่ได้สนใจการกระทำนี้ของเด็กสาว

นกกระยางขาวยืนบนหิมะยามทิวา หมึกดำราตรีไร้แสงไฟ

อวี้เจวี้ยนฟูเห็นประโยคนี้ ใจก็กระตุกไปเล็กน้อย ปีนั้นการสอนหมัดของเฉาสือ ตามหลักแล้ว ไม่ว่าเฉาสือจะรับน้ำใจหรือไม่ นางก็ควรจะตอบแทนเพื่อแสดงการขอบคุณ

เพียงแต่นางก็แค่อ่านตำราตราประทับเท่านั้น ไม่มีทางที่จะไปซื้อตราประทับหรือพัดพับพวกนั้น

จูเหมยทนความสงสัยในใจไม่ไหวจริงๆ นางหุบยิ้ม ถามว่า “พี่หญิงอวี้ ชื่อนี้ของท่านเป็นมาอย่างไร? มีข้อพิถีพิถันหรือไม่?”

อวี้เจวี้ยนฟูยังคงเปิดตำราตราประทับอ่านอย่างต่อเนื่อง นางส่ายหน้า “ก็มีอยู่ แต่ไม่ได้น่าสนใจอะไร ข้าเป็นสตรีคนหนึ่ง นับตั้งแต่เด็กมาก็รู้สึกว่าชื่ออวี้เจวี้ยนฟูนี้ไม่น่าฟัง เพราะไม่อาจเปลี่ยนชื่อในผังวงศ์ตระกูลได้ ตอนที่ข้าท่องอยู่ในยุทธภพก็เลยเปลี่ยนเองไปเรื่อยเปื่อย ตอนอยู่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ใช้ชื่อปลอมว่าอวี้ฉี่อวิ๋น พอไปถึงทวีปเกราะทองก็เปลี่ยนใหม่เป็นชื่อสือไจ้ซี วันหน้าเจ้าสามารถเรียกชื่อนี้ได้โดยตรง เรียกข้าว่าสือไจ้ซีฟังเพราะกว่าพี่หญิงอวี้”

จูเหมยเอ่ยเรียกเบาๆ อย่างซุกซน “ไจ้ซี ไจ้ซี”

อวี้เจวี้ยนฟูรู้สึกจนใจเล็กน้อย นางส่ายหน้าแล้วอ่านตำราตราประทับต่อ

‘ใครกันบนหัวกำแพงที่ไร้ทุกข์ไร้กังวล’

‘มวยผมโลกมนุษย์เมฆดารดาษ’

‘เหล้าเซียนกลอนพุทธะ กระบี่ร่วมหมื่นปี’

และยังมีตราประทับที่คู่กันอย่างเช่น ‘ก้มกราบฟ้านอกฟ้า’ ‘มรรคกถาสาดส่องโลกธาตุ’

‘กระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ’ ‘กลับคืนมาพร้อมความยิ่งใหญ่เที่ยงธรรม’

‘รินเหล้าให้ท่านเต็มหนึ่งจอก’ ‘ตะวันจันทราลอยล่องในจอกของท่าน’

อวี้เจวี้ยนฟูเปิดตำราตราประทับอ่านอยู่นาน ยิ่งอ่านก็ยิ่งมีโทสะ ทั้งๆ ที่เป็นบัณฑิตที่พอจะมีความรู้อยู่บ้าง แต่กลับไม่เอาการเอางานเช่นนี้!

เปิดไปอีกหน้าหนึ่ง เห็นตราประทับสามคำว่า ‘ห่านชนกำแพง’

อวี้เจวี้ยนฟูนึกถึงกำแพงสูงใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ไม่ใช่แค่สูงเสียดฟ้าเท่านั้น นางถึงขั้นอดกลั้นไม่ไหว กว่าจะกลั้นยิ้ม ตีหน้าเคร่งแค่นเสียงในลำคออย่างเย็นชาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย

……

เฉินผิงอันดื่มเหล้าอยู่กับฉีจิ่งหลงที่ร้านเหล้า

ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เรื่องที่ถือว่าย่ำยีวัตถุสวรรค์ให้สิ้นเปลืองมากที่สุด ก็คือไม่ดื่มเหล้าอย่างตรงไปตรงมา ยังร่ายใช้วิชาอภินิหารของผู้ฝึกตน คนแบบนี้เมื่อเทียบกับคนโสดแล้วยังถูกคนดูแคลนมากกว่าเสียอีก

ฉีจิ่งหลงยังคงกินแค่บะหมี่หยางชุนหนึ่งชามและผักดองหนึ่งจานเท่านั้น

ผู้ฝึกกระบี่ผีขี้เหล้าทั้งหลายที่อยู่รอบด้านแอบส่งสายตาให้กัน ดูจากท่าทางนี้แล้ว ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าเซียนกระบี่หนุ่มที่มาจากอุตรกุรุทวีปท่านนี้จะต้องคอแข็งอย่างที่ไม่อาจประเมินได้ ต้องดื่มเหล้าได้เก่งมากแน่ๆ

ไม่แน่ว่าอาจเป็นอย่างที่เถ้าแก่รองพูดไว้ว่า ความสามารถในการดื่มของเขาถึงขอบเขตที่เรียกว่า ‘ข้านั่งอยู่บนโต๊ะเหล้าเพียงลำพัง คนอื่นๆ ล้วนนอนกันอยู่ใต้โต๊ะ’

ป๋ายโส่วชอบมาที่นี่ เพราะสามารถดื่มเหล้าได้ แม้ว่าคนแซ่หลิวจะกำชับมาก่อนแล้วว่า ทุกครั้งดื่มได้แค่ชามเดียวเท่านั้น แต่ด้วยความสามารถในการดื่มของเขา ชามเดียวก็พอจะให้เขาเมากรึ่มๆ ได้แล้ว

แล้วนับประสาอะไรกับที่ตัวเฉินผิงอันเองก็บอกแล้วว่า ชามขาวที่ร้านใหญ่ขนาดนั้น คนดื่มจะเมาก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าคอแข็งไม่แข็งอะไรเลย

ฉีจิ่งหลงทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด

เฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่า “รู้สึกว่าต่อให้แม่นางหลูไม่เอ่ยอะไร แต่ถ้อยคำในสายตาที่มองเจ้านั้น ไม่เพียงแต่ไม่ลดลง กลับกันยังเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเจ้าก็เลยไม่สบายใจ?”

ฉีจิ่งหลงไม่เอ่ยคำใด ชำเลืองตามองกาเหล้า รู้สึกอยากดื่มขึ้นมาตงิดๆ แล้ว

เฉินผิงอันยิ้มอ่อนไม่พูดอะไรเช่นกัน แสร้งวางท่าลึกล้ำ

สถานการณ์เช่นนี้ของเจ้า ข้าผู้อาวุโสจะรู้ได้อย่างไรว่าควรทำเช่นไร

……

และใต้หล้าไพศาลในเวลานี้ เรือข้ามฟากลำหนึ่งที่มุ่งตรงจากนครมังกรเฒ่ามายังภูเขาห้อยหัว ตรงหัวเรือมีปัญญาชนน้อยใหญ่สองคนที่สวมชุดเขียวเหมือนกันกำลังยืนชมทัศนียภาพอยู่เงียบๆ ส่วนเด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้ว สวมชุดสีขาวราวหิมะกลับกำลังเล่นสนุกเจี๊ยวจ๊าวอยู่กับแม่นางน้อยคนหนึ่งที่ผิวค่อนข้างดำ ในมือถือไม้เท้าเดินป่า ทำราวกับว่าข้างกายไร้ผู้คน

เด็กหนุ่มวิ่งเผ่นหลบหลีกไม้เท้าเดินป่านั้น ชายแขนเสื้อใหญ่โบกสะบัดดุจหิมะโปรดปราย ตะโกนโหวกเหวกว่า “จะได้เจออาจารย์ของข้าและอาจารย์พ่อของเจ้าแล้ว ดีใจหรือไม่?!”

แม่นางน้อยไล่กวดตามไปตีเจ้าห่านขาวใหญ่พลางตะเบ็งเสียงตอบกลับว่า “ดีใจ ดีใจจริงๆ!”

——

*จากฟีดแบคที่ผู้อ่านเสนอมา ผู้แปลได้อ่านความเห็นของทุกท่านแล้วนะคะ ต้องขอขอบคุณทุกความเห็นมากๆ ค่ะ

สุดท้ายนี้ผู้แปลตัดสินใจให้เผยเฉียนเรียกเฉินผิงอันว่าอาจารย์พ่อแทนพ่อครูนะคะ เพราะจริงๆ แล้วผู้แปลก็รู้สึกติดว่าเป็นคำที่ไม่ค่อยเข้ากับนิยายจีน ให้ความรู้สึกเหมือนนิยายไทยมากกว่า เพียงแต่จากตอนแรกที่หาข้อมูล คำว่าครูในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กประถมที่ใช้เรียกและดูจะมีความสนิทสนมมากกว่าคำว่าอาจารย์ แต่จะให้ใช้คำว่าครูเดี่ยวๆ เลย เวลาเรียกในบทสนทนาอาจดูแปลกๆ เลยเลือกใช้พ่อครูอย่างที่อธิบายไปเมื่อตอนที่แล้วค่ะ

ความจริงในเรื่องนี้ยังมีคำจีนคำอื่นที่แปลว่าอาจารย์ซึ่งใช้กับตัวละครอื่นอยู่อีกค่ะ เช่นจ้งชิว อาจารย์จ้ง ภาษาจีนจะไม่ใช้คำว่าเซียนเซิงหรือซือฟู่ แต่จะใช้คำว่าฟูจื่อ (夫子)ซึ่งเป็นคำเรียกแทนอาจารย์ในสมัยโบราณและยังแปลว่านักปราชญ์ได้อีกด้วย แต่ผู้แปลแปลรวมเป็นคำว่าอาจารย์ และบางบริบทอาจแปลเป็นปัญญาชนค่ะ ดังนั้นตัวละครอื่นๆ จึงจะเรียกจ้งชิวว่าอาจารย์จ้ง บางคำที่แปลเป็นไทยเข้าใจได้มากกว่า ผู้แปลจะพยายามเลี่ยงการทับศัพท์ค่ะ เพราะหากมีคำทับศัพท์มากเกินไป แล้วเป็นคำที่ใช้กับตัวละครที่ไม่ได้ออกบ่อย กลัวผู้อ่านจะสับสนค่ะ

**เรื่องนี้นอกจากคำเรียกอาจารย์ที่ใช้ไม่เหมือนกันแล้ว คำเรียกลูกศิษย์ก็ใช้ต่างกันค่ะ เผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่างจะใช้ภาษาจีนคำว่าตี้จื่อ (弟子)ส่วนชุยตงซานใช้คำว่าเซวี๋ยเซิง(学生)ความหมายโดยรวมเหมือนกันคือแปลว่าลูกศิษย์/นักเรียน ในเนื้อเรื่องที่เป็นคำบอกเล่า หากมีการแยกสองคำนี้ ผู้แปลจะแทนคำว่าตี้จื่อเป็นลูกศิษย์และเซวี๋ยเซิงเป็นนักเรียน แต่คำเรียกตัวเองจะยังคงให้ชุยตงซานเรียกตัวเองว่าศิษย์เหมือนเดิมค่ะ

***ในเรื่องเฉาฉิงหล่างเรียกเฉินผิงอันว่าเซียนเซิงเหมือนกับชุยตงซานค่ะ ซึ่งเรียกมาก่อนตั้งแต่ที่จะได้เป็นลูกศิษย์ของเฉินผิงอันอีก เพราะคำว่าเซียนเซิงนอกจากความหมายว่าครูอาจารย์แล้ว ยังแปลไปได้อีกห้าความหมายซึ่งใช้ต่างกันไปตามบริบท ยังเป็นคำที่ใช้เรียกปัญญาชน คำที่แสดงการให้เกียรติ เทียบกับภาษาปัจจุบันก็คือคำว่าคุณ/ท่าน… นอกจากนี้ยังแปลว่าหมอดูได้อีกด้วยค่ะ