ตอนที่ 1771 ต้องเจ็บตัวเสียก่อน

Alchemy Emperor of the Divine Dao

หลิงฮันสอบถามโดยรายละเอียด ทำให้ได้รู้ว่าตระกูลฟู่นั้น มีผู้สืบทอดมากกว่าหนึ่งคน

ในความเป็นจริง การที่ขุมอำนาจระดับสามดาวขึ้นไปจะฝึกฝนให้มีผู้สืบทอดเพียงคนเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะถ้าหากเกิดเหตุไม่คาดฝันทำให้ผู้สืบทอดเพียงคนเดียวตายไปล่ะ พวกเขาจะต้องเสียเวลาฝึกฝนผู้สืบทอดคนใหม่อีกนานแค่ไหน?

ตามหลักแล้วขุมอำนาจที่ทรงพลังจะมีผู้สืบทอดอยู่อย่างน้อยสี่หรือห้าคนพร้อมกัน

แน่นอนว่าหากมีทรัพยากรมากพอ จะฝึกฝนผู้สืบทอดเพิ่มก็ย่อมทำได้

ยกตัวอย่างนิกายอาญาสิ้นแสง พวกเขามีผู้สืบทอดอยู่ด้วยกันถึงเจ็ดคน โดยเป่ยเสวียนหมิงเป็นเพียงหนึ่งในนั้น เหตุผลที่เป่ยเสวียนหมิงต้องการฟู่เสี่ยวอวิ๋นมาเป็นคู่ครองก็เพราะว่าหากมีอำนาจของตระกูลฟู่ช่วยสนับสนุน สถานะผู้สืบทอดของเขาก็จะมั่นคงยิ่งขึ้น

ในกรณีของตระกูลฟู่ แม้จะเป็นขุมอำนาจสามดาวเหมือนกัน แต่พวกเขาไม่ได้มีอำนาจเทียบเท่านิกายอาญาสิ้นแสง ผู้สืบทอดที่พวกเขาสามารถฝึกฝนได้จึงมีเพียงสี่คนเท่านั้น

นอกจากฟู่เกาหยุนและฟู่ทงไห่ที่ถูกเรียกว่านายน้อยไห่แล้ว ผู้สืบทอดอีกสองคนก็คือฟู่เซียวผิงและฟู่ปิงปิง

ณ เวลานี้ผู้สืบทอดทั้งสี่มีพลังบ่มเพาะที่แตกต่างกันมาก อย่างฟู่เซียวผิงนั้น เขาคือผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุดเพราะมีพลังบ่มเพาะอยู่ในขั้นตัดขาดวิญญาณสวรรค์ของระดับแบ่งแยกวิญญาณ ซึ่งแน่นอนว่าระยะเวลาที่เขาใช้บ่มเพราะพลังก็ผ่านมาแล้วถึงหมื่นล้านปี

ฟู่ผิงผิงคือผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสอง พลังบ่มเพาะของเขาคือขั้นตัดขาดวิญญาณปฐพีของระดับแบ่งแยกวิญญาณ และบ่มเพาะพลังมานานแล้วเกินกว่าแปดพันล้านปี

ฟู่ทงไห่นั้นมีอายุที่น้อยกว่าสองคนก่อนหน้ามาก เขาบ่มเพาะพลังมาเพียงพันกว่าล้านปี ซึ่งในตอนนี้เพิ่งจะบรรลุพลังระดับแบ่งแยกวิญญาณ แต่เดิมเขาเป็นผู้สืบทอดที่มีอิทธิพลมากที่สุด แต่หลังจากที่ฟู่เกาหยุนที่มีพรสวรรค์เหนือกว่าเขาถือกำเนิดขึ้นมา ตำแหน่งของเขาก็เริ่มสั่นคลอน

ด้วยเหตุนี้การแข่งขันระหว่าง ฟู่ทงไห่กับฟู่เกาหยุนจึงดุเดือดที่สุด

ตามกฎของตระกูลฟู่ เหล่าผู้สืบทอดจะไม่สามารถต่อสู้กันเองโดยตรงได้ หากจะปะทะก็ต้องปะทะผ่านผู้ติดตาม

เพียงแต่ว่าฟู่เกาหยุนนั้นมีอายุที่น้อยกว่าผู้สืบทอดคนอื่นมาก เพราะงั้นจำนวนและพลังของผู้ติดตามของเขาจึงไม่อาจเทียบกับฟู่ทงไห่ได้

โชคดีที่เพื่อความยุติธรรม ตระกูลฟู่จึงได้ตั้งกฎว่า ผู้ติดตามของเหล่าผู้สืบทอดจะต้องมีพลังบ่มเพาะภายในระดับโลกียนิพพานเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นคือในขุมอำนาจระดับสามดาว ตัวตนระดับแบ่งแย่งวิญญาณจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์ เพราะงั้นจอมยุทธระดับแบ่งแยกวิญญาณคนไหนกัน จะยังต้องการเป็นผู้ติดตามของผู้อื่น?

เมื่อฟังฟู่เกาหยุนเล่าจบ หลิงฮันก็รู้ตัวว่าตนเองได้มาพัวพันกับปัญหาการแย่งชิงบัลลังก์เสียแล้ว

“เอาล่ะ ก่อนอื่นข้าจะแนะนำสหายให้เจ้าได้รู้จัก” ฟู่เกาหยุนกล่าวด้วยรอยยิ้มและเดินนำพวกหลิงฮัน

สำนักแห่งนี้มีอาณาเขตที่กว้างใหญ่ราวกับดวงดาว เพราะงั้นที่พักของศิษย์แต่ละคนจึงโอ่อ่าเป็นอย่างมาก ฟู่เกาหยุนนำพาพวกหลิงฮันมายังที่พักแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนภูเขา

เมื่อพวกเขามาถึง คนรับใช้มากมายก็รีบออกมาต้อนรับทันที หลังจากเข้าสู่ที่พักแล้ว ณ บริเวณสวนภายใน พวกหลิงฮันก็พบเห็นคนหลายสิบคนกำลังนั่งดื่มชาและพูดคุยกันอยู่ ทันทีที่คนเหล่านั้นสังเกตเห็นฟู่เกาหยุน พวกเขาก็รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ข้าจะแนะนำให้พวกเจ้าได้รู้จัก คนผู้นี้คือน้องชายหลิงฮัน ส่วนสตรีผู้นั้นเป็นภรรยาของน้องชายหลิง และคนผู้นี้คือน้องชายเม่าไต้” ฟู่เกาหยุนแนะนำกลุ่มของพวกหลิงฮันเรียงคน

“ยินดีที่ได้พบน้องชายหลิง น้องชายเม่า!” สำหรับจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะนั้น พวกเขาเพียงแค่พยักหน้าต้อนรับแต่ไม่เอ่ยชื่อ เพราะพวกนางเป็นภรรยาของคนอื่น พวกเขาจึงไม่อาจทำตัวสนิทสนมเกินไป

หลิงฮันและเม่าไต่ผสานมือขึ้นเพื่อทักทายอย่างสุภาพ

“ดูเหมือนว่านายน้อยหยุนจะประเมินรุ่นเยาว์ผู้นี้ไว้สูงมากสินะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินถือถ้วยน้ำชาเข้ามาและชี้นิ้วไปยังหลิงฮัน “ให้ข้าชนแก้วชากับน้องชายหลิงสักแก้ว เพื่อเป็นเกียรติหน่อยเป็นอย่างไร?”

เขารู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เนื่องจากฟู่เกาหยุนนั้นถูกใจหลิงฮันจนต้องออกไปต้อนรับด้วยตนเอง แถมหลิงฮันยังนำพามิตรสหายของตัวเองมาที่นี่โดยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอีกด้วย

มุมปากของหลิงฮันยกขึ้นเล็กน้อย เขาไม่สนใจว่าผู้สืบทอดคนใดจะได้กลายเป็นประมุขของตระกูลฟู่ แต่ถ้าหากมีใครคิดจะล่วงเกินเขา เขาก็จะไม่สุภาพด้วยเช่นกัน แต่ในขณะที่เขากำลังจะยกแก้วชาขึ้นนั่นเอง จู่ๆจักรพรรดินีก็ยื่นมือออกไปเสียก่อน

“เจ้าไม่มีคุณสมบัติจะดื่มชากับสามีข้า!” นางผลักฝ่ามือออกไปด้วยอำนาจแห่งอัสนี

สีหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นเปลี่ยนไปทันที เขารีบยกมือขึ้นเพื่อตอบโต้แต่ก็ไม่อาจต้านทานพลังของจักรพรรดินีได้แม้แต่น้อย ผลสุดท้ายคือน้ำชาในแก้วได้กระฉอกทะลักเปราะไปทั่วใบหน้าของเขา

เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้น ทุกคนก็อุทานออกมา

ชายหนุ่มคนเมื่อครู่ที่ชื่อว่าจินจื้อหยิ่ว เขาเป็นสมาชิกตระกูลจินที่เป็นขุมอำนาจที่อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่ พรสวรรค์ของจินจื้อหยิ่วผู้นี้ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมากและมีโอกาสสูงมากที่จะได้กลายเป็นเสาหลักตระกูลจินในอนาคต สำหรับพวกฟู่เกาหยุนที่ต้องแย่งชิงอำนาจกัน สิ่งที่พวกเขาจำเป็นไม่ได้มีแค่ความสนับสนุนจากคนในตระกูลเท่านั้น แต่ยังต้องมีการสนับสนุนจากขุมอำนาจภายใต้การปกครองด้วย

จินจื้อหยิ่วมีพลังบ่มเพาะอยู่ในนิรันดร์สองนิพพานขั้นสูงสุด ถึงแม้เขาจะไม่ตัดผ่านนิพพานอย่างสมบูรณ์แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับฟู่เกาหยุนแล้ว พลังต่อสู้ของเขาด้อยกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ทว่าเขากลับไม่ใช่คู่ต่อของจักรพรรดินีเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนับว่าน่าอัศจรรย์เกินไป

แม้แต่ฟู่เกาหยุนก็คาดไม่ถึงเช่นกัน แม้เขาจะรู้ว่าจักรพรรดินีนั้นแข็งแกร่ง แต่นี่นางจะแข็งแกร่งเกินไปรึเปล่า?

“ฮ่าๆ พวกเราทุกคนล้วนเป็นสหายกัน เพราะงั้นปรองดองกันไว้ดีกว่า!” ฟู่เกาหยุนรีบไกล่เกลี่ย คนเหล่านี้คือคนของเขา ถ้าหากเกิดความบาดหมางกันภายในคงจะไม่ดี

จินจื้อหยิ่วตั้งสติได้ก่อนจะจ้องมองไปยังจักรพรรดินีด้วยสายตายำเกรง เพียงแค่การโจมตีเพียงครั้งเดียว เขาก็รับรู้ได้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจักรพรรดินีแม้แต่น้อย

โลกแห่งวรยุทธนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน พวกหัวรั้นบางคนต้องเจ็บตัวเสียก่อนถึงจะรู้จักที่ของตัวเอง หลังจากเหตุการณ์สงบลง ทุกคนก็พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับศาสตร์วรยุทธกัน ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเอ่ยขึ้น “นายน้อยหยุน ทำไมท่านถึงไม่บรรเลงพิณให้พวกเราฟังสักสองสามทำนองล่ะ?”

ทันใดนั้นเอง สีหน้าของฟู่เกาหยุนก็เปลี่ยนเป็นมืดมนทันที