บทที่ 1808 เริ่มต้น

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า

เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1808 เริ่มต้น

เวลานี้ อีกฝั่งหนึ่ง ภายในห้องพักที่กว้างขวาง คุณชายเฟิงเทียนที่มือข้างหนึ่งโอบกอดสาวสวยคนหนึ่งอยู่นั้น ก็กำลังมองดูม่านแสงที่อยู่เบื้องหน้าอย่างยิ้มแย้ม

“ฮ่าฮ่า เหมือนจะเป็นค่ายกลแต่ก็ไม่ใช่ค่ายกล พวกนายเล่นสนุกกันได้ดีทีเดียวนะ อืม แบบนี้สิถึงจะมันส์หน่อย ไม่ทำให้ฉันต้องกลับมาเสียเปล่า พวกนายว่าทั้งห้าคนนี้ใครจะสามารถผ่านด่านนี้ไปได้ หรือว่า ใครจะสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้”

ด้านหลังของคุณชายเฟิงเทียน ก็คือผู้อาวุโสซู่มั่นและเพื่อนผู้อาวุโสสิบคนนั้น

ผู้อาวุโสทั้งสิบคนยืนอยู่ด้านหลังของคุณชายเฟิงเทียนอย่างเคารพ โดยที่ไม่กล้าจะพูดอะไร

มีแต่เพียงผู้อาวุโสซู่มั่น ที่พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่สงบนิ่งว่า: “คุณชายเฟิงท่านมีสายตาที่เฉียบแหลมและมีวิทยายุทธขั้นสุดยอดด้วย จะต้องมองออกได้ว่าใครที่จะสามารถผ่านด่านนี้ไปได้แน่นอน”

คุณชายเฟิงเทียนส่ายมือและพูดว่า: “น่าเบื่อเสียจริง คำตอบของเธอนี้ น่าเบื่อชะมัด อย่าได้มาพูดจริงจังแบบนี้กับฉันอีก ฉันไม่ได้จะหักศีรษะของพวกเธอลงมาเตะเป็นลูกบอลสักหน่อย แม้ว่าแบบนี้จะน่าสนุก น่าสนใจ ฉันเคยเล่นกับคนอื่นมาก่อนก็ตาม แต่ในวันนี้ ความสนใจของฉันไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้ พวกเธอพูดออกมากันได้เลย แบบนี้ดีไหม พวกเรามาวางเดิมกันกันไหมล่ะ พวกเธอแต่ละคนพูดตามที่ตนเองคิดกันไปได้เลย ว่าใครจะสามารถผ่านด่านไปได้ คนที่พูดถูก จะมีรางวัลให้ คนที่พูดผิด ก็ไม่ถูกลงโทษ”

ผู้อาวุโสหลายคนนี้ได้มองหน้าสบตากัน ชายชราที่มีหนวดเคราม้วนงอได้พูดขึ้นว่า: “ข้าน้อยคิดว่า เป็นไปได้อย่างมากที่อูเจิ้นจะสามารถผ่านด่านนี้ไปได้ เขามีวิทยายุทธที่ไม่เลว เนื้อหนังหนาและหยาบกร้าน ที่สำคัญยังได้ฝึกฝนวิถีศพด้วย ตอนนี้ร่างกายแข็งแกร่งดุจดั่งศพแข็ง ยากที่จะถูกฆ่าตายได้ ต่อให้ไม่สามารถผ่านด่านไปได้ แต่ก็น่าจะมีชีวิตอยู่รอดได้อย่างไม่มีปัญหา”

ชายครึ่งหน้าพูดต่อว่า: “ข้าน้อยคิดว่า น่าจะเป็นเจียวเม่ยเหนียงที่สามารถผ่านด่านนี้ไปได้ ผู้หญิงคนนี้มีจิตใจที่โหดเหี้ยม มีวิทยายุทธที่แปลกประหลาด กรรไกรทองของหล่อน สามารถตัดวิญญาณและดับชีวิตได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือ วิชากำบังกาย แม่นยำอย่างที่สุด ช่างเป็นวิธีการเอาตัวรอดที่ยอดเยี่ยมที่ดีที่สุด”

“ข้าน้อยคิดว่า……”

ผู้อาวุโสทั้งเก้าคนได้ทยอยกันพูดขึ้น ทีละคนทีละคน

ห้าคนในจำนวนนี้คิดว่าเจียวเม่ยเหนียงมีโอกาสที่จะผ่านด่านนี้ไปได้มากที่สุด มีสองคนที่เห็นว่าน่าจะเป็นอูเจิ้น อีกคนหนึ่งเห็นว่าน่าจะเป็นเหลียงซง และอีกคนหนึ่งเห็นว่าน่าจะเป็นเจียวเม่ยเหนียง

เหลือแต่ผู้อาวุโสซู่มั่นที่ยังไม่ได้เอ่ยปากพูด

คุณชายเฟิงเทียนพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า: “ซู่มั่น เธอไม่มีคนไหนที่เห็นว่าจะผ่านไปได้อย่างนั้นเหรอ? ”

ผู้อาวุโสซู่มั่นพูดขึ้นอย่างสงบนิ่งว่า: “มี แต่ไม่เหมือนกับผู้อาวุโสคนอื่นเท่านั้นเอง”

คุณชายเฟิงเทียนพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า: “อย่างนั้นเหรอ? เธอเห็นว่าเป็นหลวี่เหวยใช่ไหม? ”

ผู้อาวุโสทุกคนถึงกับตกใจ ผู้อาวุโสซู่มั่นขมวดคิ้วและพูดขึ้นว่า: “ทำไมคุณชายเฟิงถึงเห็นว่าเป็นหลวี่เหวยล่ะ? ”

คุณชายเฟิงเทียนพูดขึ้นอย่างตกใจว่า: “ไม่นึกว่าคนที่เธอเห็นชอบนั้นจะไม่ใช่หลวี่เหวย? พวกนายไม่รู้สึกว่าไอ้เตี้ยคนนี้มีอนาคตที่สดใสหรืออย่างไร? ”

ผู้อาวุโสซู่มั่นส่ายศีรษะและพูดว่า: “ฉันมองไม่ออกเลยจริง ๆ วิถีพิษ เดิมทีก็เป็นสามวิถีที่อ่อนด้อยที่สุดของผู้ฝึกชั่วร้าย วิทยายุทธของเขาก็ดูเหมือนจะมีความห่างไกลกับสี่คนที่เหลือนั้นด้วย ที่สำคัญก็คือ คนผู้นี้ เป็นคนที่ชอบใช้กลอุบาย ไม่น่าจะประสบความสำเร็จ และไม่มีอนาคต”

คุณชายเฟิงเทียนหัวเราะเสียงดังและพูดว่า: “นั่นเป็นเพราะว่าพวกเธอถูกรูปลักษณ์ภายนอกของเขาหลอกลวงเอาแล้ว คิดไม่ถึงว่า ลำพังแค่ไอ้เตี้ยคนหนึ่งนี้ จะสามารถหลอกผู้อาวุโสซู่มั่นได้ ฉันควรจะพูดว่าผู้ฝึกชั่วร้ายของพวกเรามีผู้สืบทอดแล้ว หรือควรจะพูดว่า ผู้อาวุโสซู่มั่นเธอมีสายตาที่แย่ลงไปแล้วดีล่ะ? ”

คุณชายเฟิงเทียนลูบคลำสองสาวสวยข้างกายไปพลาง แล้วก็ส่ายศีรษะไปพลางพร้อมกับพูดขึ้นว่า: “ผู้อาวุโสซู่มั่น ไอ้หนุ่มที่เธอเห็นชอบนั่น ตกลงมีอะไรที่โดดเด่นเหนือกว่าคนอื่น? สามารถบอกเหตุผลกับพวกเราได้ไหม? เขามีชื่อว่าอะไรแล้วนะ? ”

ผู้อาวุโสซู่มั่นตอบกลับว่า: “เขาชื่อเงามืด สำหรับเหตุผลน่ะเหรอ คุณชายเฟิงลองดูต่อไปก็จะรับทราบแล้ว”

คุณชายเฟิงเทียนยิ้มพร้อมกับพยักหน้า

“อย่างนั้นก็ดีเลย ฉันจะดูอย่างสงบต่อไป หวังว่าไอ้เด็กพวกนี้ จะไม่ทำให้ฉันรู้สึกว่าบ่าเบื่อ ไม่อย่างนั้นแล้ว พวกเขาจะต้องตายลงอย่างอเนจอนาถ เพราะมาทำให้ฉันต้องเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์! ”

……

ด้านหน้าของพระราชวังที่ทรุดโทรม ทั้งห้าคนกำลังจ้องมองที่ค่ายกลเลือดแดงอย่างสงบนิ่ง

เจียวเม่ยเหนียงถอยหลังลงไปกี่ก้าว แล้วก็ชี้ไปยังค่ายกลและพูดขึ้นว่า: “นี่น่าจะเป็นค่ายกลบวงสรวงอย่างหนึ่ง เพียงแค่ปล่อยพลังเข้าไปด้านใน หรือว่าเทสาดเลือดสดลงไป ก็จะปลุกเรียกปีศาจสัตว์อสูรตัวหนึ่งออกมา จากนั้นก็จะวิ่งไล่ล่าพวกเราไปทั่วทุกแห่ง”

เหลียงซงพูดขึ้นว่า: “อย่างนั้นเหรอ? งั้นพวกเราก็ไม่ปล่อยพลังลงไปด้านในก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ หรือว่า พวกเราทำลายค่ายกลนี้ซะ ก็ถือว่าผ่านด่านนี้ไปได้แล้วใช่ไหมล่ะ”

อูเจิ้นพูดขึ้นว่า: “ถ้าหากง่ายดายแบบนี้ ก็คงจะดีมากเลย ปีศาจกระหายเลือด นายลองจัดการหน่อยสิ จะดูว่าเมื่อนายทำลายค่ายกลลงแล้ว พวกผู้อาวุโสนั้นจะปล่อยตัวนายเอาไว้หรือไม่”

เหลียงซงมองไปที่อูเจิ้นด้วยสายตาที่เย็นชาและพูดขึ้นว่า: “นายคิดว่าฉันจะโง่เง่าเหมือนนายอย่างนั้นเหรอ ที่ฉันพูดว่าทำลายนั้น ก็คือตอนที่สัตว์อสูรตัวนั้นปรากฏขึ้น แล้วก็ลงมือทำลายทิ้ง แบบนั้นแล้ว ไม่แน่อาจจะสามารถกำจัดสัตว์อสูรลงไปพร้อมกันเลยด้วยก็เป็นได้ และพวกเราก็ไม่ถือว่าผิดกฎด้วย! ”

หลวี่เหวยที่อยู่ด้านหลังตีไปที่ท่อนขาและพูดขึ้นว่า: “เป็นแผนการที่ดีมากเลย ถ้าเป็นแบบนี้ อย่างมากก็ถือว่าพวกเราใช้ทักษะความสามารถผ่านด่านนี้ไปได้ ซึ่งไม่ใช่จงใจที่จะทำลาย ปีศาจกระหายเลือดคุณชายเหลียงซง ท่านเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมมากเลยทีเดียว”

หลวี่เหวยพูดประจบสอพลอต่อเหลียงซงอย่างเต็มที่เลย

ขณะนั้น เหลียงซงก็แทบจะตัวลอยขึ้นมาบ้างเหมือนกัน โดยได้เบะปากยิ้ม อย่างไม่หุบเลย

อูเจิ้นได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร เขากำลังพิจารณาถึงโอกาสความเป็นไปได้ของวิธีการนี้อยู่

เจียวเม่ยเหนียงพูดขึ้นว่า: “จะต้องเริ่มต้นเปิดค่ายกลนี้อย่างนั้นใช่ไหม? พวกเราไม่ไปสนใจมันก็ได้ไม่ใช่เหรอ”

เหลียงซงแสยะยิ้มและพูดขึ้นว่า: “มุมมองความคิดของผู้หญิง ช่างโง่เขลายิ่งนัก พวกผู้อาวุโสพาพวกเรามาถึงที่นี่ ก็เพื่อที่จะทดสอบพวกเรา พวกเราไม่ทำอะไร มัวแต่เดินเล่นกันอยู่แบบนี้ พวกเขาจะพอใจอย่างนั้นเหรอ? หากว่าพวกเขาไม่พอใจ เกรงว่าจะทำการเปิดค่ายกลขึ้นเอง เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราก็จะเสียโอกาสในการกำจัดสัตว์อสูรที่มีอยู่เพียงครั้งเดียวนั่นไป ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นโอกาสผ่านการทดสอบเพียงครั้งเดียวที่พวกผู้อาวุโสให้กับพวกเราก็เป็นได้”

เจียวเม่ยเหนียงไม่พูดไม่จาอะไร ชัดเจนว่าเขายอมฟังคำพูดของเหลียงซงแล้ว

เวลานี้ลู่ฝานก็ได้มายืนอยู่ที่ด้านหน้าของค่ายกล แล้วก็มองดูค่ายกลอย่างละเอียด ขณะเดียวกันก็ได้สอบถามเจดีย์เสวียนเก้ามังกรในใจว่า: “นี่เป็นค่ายกลอัญเชิญเพื่อการบวงสรวงจริง ๆ ใช่ไหม? ”

เจดีย์เสวียนเก้ามังกรได้แอบปล่อยพลังออกมาสำรวจเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบว่า: “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ น่าจะใช่นะ แม้ว่าจะมีบางจุดที่ผิดปกติอยู่บ้าง แต่ก็มีความสามารถในการแหวกอากาศธาตุจริง ๆ ด้วย ซึ่งนี่คือพื้นฐานของค่ายกลอัญเชิญ”

ลู่ฝานส่ายศีรษะและพูดว่า: “ไม่ใช่ มันคงไม่ง่ายดายแบบนี้เป็นแน่”

ขณะที่พูด ลู่ฝานก็หันมองไปยังกองเศษหินที่อยู่ด้านข้าง

แล้วก็หยิบก้อนหินหนึ่งก้อนขึ้นมาทำการพิจารณา จากนั้นลู่ฝานก็พลันมองเห็นว่าที่ใต้ฝ่าเท้าเกิดอะไรบางอย่างที่ผิดปกติขึ้น

ลู่ฝานนั่งยองลง แล้วก็มองดูอย่างละเอียด ตรงที่ดึงเศษหินออกมา

สิ่งที่ปรากฏขึ้นในสายตาของเขานั้น ก็คือรอยเท้าขนาดใหญ่

นี่คือ……

ลู่ฝานแตะไปที่รอยเท้านี้ ทันใดนั้นพลังที่แข็งแกร่งก็ทิ่มแทงไปยังนิ้วมือของเขาอย่างกับถูกไฟช็อต

ลู่ฝานรีบดึงมือกลับขึ้นมา และมองดูนิ้วมือของตนเอง จากนั้นรูม่านตาก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น เขาคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมาได้

“แย่แล้ว ค่ายกลนี้อาจจะเป็น……”

ลู่ฝานกำลังจะพูดขึ้น แต่เวลานี้เหลียงซงนั้นก็ได้ใช้ฝ่ามือกดลงไปบนค่ายกลนั้นแล้ว พร้อมกับพูดเสียงดังว่า: “พวกนายดูให้ดี ๆ นะ เมื่อสัตว์อสูรโผล่ออกมาก็รีบลงมือจัดการทันทีเลย อย่าบอกว่าฉันไม่ได้เตือนพวกนายล่วงหน้านะ! ”

ลู่ฝานตะโกนเสียงดังว่า: “หยุดก่อน! ”

แต่เวลานี้ พลังของเหลียงซงได้ไปเข้าสู่ด้านในของค่ายกลแล้ว

จากนั้น ใจกลางของค่ายกลก็พลันมีลำแสงสีแดงพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า จนทุกคนพากันตะลึงไปทั้งหมด

ทันใดนั้น พื้นดินก็เริ่มสั่นสะเทือน เกิดลมพัดแรง และก็มีเสียงคำรามของสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนดังผ่านมาจากระยะไกล