ถังซานสือลิ่วเดินเข้ามาในตำหนัก ก่อนตะโกนใส่เฉินฉางเซิงว่า “คำพูดนี้หมายความว่าเยี่ยงไร”
เฉินฉางเซิง “ความหมายตรงตามตัวอักษร”
ถังซานสือลิ่วงง ก่อนเอ่ยถาม “ทำไมเล่า”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ บางทีความคิดของเขาอาจจะถูกต้องก็ได้”
ถังซานสือลิ่วโบกมืออย่างแรง ก่อนเอ่ย “ก่อนหน้าที่พวกเขาเคยคุยเรื่องนี้ที่ริมทะเลสาบ ความเป็นหนุ่มสาวก็คือความถูกต้อง
เฉินฉางเซิงเอ่ยอย่างจริงจัง “คำกล่าวนี้เดิมทีก็ไม่ถูกต้อง”
ถังซานสือลิ่วเอ่ยด้วยโทสะ “หรือว่าคำที่เจ้าเอ่ยเหล่านั้นมันถูกต้อง”
เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ตอนนั้นข้ามีโทสะ”
ถังซานสือลิ่วเอ่ย “ดังนั้นที่เจ้าเอ่ยไปคือคำโมโหหรือ”
เฉินฉางเซิงตอบ “จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
ถังซานสือลิ่วเอ่ย “ในเมื่อเป็นคำโมโห แน่นอนว่าสามารถไม่เอาความได้”
เฉินฉางเซิงเอ่ยขอคำแนะนำอย่างจริงจัง “เพราะเหตุใดเล่า”
ถังซานสือลิ่วตอบ “ทั้งเจ้าและข้าล้วนเป็นมนุษย์ อารมณ์โกรธก็คือการผายลม คำโมโหก็คือคำพูดผายลม คำพูดผายลมจะถือเป็นจริงได้อย่างไร”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ผายลมมีกลิ่น ความโกรธอาจจะไม่มีกลิ่น”
ถังซานสือลิ่วเอ่ย “ไม่ว่าจะมีกลิ่นหรือไม่ แต่แน่นอนว่าไม่มีกลิ่นสาบคนแก่ที่เหม็นอย่างนั้นแน่”
เฉินฉางเซิงนึกขึ้นได้ ในปีนั้นซูหลีก็เคยเอ่ยคำกล่าวใกล้เคียงอย่างนี้กับตน
“ต้องคิดหาวิธีทำให้ผู้ศรัทธาเหล่านั้นที่อยู่ด้านนอกพระราชวังหลีลุกขึ้น
เขาไม่ได้คิดเรื่องปัญหานั้นอีกต่อไป เอ่ยกับถังซานสือลิ่วว่า “เจ้ามีความคิดอะไรดีๆ หรือไม่”
ถังซานสือลิ่วเอ่ยด้วยอารมณ์ไม่ดีว่า “คนผูกกระดิ่งคือเจ้า เหตุใดเป็นข้าที่ต้องคิด”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ข้าไม่เชี่ยวชาญด้านนี้”
ถังซานสือลิ่วมองไปรอบๆ ก่อนถาม “สวีโหย่วหรงเล่า”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “นางไปวังหลวง”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของถังซานสือลิ่วก็เปลี่ยนไป
เฉินฉางเซิงเอ่ยถาม “ทำไมรึ”
“เพิ่งกลับเมืองหลวงเมื่อวานนี้ วันนี้นางก็ไปพบเฉินหลิวอ๋อง ทั้งยังไปพบม่ออวี่ เวลานี้ยังไปพบฝ่าบาทอีก”
ถังซานสือลิ่วเอ่ย “นางพบเจอคนมากมายทำไมกัน เจ้าไม่แปลกใจหรือ”
……
……
ฝ่าบาทของต้าโจวยังหนุ่มนัก ทั้งยังถ่อมตน ทั้งยังทำตัวไม่สะดุดตา หรือแม่แต่มักถูกผู้คนลืมเลือนเสียด้วยซ้ำ
จวบจนกระทั่งตอนนี้ การมีอยู่ของเขาสำหรับพสกนิกรต้าโจวแล้วยังคงเป็นเสมือนเมฆหมอก มีผู้คนไม่กี่คนทราบพระนามของพระองค์ว่าชื่อเฉินอวี๋เหริน
ตอนนี้ซางสิงโจวไม่ใคร่แสดงความคิดเห็นเรื่องใหญ่ๆ ในราชสำนักแล้ว แม้กระทั่งเวลาส่วนใหญ่ยังไม่อยู่ในเมืองหลวง แต่กลับอยู่ในอารามฉางชุนในลั่วหยาง ผู้ใดก็ล้วนทราบดีว่า เขากำลังเตรียมตัวสำหรับเรื่องการกลับคืนสู่บัลลังก์ ซึ่งเงื่อนไขก็คือเขาต้องจัดการปัญหาในสำนักฝึกหลวงเสียก่อน แต่ขอเพียงวันนั้นยังไม่มาถึง คนที่มีอำนาจที่สุดในดินแดนต้าโจวตอนนี้ก็ยังคงเป็นเขา
ในส่วนที่เป็นเรื่องของผู้คนต่างๆ ในราชสำนักนั้น ก็ล้วนถูกเหล่าท่านอ๋องตระกูลเฉินรวมไปถึงตระกูลเทียนไห่ควบคุมอยู่
เขาไม่ค่อยเรียกพบเหล่าขุนนางในวังหลวง ต่อให้เป็นม่ออวี่ที่ถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวงเองก็เข้ามาในวังเพียงสามครั้งเท่านั้น
หลายคนล้วนคิดว่านี่คงเป็นสาเหตุที่ฮ่องเต้ทรงมีนิสัยโดดเดี่ยวแปลกประหลาด และไม่ยอมพบปะผู้คน
เหตุใดจึงเป็นเยี่ยงนี้ เนื่องจากร่างกายพระองค์ไม่สมบูรณ์หรือ
ทรงพูดไม่ได้ พระเนตรข้างเดียวไม่สามารถมองสิ่งใดได้ พระกรรณขาดไปหนึ่งข้าง พระอุรุพิการไปหนึ่งข้าง พระกรขาดไปหนึ่งข้าง
ไม่สมบูรณ์หนักหนาเช่นนี้ หากจะบอกว่าทุพพลภาพก็ไม่เกินไปนัก
แต่พิการเช่นนี้ยังได้กลายมาเป็นฮ่องเต้ของต้าโจว
เนื่องด้วยซางสิงโจวล้วนๆ ไม่มีผู้ใดกล้าออกมาเอ่ยอันใด ยิ่งไม่กล้าคัดค้าน แต่ความคิดของผู้คนก็ยากจะเปลี่ยนเช่นกัน
ตั้งแต่อวี๋เหรินขึ้นครองบัลลังก์ ในวังนอกวังไม่รู้ว่าเกิดข่าวลือไปมากมายเท่าใดแล้ว
ว่ากันว่าเขามีอารมณ์ที่โหดร้ายและกดขี่ข่มเหง มีความสุขในการฆ่าสาวใช้ในวังหลวง
ว่ากันว่าเขาเป็นคนขี้ขลาดและปิดตัวเอง และเขาก็ถูกผู้สาวใช้ในวังขึ้นขี่หลังร่ำไป
แต่คนเหล่านี้ลืมสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากไป
จักรพรรดิหนุ่มอ่านเฉพาะฎีกา และอาศัยอยู่ในวังอันเงียบสงบ
แต่เพียงสามปีหลังจากที่เขาขึ้นครองบัลลังก์ เขาก็ทำให้สถานการณ์วุ่นวายหลังราชวงศ์เทียนไห่สิ้นสุดมั่นคงขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว
พระราชกฤษฎีการาบรื่นไร้อุปสรรค การเมืองเรื่องชัดแจ้ง สถานการณ์มั่นคง กฎหมายที่รุนแรงถูกตัดทิ้งและช่องว่างของกฎหมายไม่ถูกปล่อยผ่าน วันคืนของผู้คนดีขึ้นเรื่อยๆ
แผ่นดินต้นโจวในปัจจุบันสามารถใช้แม่น้ำต้าเยี่ยนในการเปรียบเทียบได้
ฮ่องเต้เยี่ยงนี้จะเป็นผู้ปกครองที่เหี้ยมโหดได้อย่างไร แล้วจะเป็นคนไม่เป็นโล้เป็นพายที่ขี้ขลาดได้อย่างไร
จักรพรรดิไป๋ตี้รวมไปถึงคนอื่นล้วนแจ้งแก่ใจนัก ความสามารถในการปกครองประเทศและความชาญฉลาดของฮ่องเต้ผู้นี้โดดเด่นเป็นพิเศษ
ใช่แล้ว บุตรชายคนเดียวของฮ่องเต้พระองค์ก่อนและจักรพรรดินีเทียนไห่ เป็นความคาดหวังในอุดมคติของซางสิงโจวชั่วชีวิต จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร
……
……
แน่นอนว่าสวีโหย่วหรงก็ไม่คิดว่าฮ่องเต้หนุ่มผู้นี้จะเป็นเยี่ยงในข่าวเล่าลือ
นางเองก็สงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นคนเยี่ยงใดกันแน่
ก่อนหน้าที่ฮ่องเต้หนุ่มพระองค์นี้จะกลับมาครองบัลลังก์ในเมืองหลวง นางเองก็ได้ยินพระนามของอีกฝ่ายมาหลายคราแล้ว
ภายในวัดหิมะในสวนโจวรวมไปถึงเนินสุสาน แน่นอนว่าต้องแอบซ่อนสิ่งใดไว้แน่ หรือว่าปกปิดสิ่งใดเอาไว้
ในการสนทนาเหล่านั้น นางฟังออกว่ามีความสนิทชิดเชื้อและความเชื่อใจอยู่ในนั้น
ต่อให้จากเมืองซีหนิงไปหลายปี จากเมืองหลวงไปสามปี ความเชื่อมั่นของเฉินฉางเซิงที่มีต่อศิษย์พี่ผู้นี้ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ถึงแม้ว่านอกจากในคืนนั้นในสุสานเทียนซู ก็ไม่ได้พบเจอศิษย์พี่ผู้นี่อีกเลย
คำถามก็คือ คนจะจะไม่เปลี่ยนไปเลยหรือ
สวีโหย่วหรงไม่เชื่อ โดยเฉพาะอย่ายิ่งนางเชื่อมั่นในอำนาจของบัลลังก์นั้น
นั่นหมายถึงบัลลังก์ที่อวี๋เหรินประทับนั่งอยู่นั่นเอง
คนอย่างจักรพรรดิไท่จงนั้นยังสามารถเปลี่ยนเป็นคนเย็นชาและโหดเหี้ยมเพื่อบัลลังก์นั้นได้เลย สังหารเสด็จพี่บีบบังคับบิดาตน
จักรพรรดินีเหนียงเหนียงก็เช่นกัน
ฮ่องเต้หนุ่มผู้นี้คือศิษย์ของตระกูลเฉิน คือบุตรชายสืบสายโลหิตของจักรพรรดินีเหนียงเหนียง จะเป็นผู้อ่อนโยนที่เชื่อในความรู้สึกน่ะหรือ
สวีโหย่วหรงรู้สึกไม่สบายใจ
สิ่งที่นางจะทำนั้นมันตั้งมั่นอยู่บนความเชื่อใจระหว่างเฉินฉางเซิงและอวี๋เหริน
ดังนั้นนางอยากเห็นด้วยตาตัวเองว่า ฮ่องเต้หนุ่มผู้นี้เป็นคนอย่างไรกันแน่
ขันทีและนางในนำนางมาส่งด้านนอกตำหนัก หลังจากนั้นจึงค้อมตัวจากไป
สวีโหน่วหรงสังเกตว่าสายตาที่เหล่าขันทีและนางในมองไปยังดวงไฟที่อยู่ในส่วนลึกของตำหนักนั้นเต็มไปด้วยความเคารพรัก
ตั้งแต่เล็กนางก็เข้าออกวังหลวงเป็นประจำ ตอนนี้ที่นี่ยังมีตำหนักสำหรับนางด้วยซ้ำ นางคุ้นชินกับที่นี่เป็นอย่างมาก แต่นางไม่คุ้นชินกับสายตาเหล่านี้
สายตาเยี่ยงนี้ไม่คู่ควรกับสถานที่อย่างวังหลวงที่เงียบสงบและลึกลับเยี่ยงนี้
แสงไฟเหล่านั้นที่อยู่ในส่วนลึกของตำหนัก มาจากไข่มุกส่องสว่างลูกนั้นที่ฝังอยู่บนเสาไข่มุกนั้น
บนพื้นเก่าครึที่ถูกถูเสียจนมันวาวอย่างเห็นได้ชัด สาดแสงสะท้อนให้เห็นเงาคน
ฮ่องเต้หนุ่มนั่นอยู่เบื้องหลังโต๊ะหนังสือ กำลังอ่านฎีกาอยู่
เขาสวมอาภรณ์สีเหลือง แขนเสื้อข้างหนึ่งทิ้งตัวว่างเปล่า
ผมของเขาถูกหวีเสียจนเรียบแปล้ ไม่ได้จงใจให้มันทิ้งตัวลงมาปกปิดดวงตาที่มองไม่เห็นนั้น
สวีโหย่วหรงเดินไปเบื้องหน้าโต๊ะหนังสือ
ฮ่องเต้หนุ่มผู้นั้นเงยหน้าขึ้น
สีหน้าของเขาอบอุ่น แววตาสงบนิ่ง แต่ให้ความรู้สึกมุ่งมั่นละชัดเจนแกผู้มอง
สวีโหย่วหรงมีความรู้สึกคุ้นหน้าเขานัก หลังจากนั้นไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดนางเกิดความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา
เนื่องจากเขาเป็นบุตรชายแท้ๆ ของเหนียงเหนียงหรือ หรือเป็นเพราะแววตาและสีหน้าของเขา ราวกับเฉินฉางเซิงอย่างกับพิมพ์เดียวกัน
สวีโหย่วหรงเข้าใจในตัวจักรพรรดินีเทียนไห่นัก และก็เข้าใจเฉินฉางเซิงเช่นกัน
ไม่ต้องเอ่ยให้มากความ นางก็เข้าใจว่าจักรพรรดินีเทียนไห่และเฉินฉางเซิงกำลังคิดสิ่งใด
เวลานี้ นางเองก็ทราบดีว่าฮ่องเต้หนุ่มผู้นี้กำลังคิดการณ์ใด
สวีโหย่วหรงเอ่ยถาม “ฝ่าบาทเหตุใดจึงไม่ชอบหน้าข้า”