บทที่ 1191 ข้าสามารถล้างพิษได้

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,191 ข้าสามารถล้างพิษได้

ทันใดนั้น เพื่อนบ้านบางคนที่ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งพลันอุทานออกมาด้วยความโกรธแค้น

แม้แต่อู๋เหว่ยก็แทบเป็นลมล้มพับไปอีกรอบ “เจ้า… เสี่ยวเซวี่ย เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”

ฮันลั่วเซวี่ยได้แต่ก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก

“ทุกคนคงได้ยินกันแล้วนะ”

“นางสมคบคิดกับชายชั่ว วางยาพิษฆ่าบิดาตนเอง”

“จับนางไปแขวนคอเถอะ”

“พวกเราจับตัวนางส่งไปให้ทางวิหารลงโทษดีกว่า”

กลุ่มเพื่อนบ้านร้องตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล

“ไม่นะ เป็นไปไม่ได้”

อู๋เหว่ยเข้าใจดีว่าบุตรสาวไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น และนางก็รู้สึกมั่นใจมากว่าเหตุที่สามีเสียชีวิตนั้น ไม่ข้องเกี่ยวกับการที่หนุ่มใบ้เดินทางจากไป

“เสี่ยวเซวี่ย มีผู้ใดบังคับเจ้าหรือไม่?”

อู๋เหว่ยเคลื่อนกายเข้าไปหาบุตรสาวและถามออกมาเสียงดัง

ฮันลั่วเซวี่ยยังคงก้มหน้าก้มตา ไม่พูดอะไรออกมา

ชาวบ้านบางคนทนไม่ไหวตะโกนออกมาอีกครั้ง “นางแพศยามีจิตใจอำมหิตเกินไปแล้ว นางเห็นแก่เด็กใบ้ผู้นั้นถึงกับวางยาพิษสังหารบิดาตนเอง นางไม่สมควรได้อยู่ดูแลโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยอีกต่อไป เฒ่าฮันคงรู้อยู่แล้วว่าบุตรสาวตนเองไว้ใจไม่ได้ เขาจึงได้มอบโรงเตี๊ยมให้แก่จื่อชุน…”

“ใช่แล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จื่อชุนทำงานหนักให้แก่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ เฒ่าฮันเลี้ยงดูเขาไม่ต่างจากบุตรชายของตนเอง!” ใครอีกคนหนึ่งตะโกนออกมา

อู๋เหว่ยชักสีหน้าด้วยความแค้นเคืองใจ

นางเพิ่งสูญเสียสามี บัดนี้ บุตรสาวก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร… ด้วยเหตุนั้น หญิงชราจึงรู้สึกคล้ายกับว่าโลกทั้งใบกำลังจะถล่มลงมาแล้ว

“ท่านแม่ไม่ต้องเสียใจนะขอรับ ท่านไม่ต้องกังวล เดี๋ยวข้าจะจัดการทุกอย่างเอง…”

หรานจื่อชุนรีบวิ่งเข้ามาช่วยประคองอู๋เหว่ยและกระซิบว่า “เสี่ยวเซวี่ยคงทำตามคำสั่งเจ้าใบ้ ท่านแม่อย่าได้เป็นห่วง เดี๋ยวข้าจะปกป้องนางเอง”

พูดจบ เขาก็หมุนตัวกลับไป พูดเสียงดังว่า “พ่อแม่พี่น้องทุกท่านโปรดฟังให้ดี นี่คือเรื่องภายในตระกูลฮัน ปล่อยให้ข้าน้อยเป็นคนจัดการเองเถอะ…”

“เจ้าจะจัดการได้อย่างไร?”

“เจ้าเป็นหัวหน้าตระกูลฮันแล้วหรือ?”

“นั่นสิ เจ้าเป็นเพียงบุตรบุญธรรม ไม่มีสิทธิ์มีเสียงสักหน่อย”

ใครบางคนในกลุ่มชาวบ้านตะโกนสวนกลับมา

“แน่นอนว่าข้าย่อมมีสิทธิ์มีเสียง ตอนที่ท่านผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่ ท่านเคยบอกว่าต้องการให้ข้าแต่งงานกับเสี่ยวเซวี่ยและให้ข้ารับช่วงดูแลโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยต่อไป บัดนี้ ท่านผู้เฒ่าได้เสียชีวิตแล้ว เพราะฉะนั้น ข้าจึงเป็นตัวแทนของท่านผู้เฒ่า…”

หรานจื่อชุนตะโกนตอบกลับไปเสียงดังไม่แพ้กัน

“เจ้ามีหลักฐานหรือไม่?”

“ทำไมพวกเราต้องเชื่อเจ้าด้วย?”

ไม่ทราบเลยว่าเป็นผู้ใดในกลุ่มชาวบ้านที่มักจะส่งเสียงตั้งคำถามออกมาเสมอ

และคำถามเหล่านั้นก็คือสิ่งที่กลุ่มชาวบ้านต้องการคำตอบพอดี

“ตอนนั้นท่านแม่ก็อยู่ด้วย หากไม่เชื่อถือคำพูดของข้า พวกท่านลองถามท่านแม่ดูก็ได้” หรานจื่อชุนกล่าว หันหน้ากลับมาหาอู๋เหว่ยและพูดว่า “ท่านแม่บอกพวกเขาไปสิว่าข้าพูดความจริงหรือไม่?”

หลังจากนั้น เขาก็แอบกระซิบว่า “ท่านแม่ต้องไหลตามน้ำกับข้าไปก่อน มิฉะนั้น เราจะช่วยเสี่ยวเซวี่ยไว้ไม่ได้”

อู๋เหว่ยไม่เหลือความคิดอื่นใดอีกแล้ว ได้ยินดังนั้นนางก็รีบพยักหน้าโดยเร็ว “ใช่แล้ว เจ้าพูดความจริง เฒ่าฮัน… เคยกล่าวไว้เช่นนั้น”

“ทีนี้พวกท่านจะเชื่อได้แล้วหรือยัง?”

หรานจื่อชุนถาม

กลุ่มชาวบ้านเงียบเสียงลงแล้ว

รอยยิ้มของผู้ชนะปรากฏขึ้นบนใบหน้าหรานจื่อชุน

เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เห็นการปรากฏตัวของใครบางคนที่ทำให้ต้องหยุดชะงัก

“เจ้า…”

เขาจ้องมองไปที่ประตูทางเข้าลานที่พักด้านหลังโรงเตี๊ยม

เด็กหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างแช่มช้า

เป็นเจ้าใบ้นั่นเอง

เขากลับมาหรือ?

เขากล้ากลับมาได้อย่างไร?

“จับมันไว้”

เมื่อหรานจื่อชุนสลัดความตกตะลึงออกไปได้ เขาก็ตะโกนออกมาเสียงดังสนั่น

เงาร่างจำนวนหนึ่งในกลุ่มชาวบ้านพุ่งออกไปหาเด็กหนุ่มในชุดขาว

พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!

เงาร่างเหล่านั้นลอยกระเด็นกลับมา

กระแทกพื้นอย่างแรง

“ท่าน…”

ยามที่ฮันลั่วเซวี่ยเห็นเด็กหนุ่มชุดขาวปรากฏตัว นางทั้งประหลาดใจ มีความสุข โกรธแค้นและสงสัย เด็กสาวรีบลุกขึ้นยืนพูดว่า “ท่านจะกลับมาทำไม? ท่าน… รีบหนีไปเถอะ”

นางย่อมรู้ดีว่าความตายของบิดาไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับหนุ่มใบ้

ฮันลั่วเซวี่ยรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่นางพูดออกไปไม่ได้

“เจ้า…เจ้าตัวบัดซบ ยังกล้าทำร้ายผู้คนอีกหรือ?”

หรานจื่อชุนผงะถอยหลังไปเล็กน้อยขณะกล่าวว่า “เจ้าฆ่าท่านผู้เฒ่าแล้วยังกล้ากลับมาอีก เจ้าไปเอาความกล้าหาญเช่นนี้มาจากที่ใด…”

หลินเป่ยเฉินเห็นร่างของฮันหลี่ที่นอนอยู่ในโลงศพกลางกระท่อมไม้

ชายชรานอนแน่นิ่ง ใบหน้าสงบนิ่ง หัวคิ้วขมวดแข็งค้าง ดูเหมือนดวงวิญญาณคงเป็นห่วงภรรยาและบุตรสาวไม่น้อย แต่น่าเสียดายที่ชายชราไม่สามารถปกป้องพวกนางได้อีกแล้ว…

หลินเป่ยเฉินสำนึกเสียใจที่ตนเองมาช้าไปก้าวหนึ่ง

เด็กหนุ่มรู้สึกปวดใจเป็นอย่างยิ่ง

เขาเดินตรงไปที่โลงศพและมองใบหน้าของฮันหลี่ หลินเป่ยเฉินจดจำได้ดีว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ชายชราใจดีกับตนเองมากเพียงใด

ผู้ใดจะไปคาดคิดเลยว่าฆาตกรตัวจริงกลับเป็นหรานจื่อชุน อดีตเด็กกำพร้าที่ท่านผู้เฒ่าเก็บมาเลี้ยงจากข้างถนนและช่วยเหลือไม่ให้ต้องอดตายอยู่ท่ามกลางสายลมหนาว

“ท่านรีบหนีไป เร็วเข้า”

ฮันลั่วเซวี่ยวิ่งเข้ามาผลักหลินเป่ยเฉินออกไป

ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กสาวก็เชื่อมั่นว่าความตายของบิดาไม่มีส่วนข้องเกี่ยวกับหลินเป่ยเฉิน

หลินเป่ยเฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิม

เขายกนิ้วชี้ข้างขวาขึ้นมาขีดเขียนเป็นตัวอักษรในอากาศ

ปลายนิ้วของเขาปรากฏเปลวไฟสว่างไสว เกิดเป็นตัวอักษรไฟลอยอยู่ในอากาศ อ่านได้ความว่า

‘ข้าอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าวางใจเถอะ’

หลินเป่ยเฉินตบไหล่ฮันลั่วเซวี่ยอย่างแผ่วเบา

หลังจากนั้น เขาก็มองไปที่อู๋เหว่ยและเขียนข้อความในอากาศว่า ‘กราบเรียนท่านป้า ข้าไม่ได้เป็นคนวางยาพิษท่านลุง และเสี่ยวเซวี่ยก็ไม่ใช่ฆาตกรเช่นกัน เพราะคนที่วางยาพิษนั้นก็คือหรานจื่อชุนต่างหาก’

อู๋เหว่ยตกตะลึง

ร่างกายของฮันลั่วเซวี่ยสั่นเทาเล็กน้อย

ใช่แล้ว

เหตุผลที่ฮันลั่วเซวี่ยยอมรับสารภาพผิดว่านางวางยาพิษบิดา ก็เพราะหรานจื่อชุนมากระซิบใส่ข้างหูว่าเขาได้วางยาพิษให้แก่อู๋เหว่ยเช่นกัน

หากมารดาไม่ได้รับยาถอนพิษ มารดาก็จะต้องเสียชีวิตตามบิดาไปในเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม

เมื่อสูญเสียบิดาไปแล้ว ฮันลั่วเซวี่ยจึงไม่สามารถสูญเสียมารดาไปได้อีก

ตราบใดที่ฮันลั่วเซวี่ยยอมร่วมมือกับหรานจื่อชุน อีกฝ่ายก็จะมอบยาถอนพิษให้แก่มารดาของนางในที่สุด

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเป่ยเฉินจะมองออกตั้งแต่แรก

“ท่านรู้ได้อย่างไร?”

ฮันลั่วเซวี่ยถามด้วยความตกตะลึง

หลินเป่ยเฉินเขียนข้อความตอบกลับไปว่า ‘เดี๋ยวข้าค่อยอธิบายเป็นคำพูดทีหลัง’

เขาจะอธิบายให้นางฟังจริงหรือ?

ย่อมไม่มีทาง

หลินเป่ยเฉินไม่คิดว่าตนเองจะสามารถพูดภาษาเทพได้

เพราะเขาลองทำความเข้าใจจากตัวอักษรและทดลองปรับปรุงเป็นคำพูดดูแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถพูดออกมาได้สักคำ

ดังนั้นนี่จึงเป็นคำตอบที่หลินเป่ยเฉินใช้เป็นข้อแก้ตัวเท่านั้น

“เจ้า… เหลวไหล เจ้าใบ้ ยังไม่รีบยอมรับผิดอีก” สีหน้าของหรานจื่อชุนเปลี่ยนแปลงเป็นตกตะลึง เขาสบถคำหยาบออกมาตลอดเวลา ดวงตาจ้องมองฮันลั่วเซวี่ยอย่างคุกคาม “เสี่ยวเซวี่ย เจ้าบอกมาสิ เจ้าคิดดูดีแล้วใช่หรือไม่ อย่าได้กล่าววาจาเหลวไหล…”

“ข้า…”

ฮันลั่วเซวี่ยจ้องมองไปที่หรานจื่อชุน ตอนแรกคิดจะเปิดโปงเขา แต่แล้วก็เป็นกังวลเรื่องยาพิษในร่างกายมารดา

‘วางใจเถอะ’

หลินเป่ยเฉินเขียนข้อความในอากาศด้วยปลายนิ้วชี้ ‘ข้าสามารถล้างพิษให้มารดาของเจ้าได้’

ฮันลั่วเซวี่ยชำเลืองมองกลับมาที่หลินเป่ยเฉินและนางก็เชื่อเขาอย่างไม่ลังเล

“หรานจื่อชุนเป็นคนวางยาพิษ เมื่อสักครู่นี้ เขายังบอกอีกด้วยว่าได้วางยาพิษมารดาของข้าเช่นกัน หากข้าไม่ยอมร่วมมือกับเขาใส่ร้ายป้ายสีพี่ใบ้ มารดาของข้าก็จะต้องเสียชีวิตตามบิดาไป หรานจื่อชุน เจ้ามันไม่ใช่คน เจ้าเป็นคนวางยาพิษสังหารบิดาของข้า”

ฮันลั่วเซวี่ยยกมือชี้หน้าหรานจื่อชุนด้วยความเกลียดชัง

“เจ้า… เสี่ยวเซวี่ย เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ เมื่อเห็นหน้าเจ้าใบ้ เจ้าก็ถึงกับใส่ร้ายป้ายสีข้า เจ้า… อ๊ากกก!”

หรานจื่อชุนระเบิดเสียงคำรามออกมาโดยที่ยังพูดไม่ทันจบ

เพราะว่าจังหวะนั้น หลินเป่ยเฉินลงมืออย่างรวดเร็ว เขาพลิ้วกายราวกับวิญญาณร้าย มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าหรานจื่อชุนและเตะหัวเข่าทั้งสองข้างของชายฉกรรจ์อย่างแรง

“มานี่เถอะ มาคุกเข่าขออภัยศพท่านผู้เฒ่าซะ”

หลินเป่ยเฉินใช้มือกระชากเส้นผมลากหรานจื่อชุนตรงไปยังแท่นที่ตั้งโลงศพและบังคับให้นั่งคุกเข่าอยู่หน้าโลงศพ

“อ๊าก อ๊าก อ๊ากกก…”

หรานจื่อชุนร้องเสียงโหยหวน ใบหน้าบิดเบี้ยว

กระดูกหัวเข่าที่แตกหักไม่สามารถทนรับน้ำหนักร่างกายได้อีก จึงเกิดเป็นความเจ็บปวดสุดแสนทรมานไม่ต่างจากมีเปลวไฟเผาผลาญจากภายในร่างกาย และนั่นก็ทำให้หรานจื่อชุนต้องส่งเสียงร้องออกมาจนน้ำเสียงแหบแห้ง

บัดนี้ บรรดาเพื่อนบ้านที่มารวมตัวกันอยู่ในกระท่อมตั้งศพเริ่มทยอยได้สติกลับคืนมาแล้ว

“ฆาตกร”

“เจ้าใบ้กำลังจะฆ่าคนปิดปาก มันกำลังใส่ร้ายป้ายสีจื่อชุน”

ในกลุ่มชาวบ้าน บังเกิดเสียงผู้คนตะโกนออกมาปลุกปั่นสถานการณ์อีกครั้ง