สุดท้ายปี้เยว่ก็ถูกเทียนหยวนทำให้ลำบากไปด้วย เหมือนที่ปฏิบัติต่อลิ่งหูโต้วจ้ง เบื้องบนไม่ยอมให้โอกาสปี้เยว่กุมอำนาจทางทหา ต่อให้เหมียวอี้จะวางขอบข่ายงานที่เหลวไหลแบบนี้แล้ว เบื้องบนก็ยังเตะปี้เยว่ออกจากตำหนักสวรรค์แล้ว ปี้เยว่กลายเป็นคนที่ไร้ตำแหน่ง นี่คือผลลัพธ์ที่เหมียวอี้ปกป้องไว้ ไม่อย่างนั้นหลังจากพาไปด้วย ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะมีจุดจบอย่างไร
เมื่อได้เห็นจุดจบของลิ่งหูโต้วจ้ง ปี้เยว่ก็ไม่มีอะไรให้ไม่พอใจกับสิ่งนี้ เมื่อพัวพันกับข้อหากบฏแบบนี้ แต่ยังรักษาชีวิตไว้ได้ ไม่ถูกดูหมิ่นข่มเหง ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ตั้งแต่นี้ไปนางติดตามอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว ส่วนมู่หรงซิงหัวก็ยังเป็นทหารหญิงที่คอยฟังคำสั่งอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว
เหยียนซิวกับหยางเจาชิงก็ถูกทำโทษเตะออกจากตำหนักสวรรค์เช่นกัน เพียงแต่สถานการณ์ของทั้งสองต่างกับปี้เยว่ ทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ หยางเจาชิงกลายเป็นพ่อบ้านของเหมียวอี้อย่างเป็นทางการ ส่วนฐานะที่เป็นทางการของเหยียนซิว ก็ไม่มีใครรู้ว่านับเป็นอะไร
เมื่อมีกำลังพลมากขึ้น อันตรายที่แฝงเร้นก็เป็นสิ่งที่หลบเลี่ยงไม่ได้ ต่อให้ไม่ได้ย้ายคนสุ่มสี่สุ่มห้ามาจากตลาดสวรรค์ แต่ท่ามกลางกำลังพลหลายสิบล้าน ใครจะไปรู้ว่ามีสายลับของคนอื่นอยู่เท่าไหร่? เหมียวอี้รู้ว่าหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อยให้ค่อยเป็นค่อยไป ระมัดระวังมากขึ้น ถ้าจะให้ตั้งป้ายรับสมัครลูกน้องเหมือนที่จวนแม่ทัพภาพตลาดผีในปีนั้น ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว
กล่าวโดยสรุปก็คือ แนวโน้มสถานการณ์ของจวนผู้สำเร็จราชการเป็นรูปธรรมแล้ว
ส่วนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็นับว่าดูแลเหมียวอี้ไม่ขาดตกบกพร่อง เมื่อขึ้นป้ายจวนผู้สำเร็จราชการใหม่ คำสั่งแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ชั้นสี่ของอวิ๋นจือชิวก็มาแล้ว นี่คือสวัสดิการของฮูหยินท่านโหว ตั้งแต่นี้ไป อวิ๋นจือชิวไม่ต้องทำงานอะไรแต่ก็ยังได้ค่าจ้างประจำจากตำหนักสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยังสร้างคฤหาสน์เดี่ยวในอุทยานหลวงให้เหมียวอี้หลังหนึ่งด้วย หมายความว่าเหมียวอี้มีสิทธิ์เข้าออกอุทยานหลวงได้ทุกเมื่อ ได้รับสวัสดิการอย่างต่อเนื่อง มีแค่ไม่ได้สิทธิ์เข้าประชุมขุนนางเท่านั้นเอง นอกนั้นได้สวัสดิการเทียบเท่าท่านโหว
ดูจากแผนการระยะยาวของเหมียวอี้และหยางชิ่ง เมื่อผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้แล้ว ก็เข้าสู่ช่วงจำศีลอันยาวนานอีกครั้ง เลี้ยงดูกำลังพลที่มีฝีมือแล้วค่อยวางแผนอนาคตอีกที
ทว่าเรื่องงานที่อยู่ตรงหน้าเยอะเกินไปจริงๆ
เรื่องสลับตำแหน่งกำลังพลตลาดสวรรค์อละจวนผู้สำเร็จราชการยังอยู่ระหว่างดำเนินการ เบื้องล่างมีทั้งคนพอใจ มีทั้งคนไม่พอใจ
ทางตลาดสวรรค์ได้รับแจ้งจากเหมียวอี้แล้วเช่นกัน ให้แต่ละที่คิดหาทางสร้างร้านค้าหนึ่งร้าน ร้านขายของชำแห่งใหม่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
ทางตึกศาลาสัตยพรตถามหลายครั้งแล้ว ถามว่าเหมียวอี้จะว่างเมื่อไหร่ มีความเคลื่อนไหวบ่อยมาก คงจะเป็นเฉาหม่านที่ลงมือกับร้านค้าของตระกูลอิ๋งในตลาดมืด ร้านค้าที่ตัวเองได้มาจากพวกลิ่งหูโต้วจ้ง จะต้องเจรจากับเฉาหม่านให้ดี จะได้ไม่ประสบเคราะห์กรรมไปด้วย
สวีถังหรานสั่งให้ติดต่อกับบัญชีรายชื่อลับที่ได้มาจากพวกลิ่งหูโต้วจ้ง พวกลิ่งหูโต้วจ้งไม่อาจฟื้นคืนมาได้แล้ว จะทิ้งขว้างกำลังคนพวกนี้ให้เสียของไม่ได้ ถ้าดึงตัวมาได้ก็พยายามดึงตัวมา ยังมีเรื่องรับช่วงต่อร้านค้าที่ตลาดมืด งานนี้ส่งให้สวีถังหรานไปจัดการ สวีถังหรานเองก็ยุ่งจนปลีกตัวออกมาไม่ได้
สวีถังหรานเจ็บปวดแต่มีความสุข เขามีความทะเยอทะยานเสมอ มีประสิทธิภาพการทำงานสูงมาตลอด ภารกิจที่เหมียวอี้มอบหมายให้เขา ต่อให้เหมียวอี้ไม่เร่งเขา แต่เขาก็จะพยายามสุดความสามารถเพื่อทำให้สำเร็จ ไม่อย่างนั้นเวลาเหมียวอี้เลื่อนตำแหน่งแล้วจะคิดถึงเขาคนแรกได้อย่างไร ไม่ใช่แค่เพราะเขาประจบเก่ง แต่เรื่องที่ต้องทำอย่างลับๆ นั้น ส่งต่อให้สวีถังหรานจัดการจะเหมาะสมที่สุด
ทางด้านโถงชุมนุมอัจฉริยะ สวีถังหรานก็ไม่ได้วางมือ ดังนั้นสวีถังหรานจึงไม่มีทางเพ่งสมาธิไปที่งานในจวนผู้สำเร็จราชการได้ ส่วนใหญ่จัดการงานข้างนอก สำหรับเขาหัวหน้าภาคเป็นเพียงตำแหน่งขุนนาง เป็นแค่นามเท่านั้น
การสร้างจวนที่พักของสมาชิกในครอบครัวเหล่านั้นก็เริ่มขึ้นแล้ว ยังมีที่อยู่ของกำลังพลหลายสิบล้านด้วย ขนาดการก่อสร้างไม่เล็กเลยจริงๆ ช่างฝีมือจำนวนมากทำงานทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุด
เรื่องที่อยู่ของสมาชิกในครอบครัว เหมียวอี้ส่งต่อให้อวิ๋นจือชิวทั้งหมด เขาไม่ว่างมาติดต่อประสานงานกับพวกผู้หญิง แต่เรื่องที่พักของทัพใหญ่เขาค่อนข้างใส่ใจ แม้จะส่งต่อให้รองผู้สำเร็จราชการเหิงอู๋เต้าไปจัดการให้เป็นรูปธรรมด้วยตัวเองก็ตาม
วันนี้เหิงอู๋เต้าเชิญให้เหมียวอี้มาดูด้วยตัวเองว่ามีความเห็นอะไรหรือเปล่า เดิมทีเหมียวอี้จะไปตึกศาลาสัตยพรต แต่ทำได้เพียงมาดูสักหน่อย เดิมทีเหวินเจ๋อเน้นรับผิดชอบตลาดผีและน้ำพุวังเวง ต้องออกเดินทางไปตลาดผีกับเหมียวอี้อยู่แล้ว จึงถือโอกาสตามมาด้วยกัน
ขณะยืนบนยอดเขาทอดสายตามองงานก่อสร้างที่กำลังดำเนินการ หัวหน้าช่างฝีมือคนหนึ่งกับเหิงอู๋เต้าก็กำลังชี้จุดก่อสร้างเทียบกับแบบที่วางไว้ พลางอธิบายให้เหมียวอี้ฟัง ข้างหน้ามีจุดก่อสร้างหลายแห่งต่อเนื่องกันแล้ว
ขณะฟังคำอธิบาย เหมียวอี้ก็พยักหน้าพักหนึ่ง แล้วสั่งเหิงอู๋เต้าว่า “ถ้ายังยืนยันคำเดิม ให้เจ้ารับผิดชอบเรื่องนี้ ถ้าพี่น้องอยู่ไม่สบายก็จะมาคิดบัญชีกับเจ้าคนเดียว ยังมีทรัพย์สินที่ตำหนักสวรรค์ให้มา ตามหลักแล้วน่าจะเพียงพอ ราชินีสวรรค์พยายามเพื่อพวกเรามาก ถ้างบเกินเจ้าก็ต้องคิดหาทางเอาเอง”
เหิงอู๋เต้าส่ายหน้ายิ้มเจื่อน เหวินเจ๋อเองก็ยิ้มเห็นฟันอยู่ข้างๆ
ตรงนี้กำลังคุยกัน หยางเจาชิงที่อยู่ข้างกายก็เก็บระฆังดาราแล้วรายงานว่า “นายท่าน เจ้าสำนักจินหลิงของปราสาทดำเนินจันทร์มาแล้วขอรับ บอกว่าต้องการจะพบท่าน”
“ไม่ใช่ว่าจะไม่ติดต่อกับพวกเราจนกว่าจะแก่ตายหรอกหรือ? นางมาทำอะไรที่นี่?” เหมียวอี้ขมวดคิ้วพึมพำ แล้วเอียงหน้าบอกว่า “ให้คนไปนำทางมาเถอะ”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ แล้วถ่ายทอดคำสั่งลงไป
ใช้เวลาไม่นาน ในท้องฟ้าใกล้ๆ ก็มีทหารคนหนึ่งนำผู้หญิงสามคนเหาะมา ผู้ที่นำหน้ามาสวมชุดกระโปรงสีขาวดุจหิมะ เป็นสาวงามที่สวยสง่าภูมิฐานราวกับภาพวาด นางคือ จินหลิง เจ้าสำนักปราสาทดำเนินจันทร์ เหมียวอี้ไม่เคยเจอประมุขปราสาทลี่หัว แต่ก่อนหน้านี้เคยพบกับเจ้าสำนักท่านนี้แล้ว
“เจ้าสำนักจินให้เกียรติมาเยือน เป็นแขกที่มาไม่บ่อย!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้ม
จินหลิงกุมหมัดคารวะกลับ “ท่านผู้สำเร็จราชการเกรงใจแล้ว” ขณะที่พูดก็มองไปยังจุดก่อสร้าง “ช่างคึกคักจริงๆ”
“เจ้าสำนักมาที่นี่ไม่ทราบว่ามีอะไรจะกำชับ?” เหมียวอี้ถามด้วยรอยยิ้ม
“มิบังอาจกำชับหรอก” จินหลิงหันหน้ามา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะให้ท่านผู้สำเร็จราชการอธิบายต่อหน้าให้ชัดเจน จะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิดอะไรกัน”
ฟังน้ำเสียงดูจริงจัง เหมียวอี้ เหวินเจ๋อและเหิงอู๋เต้าสบตากันแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไร? หนิวจะล้างหูรอฟัง”
จินหลิงไม่อ้อมค้อม บอกตามตรงเลยว่า “ไม่กี่วันก่อน เว่ยซู พ่อบ้านใหญ่ของตระกูลเซี่ยโห้วไปลั่นวาจากับปราสาทดำเนินจันทร์แล้ว ว่าถ้าสำนักลมปราณมาปักหลักสร้างสำนักนี้ เขาก็จะมาปักหลักสร้างสำนักที่นี่เหมือนกัน ข้าไม่รู้ว่าเว่ยซูพูดจริงหรือไม่ เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่ปราสาทดำเนินจันทร์ต้องบอกท่านผู้สำเร็จราชการให้ชัดเจน ท่านผู้สำเร็จราชการต้องทราบไว้ว่าที่นี่คืออาณาเขตของปราสาทดำเนินจันทร์ ท่านเคยเห็นสำนักไหนบ้างที่ให้อีกสำนักเข้ามาแทรกอีก? ถ้าสำนักลมปราณต้องการจะปักหลักที่นี่จริงๆ เช่นนั้นข้าก็เตือนท่านผู้สำเร็จราชการได้เลย ว่าปราสาทดำเนินจันทร์ไม่อนุญาต เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องเจรจากัน ลาก่อน!” นางไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องเว่ยซู เปิดเผยออกมาโดยตรง พูดจบก็หันตัวเหาะไปเลย ท่าทางเหมือนไม่อยากสานสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเหมียวอี้ ไร้มารยาทมาก
เหมียวอี้เบะปากข้างเดียวเล็กน้อย มารดาเจ้าเถอะ เว่ยซูบังอาจเล่นสกปรกลับหลัง
แต่จะว่าไปแล้ว เขาก็ทำอะไรเว่ยซูไม่ได้จริงๆ ถ้ากล้าแตะต้องเว่ยซู ก็ไม่ต่างอะไรกับเปิดศึกกับตระกูลเซี่ยโห้วทั่วทุกด้าน มิหนำซ้ำเรื่องนี้ก็ถูกเว่ยซูเปิดโปงแล้ว ท่าทีของปราสาทดำเนินจันทร์ชัดเจนมาก เป็นไปไม่ได้แล้วที่จะต้มข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุก ที่สำคัญที่สุดก็คือ พอลองคิดดูแล้วก็พบว่าปราสาทดำเนินจันทร์พูดไม่ผิด การสร้างสำนักในอาณาเขตสำนักของคนอื่นไม่เหมาะสมจริงๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาก็ไม่อนุญาตเหมือนกัน คาดว่าตำหนักสวรรค์ก็คงไม่อนุญาตคำขอที่เหลวไหลอย่างนี้ด้วย
แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือ สำนักลมปราณต้องได้รับการปกป้องจากเขา ถ้าออกจากแดนรัตติกาลไปอยู่ในอาณาเขตของสี่กองทัพ ก็ลงหลักปักฐานไม่สะดวก ตระกูลเหล่านั้นไม่ยอมให้สำนักลมปราณได้อยู่สบายแน่นอน แต่นอกจากอาณาเขตปราสาทดำเนินจันทร์ที่เหมาะสมในการตั้งสำนักระยะยาว ที่แดนรัตติกาลก็หาที่อื่นไม่ได้แล้ว
เป้าหมายของเว่ยซูก็ชัดเจนมาก นั่นก็คือบีบให้สำนักลมปราณออกจากแดนรัตติกาล แล้วค่อยใช้อำนาจกดดันอีกที!
“ท่านผู้สำเร็จราชการ ทำไมเว่ยซูถึงจะกัดสำนักลมปราณไม่ปล่อย?” เหวินเจ๋ออดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม เขาเคยได้ยินเรื่องเรื่องของสำนักลมปราณและเกาเหยียนแล้ว แต่ทำไมถึงถูกเว่ยซูเพ่งเล็งอีก เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจแล้ว เป็นเพราะตอนนี้เขาไม่เข้าใจสถานการณ์ของร้านขายของชำซื่อตรง
เหิงอู๋เต้ารู้สึกเหนือความคาดหมายนิดหน่อย ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจติดตามข่าวในด้านนี้เลย
“ร้านขายของชำซื่อตรง เดิมทีข้าเป็นคนสร้างขึ้นมาเองกับมือ แต่ถูกพวกหน้าไม่อายมาขอแบ่งไปแล้ว…” เหมียวอี้อธิบายสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ
เหวินเจ๋อกลับเหิงอู๋เต้าสบตากันอย่างพูดไม่ออก สงสัยจะวางกับดักเซี่ยโห้วลิ่งแล้ว ต้องการจะสร้างเตาไฟขึ้นมาใหม่ อีกฝ่ายกล้าโค่นล้มแม้กระทั่งอิ๋งจิ่วกวง มีหรือที่จะคบด้วยได้ง่ายขนาดนั้น
“ถ้าไม่มีที่ให้พักแล้วจริงๆ อย่างมากก็ให้สำนักลมปราณกระจายกันอยู่ตามตลาดสวรรค์ไปก่อน รอให้สถานการณ์คลี่คลาย จัดการเรื่องตรงหน้าให้เสร็จก่อนแล้วค่อยคิดหาวิธีการ” เหมียวอี้โบกมือ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสำนักลมปราณ ใช่ว่าจะไม่เคยมีใครโน้มน้าว ตอนแรกที่เขาก่อเรื่องเกี่ยวกับสำนักลมปราณ ก็ทำให้หยางชิ่งโมโหจนแทบกระอักเลือด กลั่นกรองแผนการใหญ่โตขนาดนั้น แต่เหมียวอี้ดันแอบทำเรื่องส่วนตัว หยางชิ่งกังวลมาตลอดว่าในภายหลังจะมีปัญหาอื่นเข้ามาแทรก แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะโน้มน้าวไม่ได้ผล!
แต่สำหรับเหมียวอี้ในตอนนั้น นักพรตเต๋าเต๋อหมิงติดต่อมาหาเขา รู้ว่าเป่าเหลียนพบปัญหาอย่างนั้น มีหรือที่เขาจะนิ่งเฉยได้?
“กุญแจสำคัญในตอนนี้ก็คือ เริ่มสร้างร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ เมื่อมีร้านค้าแล้ว สำนักลมปราณก็จะมีที่อยู่ เรื่องที่ตลาดสวรรค์ส่งให้เจ้าจับตาดูแล้วกัน ตอนนี้ศูนย์กลางที่ควบคุมตลาดสวรรค์แต่ละเขตก็คือกองทัพองครักษ์พอดี เจ้าคุ้นเคยกับกองทัพองครักษ์ ไปพูดคุยให้มากๆ หน่อย” เหมียวอี้หันหน้ามาโยนเรื่องนี้ให้เหวินเจ๋อเสียเลย ให้เหวินเจ๋อไปจัดการ
“ข้า…” เหวินเจ๋อชี้ที่ตัวเอง “ไม่เหมาะมั้ง ข้ารับผิดชอบเรื่องน้ำพุวังเวงกับตลาดผีแล้ว กลัวว่าจะยุ่งจนทำไม่ทัน! เหิงอู๋เต้าสร้างบ้านเสร็จก็ไม่มีงานอะไรแล้ว ให้เหิงอู๋เต้าไปจัดการสิ” เขาไม่ได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา นั่นก็คือ ร้านขายของชำคือช่องทางรายได้ส่วนตัวของเจ้า เจ้าให้ข้าช่วยเจ้าทำงานส่วนตัว เจ้าช่างกล้าเอ่ยปากขอเรื่องนี้
เหมียวอี้จ้องเขาอย่างเยียบเย็น “เจ้าต้องทำความเข้าใจเรื่องหนึ่งเอาไว้ ตอนนี้เจ้าคือคนของจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ไม่ใช่คนของกองทัพองครักษ์ เจ้ามารับตำแหน่งที่นี่ไม่ใช่เพราะเตรียมจะรับค่าจ้างไปทั้งชีวิตหรอกใช่มั้ย? ถ้าใช่ งั้นข้าก็ไม่บังคับแล้ว!”
“…” เหวินเจ๋อพูดไม่ออก สุดท้ายก็ตอบอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ข้าจะลองพยายามให้เต็มที่ก็แล้วกัน”
เรื่องนี้ถูกกำหนดไว้อย่างนี้ชั่วคราว จากนั้นเหมียวอี้ก็นำเหวินเจ๋อไปที่ตลาดผี
เมื่อมาถึงตลาดผี เหวินเจ๋อก็ไปที่จวนแม่ทัพภาคเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างเป็นทางการ เดี๋ยวยังต้องไปตรวจดูที่น้ำพุวังเวงด้วย
เหมียวอี้ไปที่ตึกศาลาสัตยพรตแล้ว
เจรจากับเฉาหม่านราบรื่นมาก ทั้งสองฝ่ายล้วนพอใจ
ทว่าไม่ใช่ทุกเรื่องที่ราบรื่น สุดท้ายเรื่องที่ทำให้หยางชิ่งกังวลว่าจะเป็นปัญหาแทรกแซงก็เกิดขึ้นแล้ว
…………