ราชันเร้นลับ 1367 : แคว

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

เนื่องจากไม่ทราบว่าอามุนด์กำลังอยู่ในสถานะใด ไคลน์ไม่กล้าประวิงเวลา หลังจากแก้ไขปัญหาทางจิตได้เบื้องต้น ชายหนุ่มมุ่งหน้ามายังเมืองกัลเดรอนทันที เพื่อนำน้ำจากแม่น้ำอันธการนิรันดร์กลับไป

และเนื่องจากสิ่งนี้เกี่ยวพันกับแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด ผลการทำนายจึงมิอาจลงรายละเอียดในเชิงลึก ทำได้แค่เห็นนิมิตอย่างคลุมเครือ ยากจะตัดสินระดับความอันตรายได้แม่นยำ

เมื่อกวาดตาไปรอบตัว ไคลน์ยกมือขึ้น อัญเชิญภาพฉายในอดีตของตัวเองเมื่อไม่กี่นาทีก่อนออกมา และส่งร่างต้นกลับปราสาทต้นกำเนิด

จิตใต้สำนึกของชายหนุ่มถูกโอนถ่ายไปยังภาพฉายทันที ร่างดังกล่าวเริ่มขยับได้ราวกับมีชีวิต

ถัดมา ไคลน์จับคว้าความว่างเปล่า ดึงภาพฉายของไม้เท้าดวงดาวออกมา

ว่ากันตามตรง หลังจากไคลน์สามารถใช้พลังพิเศษลำดับ 0 ส่วนใหญ่ของเส้นทางผู้ฝึกหัดผ่านปราสาทต้นกำเนิด มันก็ไม่จำเป็นต้องถือสมบัติปิดผนึกระดับ 0 อย่างไม้เท้าดวงดาวอีก สามารถจำลองผลลัพธ์ได้โดยตรง และไม่ต้องเผชิญความเสี่ยงของผลข้างเคียง

อย่างไรก็ดี ชายหนุ่มเชื่อเสมอว่าเทวทูตควรพกพาอาวุธประชิดติดตัว เพราะไม่มีทางทราบได้เลยว่า ตนจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่มิอาจใช้พลังพิเศษได้ตอนไหน

ในโลกแห่งศาสตร์เร้นลับ สิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกฎของเส้นทาง ‘ผู้ตัดสิน’ หรือการแทรกแซงจากเทพภายนอกซึ่งสามารถสร้างผลลัพธ์ในแบบเดียวกัน

ดังนั้น การเลือกพกพาไม้เท้าแข็งๆ ซึ่งมีทักษะติดตัวเป็นการระเบิดร่างศัตรู ย่อมมีประสิทธิภาพในยามคับขัน

ในฐานะราชาเทวทูตแห่งเส้นทางนักทำนาย ไคลน์มีนิสัยชอบเตรียมความพร้อมตลอดเวลา!

หลังจากสัมผัสถึงน้ำหนักของไม้เท้าดวงดาวในมือ ชายหนุ่มกดหมวกทรงกึ่งสูงเหนือศีรษะ หยิบเครื่องประดับทองคำรูปนกออกจากปราสาทต้นกำเนิดและกลัดไว้ที่กระเป๋าเสื้อหน้าอกซ้าย

ถัดมา ไคลน์ก้าวไปข้างหน้าเพื่อเข้าเขตเมืองกัลเดรอน – อดีตอาณาจักรเทพของเทพมรณาโบราณ ต้นตระกูลฟีนิกซ์ เกรจารี

สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาชายหนุ่มคือหลุมลึกไร้ก้นขนาดยักษ์ ถัดมาเป็นอาคารรูปทรงประหลาด เรียงรายเวียนรอบหลุมลึกลงไปทีละชั้น ประกอบเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่ก้าวข้ามสามัญสำนึกของผู้คน

จากบรรดาอาคารเหล่านี้ บางหลังเป็นบ้านเดี่ยวที่สร้างบนต้นเสาหิน บางหลังมีลักษณะเหมือนโลงศพยาวขนาดใหญ่ ไม่มีหน้าต่าง ประตูเปิดจากหลังคา บางหลังเป็นหลุมศพ ทางเข้าอยู่ใต้ป้ายหลุมศพ บางหลังสร้างจากกระดูกนานาชนิด ดูรกและวุ่นวาย

ยิ่งใกล้ก้นหลุมมากเพียงใด อาคารก็ยิ่งมีสภาพดี และยิ่งอยู่ใกล้ด้านบน สภาพอาคารก็ยิ่งใกล้เคียงกับซากปรักหักพัง ผุกร่อนไปตามกาลเวลา

ไคลน์กวาดตามองพร้อมกับสร้างหมอกสีเทาอ่อนจางๆ ปกคลุมร่างกาย เป็นการอาศัยออร่าของปราสาทต้นกำเนิด เพื่อต่อต้านกฎของเมืองกัลเดรอนที่จะเปลี่ยนให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดกลายเป็นคนตาย

อันที่จริง การเป็นคนตายมิใช่ปัญหาใหญ่สำหรับไคลน์ เพียงแต่มันไม่ชอบความรู้สึกเย็นชาและไร้อารมณ์

“คลื่นน้ำสีเทาที่เคยเอ่อล้นในคราวก่อน ตอนนี้ลดระดับกลับลงไปแล้ว…” ไคลน์ซึ่งแต่งกายด้วยหมวกทรงกึ่งสูง เสื้อโคตกันลม และไม้เท้าดวงดาว พยักหน้ากับตัวเองอย่างครุ่นคิด ก่อนจะก้าวเข้าไปในส่วนลึกของกัลเดรอน ในจุดที่ตาเปล่ามองเห็น

คราวนี้เป็นการใช้พลังพิเศษของเส้นทางนักจารกรรม เพื่อขโมย ‘ระยะทาง’ ในขอบเขตการรับรู้ของตน ช่วยให้หลีกเลี่ยงการปะทะกับสัตว์ประหลาดที่ดำรงชีวิตภายในเมืองลึกลับแห่งนี้

ไคลน์มิได้ทำไปเพราะกลัว ฝ่ายที่ควรต้องกลัวคือสัตว์ประหลาดต่างหาก ถ้าไม่ใช่เพราะรีบทำเวลา ไคลน์คงเตร็ดเตร่สะสมหุ่นเชิดไปเรื่อยๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียที่เกิดกับยูโทเปีย

ด้วยเหตุผลข้างต้น ชายหนุ่มยังคำนึงถึงประเด็นอื่นโดยไม่ประมาท

กัลเดรอนคือเมืองแห่งความตาย ในส่วนลึกสุดของเมืองน่าจะมีแม่น้ำอันธการนิรันดร์ไหลเวียนอยู่ และในเชิงหลักการ หุ่นเชิดคือคนตาย หากเข้าใกล้กับเขตดังกล่าว มีโอกาสสูงที่พวกมันจะกลายพันธุ์

ยิ่งเดินเข้าไปลึกขึ้น ไคลน์พบว่าตนคิดมากเกินไป:

ไม่มีสัตว์ประหลาดตัวใดกล้าโผล่หน้ามาให้เห็น ดูเหมือนว่าออร่าของปราสาทต้นกำเนิดจะกระตุ้นให้พวกมันอยากมีชีวิตต่อไป มากกว่าจะทำตามสัญชาตญาณโดยการออกล่าเหยื่อ

ยิ่งลึกลงไปใต้ดินมากเพียงใด สภาพแวดล้อมรอบตัวไคลน์ก็ยิ่งเงียบสงัด อาคารประหลาดอาจยังมีสภาพดีอยู่ แต่ไคลน์กลับรู้สึกว่าพวกมันตายสนิทโดยสิ้นเชิง แม้แต่ออร่าก็ยังเย็นชืด หม่นหมอง และผุกร่อน

รู้สึกเหมือนกับกำลังดูหนังใบ้ขาวดำ… ถ้าไม่ได้ยินเสียงลมหายใจหรือหัวใจเต้น เราคงสงสัยว่าตัวเองหูหนวก… ไคลน์อาศัยการรำพันเพื่อเอาชนะความเงียบสงัดโดยสมบูรณ์

มันเชื่อโดยสัญชาตญาณว่า หากตนเคยชินกับสภาพแวดล้อมปัจจุบัน ร่างกายและจิตใจจะค่อยๆ สงบนิ่ง จนกระทั่งตายไปจริงๆ และมิอาจฟื้นฟูกลับเป็นปรกติ

ยิ่งเข้าใกล้เบื้องล่าง ความรู้สึกดังกล่าวก็ยิ่งรุนแรง

หลังจากขโมยระยะทางสลับกับเดินเท้าอย่างต่อเนื่อง ไคลน์เริ่มมองเห็นก้นบ่อ

ไม่สิ ไม่ใช่ก้นบ่อของจริง เป็นเพียงวังยักษ์อันดำมืดที่ตั้งกีดขวางเส้นทาง

วังดังกล่าวถูกค้ำจุนโดยต้นเสายักษ์ที่ฝังกระดูกและซากศพจำนวนมาก บางจุดถูกปกคลุมไปด้วยผิวหนังเปื้อนเลือดของเผ่าพันธุ์ต่างๆ

ไคลน์จ้องมองสักพักก่อนจะสลัดความลังเล ถือไม้เท้าดวงดาวเดินผ่านประตูที่เปิดอยู่เข้าไปในวัง

สองฝั่งห้องโถงเต็มไปด้วยโลงศพที่รูปร่างและสีสันแตกต่างออกไป แต่ละโลงนอนแน่นิ่งราวกับพวกมันก็ถูกความตายกัดกินไม่ต่างกัน

เมื่อไคลน์เดินเข้าไปใกล้ เสียงของบางสิ่งดังออกจากด้านในโลง คล้ายกับข้อต่อขึ้นสนิมกำลังขยับเขยื้อน

หมอกสีเทาอ่อนรอบตัวไคลน์ทวีความหนาแน่น ส่งผลให้โลงศพทั้งหมดกลับไปเงียบสงบอีกครั้ง

ไคลน์ก้าวต่อไปโดยไม่สนใจโลงศพ จนกระทั่งถึงส่วนลึกของห้องโถงซึ่งมีบันไดหินสีเทาอ่อนลาดลง แผ่นหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่หน้าทางเข้า

ด้านบนสุดของแผ่นหินมีรูปปั้นทองแดงของนกยักษ์รูปร่างผอมเพรียว บนปีกเต็มไปด้วยสัญลักษณ์สีซีด

ใต้รูปปั้นนกทองแดง บนผิวแผ่นหินมีการสลัก ‘ภาษาแห่งความตาย’ ลักษณะของตัวอักษรคล้ายกับนกในท่าทางต่างๆ หรือไม่ก็งูที่ขดเป็นรูปร่างต่างออกไป ทั้งหมดประกอบกันเป็นประโยคความหมายกำกวม:

“แม้แต่เทพก็มิอาจหลุดพ้น”

“แม้จะตายไปก็ยังถูกจองจำ”

นี่คือคำเตือนไปถึงทุกสิ่งมีชีวิตที่มาเยือนกัลเดรอน ว่าอย่าลงบันไดไป? หรือว่าปลายทางคือแม่น้ำอันธการนิรันดร์? ท่ามกลางกระแสความคิด ชายหนุ่มพยายามถอดรหัสข้อความบนแผ่นหิน

ตามความเห็นของไคลน์ ข้อความน่าจะหมายถึง หากเข้าใกล้แม่น้ำอันธการนิรันดร์ ต่อให้เป็นเทพแท้จริงลำดับ 0 ก็จะติดอยู่ที่นั่นโดยมิอาจหลบหนีไปไหน และถึงแม้จะตายไป ก็ยังถูกแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดจองจำ มิอาจสลายไปหรือหลุดพ้นด้วยประการทั้งปวง

นั่นสินะ เฉกเช่นทะเลแห่งความโกลาหล หากเผลอเฉียดใกล้โดยไม่มีการปกป้องจากแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด ผลลัพธ์เดียวคือการกลายพันธุ์อันน่าสะพรึง… ไคลน์ถอนสายตากลับ จัดเครื่องประดับทองคำรูปนกที่ปักอยู่บนกระเป๋าเสื้อ เดินผ่านรูปปั้นทองแดง บรรจงย่างกรายลงบันไดสีเทาอ่อนทีละขั้น

มันมิได้ขโมยระยะทางอีกต่อไป เพื่อหลีกเลี่ยงการนำพาตัวเองเข้าสู่ปัญหา

ท่ามกลางความมืดมิดและสภาพแวดล้อมเย็นเยียบ เครื่องประดับทองคำรูปนกบนหน้าอกไคลน์ส่องประกายสีซีด มอบความสว่างเป็นวงแคบ ดูคล้ายกับเรือแห่งชีวิตที่กำลังดิ้นรนในแม่น้ำแห่งความตาย

ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ออร่าของปราสาทต้นกำเนิดรอบตัวชายหนุ่มเกิดการตอบสนองโดยอัตโนมัติ สายหมอกทวีความหนาแน่นจนดูเหมือนรังไหมสีเทาอ่อน

ขณะเดียวกัน ไคลน์เอียงคอเล็กน้อย ได้ยินเสียงมายาดังแว่ว

คล้ายกับบ่งบอกเป็นนัยว่า ลึกลงไปด้านล่าง ไม่ห่างจากตำแหน่งปัจจุบัน แม่น้ำสีดำสายหนึ่งกำลังไหลเอื่อยเฉื่อย

วินาทีถัดมา ไคลน์ก้มศีรษะลง มองฝ่าเท้าตัวเอง

กระแสน้ำมายาสีดำ ไหลออกมาจากที่ใดก็มิอาจทราบได้

บนผิวของกระแสน้ำ แม้แต่แสงสว่างก็มิอาจดำรงอยู่

“ไม่เหมือนคราวก่อน…” ไคลน์ขมวดคิ้ว

เมื่อครั้งเคยมาเยือนเมืองกัลเดรอนเพื่อล่าหัวขโมยโลกวิญญาณ ไคลน์ก่อความวุ่นวายขึ้น จนมีกระแสน้ำมายาสีเทาอ่อนจำนวนมากเอ่อท่วมขึ้นมาจากก้นหลุมลึก

สีของกระแสน้ำทั้งสองครั้งไม่เหมือนกัน

ขณะไคลน์กำลังครุ่นคิด ณ ด้านล่างของบันไดหินซึ่งมีกระแสน้ำสีเข้มซึมผ่านเข้ามา หมอกปริศนาสีเทาอ่อนทยอยลอยขึ้นมายังด้านบน ผสานเข้ากับกระแสน้ำมายาจนกลายเป็น ‘แสง’ สีเทาอ่อน

เมื่อกระแสน้ำดังกล่าวเอ่อท่วมข้อเท้าไคลน์ มันหดกลับไปเองอย่างเงียบงัน คล้ายกับเกิดความผันผวนเป็นระยะ

หมอกสีเทาจางๆ พวกนี้ เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี… สีหน้าไคลน์เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

หลังจากชะงักไปเล็กน้อย มันเดินไปลงต่อ

ทันใดนั้นเอง เมื่อกระแสน้ำมายาเริ่มท่วมร่าง ชายหนุ่มรู้สึกว่าร่างกายเบาขึ้น อารมณ์กลายเป็นเย็นชา ความคิดค่อยๆ เลือนหายไป

หากไม่ใช่เพราะถูกห่อหุ้มด้วยออร่าของปราสาทต้นกำเนิด ไคลน์เชื่อว่าตนคงผสานเป็นหนึ่งเดียวกับกระแสน้ำอย่างมิอาจต้านทาน

ถัดมา ‘รังไหม’ สีเทาอ่อนลอยขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะจมลงไปด้านล่างเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปลายบันได

สุดปลายบันไดคือความว่างเปล่า และภายในความว่างเปล่ามีแม่น้ำสายตรงเส้นหนึ่ง ลักษณะกว้างขวาง มายา มืดมิด และไร้สีสัน

ภาพของแม่น้ำพร่ามัวอย่างมาก ยากจะจำแนกได้ชัดเจน เนื่องจากกำลังถูกรายล้อมด้วยหมอกสีเทาอ่อนคล้ายม่าน

“นึกแล้วเชียว…” ได้เห็นสิ่งนี้ ไคลน์อดไม่ได้ที่จะพึมพำ

สายหมอกเหล่านี้มิใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับชายหนุ่ม มันเคยเห็นมาจากหลังประตูในซากปรักหักพังแบนชี เคยเห็นจากสุดขอบทิศตะวันออกของดินแดนเทพทอดทิ้ง และเคยเห็นพวกมันล่องลอยใต้ปราสาทต้นกำเนิด!

แต่แตกต่างจากที่อื่น ส่วนหนึ่งของแม่น้ำอันธการนิรันดร์สามารถซึมออกจากหมอกสีเทาอ่อน บางส่วนผสมผสานกันกลายเป็นสีมืดสลับซีด

ส่วนที่ซึมออกมาม้วนตัวขึ้นสลับกับยุบตัวลง ดูคล้ายกับสายน้ำที่ไหลผ่านความมืด

สองฝั่งของแควที่ซึมออกมา มีเสาหินสีซีดต้นใหญ่ตั้งเรียงราย คล้ายกับกำลังค้ำจุนบางสิ่งอย่างมั่นคงโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายล้มลง

ในจุดระหว่างเสาหิน บริเวณชายขอบแคว ร่างโปร่งแสงค่อนข้างพร่ามัวจำนวนนับไม่ถ้วน กำลังเดินวนเวียนไปมาอย่างเชื่องช้า แต่ไม่หยุดนิ่ง

จากบรรดาร่างทั้งหมด บุคคลที่สะดุดตาที่สุดกำลังเดินด้วยความมึนงงอยู่ภายในส่วนลึกของแคว บ้างก็หันหลังและเดินกลับ แต่ก็มิอาจหลุดพ้นจากแม่น้ำสายย่อยดังกล่าวได้

ร่างกายใหญ่โตคล้ายกับเสาหินโดยรอบ ถูกคลุมร่างด้วยชุดคลุมสีดำสนิท มองจากด้านข้างเห็นได้ชัดว่าแก่ชรา

ทันใดนั้น มันหันหน้ามาจ้องไคลน์

ใบหน้ามีเอกลักษณ์ของชาวทวีปใต้เด่นชัด แต่บางจุดเน่าเปื่อย บางจุดมีขนนกสีขาวเปื้อนคราบน้ำมันงอกเงย

ไคลน์รู้จักอีกฝ่าย ไม่ใช่ใครนอกจากบิดาของมิสเตอร์อะซิก ‘เทพมรณา’ จากยุคสมัยที่สี่

‘จักรพรรดิแห่งโลกความตาย’ ซาลินเจอร์

………………………………