ตอนที่ 1775 วารีผลึกตะวันดาราใต้

Alchemy Emperor of the Divine Dao

ฟู่จวิ้นหย่งเดินคอตกจากไป

หมัดที่หลิงฮันปล่อยออกไปไม่ได้รุนแรงเท่าไหร่ เพราะงั้นเพียงแค่พักรักษาตัวสักสิบกว่าวัน บาดแผลของฟู่จวิ้นหย่งก็น่าจะหายดี

หลังจากนั้นก็ยังมีคนอื่นโผล่หน้ามาขอสิทธิอยู่เรื่อยๆ

บ้างก็มาอย่างมิตรโดยยินยอมจะมอบศิลาดวงดาว สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์หรือทักษะต่างๆเป็นค่าตอบแทน บ้างก็มาอย่างไร้มารยาทโดยการออกคำสั่งให้หลิงฮันมอบสิทธิให้

สำหรับกลุ่มคนประเภทแรก หลิงฮันได้กล่าวปฏิเสธไปอย่างเป็นมิตร แต่สำหรับกลุ่มคนประเภทที่สอง เขาได้ทำการทุบตีอย่างไม่ไว้หน้า

ปัง!

จู่ๆทั่วทั้งที่พักของเขาก็เกิดการสั่นไหวราวกับจะถล่ม เวลาผ่านไปหลายลมหายใจกว่าจะสั่นสะเทือนจะหยุด พร้อมกับเสียงของใครบางคนได้ตะโกนขึ้นมา “หลิงฮันอยู่ที่ไหน? เจ้ายังไม่ออกมาพบข้าอีกรึ!”

เสียงตะโกนนั้นแฝงไว้ด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่ใช่ของระดับโลกียนิพพาน แต่เป็นระดับแบ่งแยกวิญญาณ!

หลิงฮันลุกขึ้นยืนและทะยานร่างออกไป

ณ บริเวณหน้าทางเข้าที่พัก ชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่โดยนำมือทั้งสองพาดไว้ที่ด้านหลัง

แม้จะบอกว่าคนผู้นี้เป็นชายหนุ่ม แต่คลื่นพลังที่สัมผัสได้จากการไหลเวียนโลหิตของอีกฝ่ายนั้น บ่งบอกว่าคนผู้นี้มีชีวิตมาแล้วอย่างน้อยหมื่นล้านหรืออาจจะแสนล้านปี การที่รูปลักษณ์ยังดูเยาว์วัยย่อมเป็นเพราะอีกฝ่ายทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ใบหน้าจึงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ

ในความเป็นจริง สำหรับตัวตนระดับนิรันดร์ที่ทรงพลังบางคนนั้น เพื่อที่ตนเองจะได้ดูมีความน่าเคารพ พวกเขาถึงขนาดยอมที่จะทำการแปลงโฉมของตัวเองให้ดูแก่ขึ้น แต่สำหรับบุคคลตรงหน้า ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น

ด้านหลังของ ‘ชายหนุ่ม’ ยังมีรุ่นเยาว์อีกคนยืนอยู่ด้วยซึ่งหลิงฮันก็รู้จัก

ฟู่เจิ้งถง

เพราะก่อนหน้านี้พ่ายแพ้ไปอย่างหมดสภาพ คราวนี้ก็เลยพาตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณมาแก้แค้นงั้นรึ?

นี่ทุกครั้งที่เจ้าแพ้ใคร เขาจะต้องร้องไห้กลับไปขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสทุกครั้งเลยรึเปล่า?

“เจ้าคือหลิงฮันรึ?” ตัวตนระดับแบ่งแบกวิญญาณจ้องมองหลิงฮันด้วยแววตาเย็นชา ชื่อของเขาคือฟู่ซือหย่วน เขาเป็นผู้นำตระกูลฟู่สาขาย่อยแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นตระกูลสาขาเดียวกันกับฟู่เจิ้งถง

หลิงฮันมองไปที่อีกฝ่ายโดยที่ไม่เอ่ยปากพูดอะไร

“ท่านผู้นำกำลังถามเจ้าอยู่ ไม่ได้ยินหรืออย่างไร!” ฟู่เจิ้งถงคำรามออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ เหตุใดเจ้าหนูนี่ถึงได้กล้าขนาดนี้?

หลิงฮันชะงักก่อนจะกล่าว “โอ้ พวกเจ้าพูดกับข้าอยู่งั้นรึ?”

ท่าทีแบบนั้นมันอะไรกัน?

ฟู่ซือหย่วนเกิดความสงสัย เมื่อนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานพบเจอนิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณ ไม่ใช่ว่านิรันดร์ระดับโลกียนิพพานจะต้องหวาดกลัวจนเยี่ยวราดหรอกรึ?

ฟู่ซือหย่วนกล่าวอีกครั้งด้วยน้ำเสียงขึงขัง “เจ้าเอาชนะเจิ้งถงด้วยวิธีการขี้โกง เพราะงั้นเจ้าจะต้องทำการประลองกับเขาอีกครั้ง”

วิธีการขี้โกง?

หลิงฮันแสยะยิ้มในใจ ไม่น่าเชื่อว่าคนพวกนี้จะยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ จนถึงขนาดต้องหาข้ออ้างไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้มาพูด ยิ่งกว่านั้นแล้ว หากจะแก้แค้นจริงๆล่ะก็ เหตุใดฟู่เจิ้งถงถึงไม่เป็นคนมาท้าประลองใหม่ด้วยตัวเอง แต่ต้องนำตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณมาเกี่ยวข้องกัน?

เห็นได้ชัดว่าการท้าประลองครั้งนี้ ฟู่ซือหย่วนจะต้องวางแผนอะไรอยู่แน่นอน

“ก็ตามแต่ จะสู้อีกครั้งก็ได้” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส

ฟู่ซือหย่วนและฟู่เจิ้งถงทำสีหน้าราวกับคิดไว้อยู่แล้วว่าหลิงฮันจะต้องตอบตกลง ในความคิดของพวกเขา หลิงฮันจะกล้าปฏิเสธคำสั่งของตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณได้อย่างไร?

ฟู่เจิ้งถงนั้นรู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้อย่างไม่ยุติธรรม พลังต่อสู้ของเขาไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าหลิงฮันแท้ๆ แต่ที่เขาแพ้เป็นเพราะอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ของอีกฝ่ายทรงพลังกว่า เพราะเหตุนั้น ครั้งนี้เขาจึงจะประลองโดยไม่ใช้อุปกรณ์นิรันดร์ แต่จะพึ่งพาสมบัติที่ผู้นำตระกูลสาขาเป็นคนมอบให้แทน

การประลองระหว่างเขากับหลิงฮันไม่ใช่แค่ส่งผลกับพวกเขาสองคนเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวโยงไปถึงตำแหน่งผู้สืบทอดของฟู่เก่าหยุนและฟู่ทงไห่ด้วย

ทั้งสามคนเดินห่างออกมาจากที่พัก จู่ๆฟู่ซือหย่วนก็ส่งเสียงคำรามที่ทำให้พื้นที่โดยรอบสั่นสะเทือนออกมา หลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนจำนวนมากก็รีบรุดหน้าเข้ามาด้วยท่าทีตื่นตระหนก

“เกิดอะไรขึ้น?” คนเหล่านั้นเอ่ยถาม เพราะไม่อาจเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า

ฟู่ซือหย่วนกล่าวอธิบายว่าจะมีการประลองเล็กๆน้อยๆขึ้นที่นี่

ประลองเล็กๆน้อยๆรึ? ถ้าเช่นนั้นทำไมตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณถึงได้เข้ามามีส่วนร่วมด้วย?

ทุกคนเกิดความสงสัยแต่ก็รู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก

หลิงฮันและฟู่เจิ้งถงขยับมายืนตรงข้ามกัน

“หลิงฮัน ครั้งก่อนเจ้าเอาชนะข้าได้เป็นเพราะใช้อุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ช่วยเหลือ แต่ครั้งนี้พวกเราจะตัดสินกันด้วยทักษะและพลังต่อสู้เพียงอย่างเดียว!” ฟู่เจิ้งถงกล่าวด้วยใบหน้าที่ไม่ยินยอม

หลิงฮันยักไหล่และกล่าว “ถ้าจะสู้ก็รีบๆเข้ามา อย่ามัวแต่พูดพล่ามไร้สาระ”

ฟู่เจิ้งถงเค้นเสียงฮึดฮัดก่อนจะโคจรพลังในใจ ‘ครืนน’ ทันใดนั้นมังกรวารีก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของเขา ร่างของมังกรวารีที่ปรากฏตัวนั้นกระจ่างใสราวกับผลึกแก้ว เกล็ดทุกชิ้นตามตัวของมันสลักเอาไว้ด้วยตราประทับแห่งเต๋าที่น่าสะพรึงกลัว

“วารีผลึกตะวันดาราใต้!” ใครบางคนอุทานอย่างตกตะลึง

วารีผลึกตะวันดาราใต้คือดวงวิญญาณวารีอันลึกลับที่เกิดจากอำนาจของสวรรค์และปฐพีเหมือนกับเพลิงบรรพบุรุษและวารีบรรพบุรุษ หากจอมยุทธทำการดูดซับดวงวิญญาณวารีเข้าไป ไม่เพียงแค่ปราณก่อเกิดจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารียังยกระดับสูงขึ้นหลายเท่าตัวอีกด้วย

สมบัติเช่นนี้สามารถพบเจอได้หากมีวาสนาเท่านั้น บางทีต่อให้เป็นราชานิรันดร์ก็ไม่อาจมีพวกเขาอยู่ในครอบครอง

“ไม่สิ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง วารีผลึกตะวันดาราใต้ตนนี้ยังไม่พัฒนาจนมีความนึกคิดเป็นของตนเองอย่างแท้จริง” ใครบางคนที่ดวงตาเฉียบแหลมสามารถมองข้อบกพร่องออกอย่างรวดเร็ว

“ต้องเป็นเพราะมันถูกตัวตนระดับสูง จากตระกูลสาขาย่อยของฟู่เจิ้งถงจับในขณะที่ยังไม่พัฒนาจนมีสติปัญญาแน่นอน”

“เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ยังเป็นวารีผลึกตะวันดาราใต้ แม้จะไม่มีวิญญาณอยู่ภายในแต่อำนาจของมันก็ยังคงน่าสะพรึงกลัวอยู่ดี”

ฟู่เจิ้งถงเผยท่าทีภาคภูมิใจ วารีผลึกตะวันดาราใต้ตนนี้เป็นสิ่งที่ผู้นำตระกูลสาขาของเขาพบเจอเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ หากไม่ใช่เพราะว่าเขาได้รับความอัปยศอย่างมากจากหลิงฮันและไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะหลิงฮันได้ล่ะก็ ผู้นำตระกูลคงไม่ให้ยืมวารีผลึกตะวันดาราใต้เด็ดขาด

มังกรวารีส่งเสียงคำรามด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัว อำนาจที่มันปลดปล่อยออกมานั้นเทียบเท่านิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณเป็นอย่างน้อย

แบบนี้จะไปเอาชนะได้อย่างไร?

ทุกคนโดยรอบต่างส่ายหัว อย่าพูดถึงนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานเลย พลังของวารีผลึกตะวันดาราใต้นั้น เป็นไปได้ว่าอาจจะไร้เทียมทานแม้แต่ในระดับตัดขาดวิญญาณหยาง

หลิงฮันเผยสีหน้าประหลาดใจ เนื่องจากพลังบางอย่างภายในร่างของเขากำลังปั่นป่วน

พลังที่ว่าคือวารีพลังหยินเร้นลับ

มันคือหนึ่งในเก้าวารีบรรพบุรุษของดินแดนแห่งเซียน และเป็นต้นกำเนิดของวารีทั้งมวล

เนื่องจากวารีพลังหยินเร้นลับกลายเป็นต้นกำเนิดพลังให้กับหลิงฮันแล้ว เขาจึงสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า วารีพลังหยินเร้นลับกำลังเกิดความกระหายอยากจะกินมังกรวารีตรงหน้า