ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 19 ใต้หล้าและภายนอกท้องฟ้ายามค่ำคืน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ซางสิงโจวไม่ได้เอ่ยคำใด เขาหมุนตัวเดินเข้าห้องไป

เฉินหลิวอ๋องชะงักไปนิด รีบตามไป

ซางสิงโจวเดินขึ้นบันไดห้องด้านข้างไปบนหลังคา มองดูแล้วน่าจะเป็นหอดูดาว

สายลมยามค่ำคืนอันหนาวเหน็บพัดโบกอาภรณ์ของเขา

เวลานี้เฉินหลิวอ๋องจึงได้สังเกตว่า ในอารามนี้ไม่มีค่ายกลที่ติดตั้งความร้อนเย็น

ซางสิงโจวเงยหน้ามองดวงดาว ไม่ได้เอามือไขว้หลัง ชุดนักพรตสีเขียวโบกปลิวไปด้านหลังตามแรงลม มองดูแล้วคล้ายตัวตลกบนเวที ราวกับในวินาทีถัดไป เขาก็จะค่อยๆ ย่อตัวลง หลังจากนั้นก็ราวจะพุ่งตัวไป หรืออาจจะแทบกระโดดเข้าไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน สุดท้ายยังหัวเราะออกมาอีก

เฉินหลิวอ๋องมองไปยังเบื้องหลังของเขา อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับจักรพรรดินีเหนียงเหนียงที่อยู่บนหอกานลู่เสียอีก

“ปรารถนาอยากให้ผู้คนล้มตาย ต้องทำให้บ้าคลั่งเสียก่อน”

น้ำเสียงของซางสิงโจวแผ่วเบามาก ราวกับสายลม ไม่มีรสชาติใดแฝงในนั้น ทั้งยังไม่มีใจความสำคัญ ยิ่งไม่สามารถรับทราบได้เลยว่าความรู้สึกที่แท้จริงคืออะไร

เฉินหลิวอ๋องไม่ทราบว่าคำกล่าวเขาประโยคนี้ต้องการมุ่งนี้ไปด้านใด หรือที่ว่าบ้าคลั่งนั้นหมายถึงฮ่องเต้กันเล่า แล้วคนที่ใกล้จะสิ้นชีวิตนั้นคือผู้ใดกันเล่า

สายตาของซางสิงโจวค่อยๆ ลึกลงไปในดวงดาว ไม่ได้พูดอะไรอีก

เฉินหลิวอ๋องกล่าวลา หลังจากเดินออกอารามฉางชุนแล้วอดไม่ไหวที่จะมองกลับไปยังหลังคานั้น

เขายังคงไม่แน่ใจว่าการเดินทางมาเมืองลั่วหยางในคืนนี้ถูกต้องหรือไม่

เช้าตรู่วันนี้สวีโหย่วหรงนัดเขามาพบที่สำนักฝึกหลวง เอ่ยคำพูดเหล่านั้น เห็นได้ชัดมากว่าจงใจ

นางทำให้เขารู้สึกได้ว่าจงใจ เดิมทีก็คือพฤติกรรมที่จงใจอย่างหนึ่ง

แต่หากว่าเดิมทีเขาก็ไม่มีความคิดเช่นนี้ จะรู้สึกใจเต้นไปกับความคิดนี้ได้หรือ

หลายปีมานี้ ความทะเยอทะยานนั้นถูกเก็บไว้อย่างแนบเนียน ไม่มีผู้ใดทราบได้ หรือแม้แต่บิดาของเขาและม่ออวี่ที่สนิทสนมก็ตาม แม้แต่จักรพรรดินีเทียนไห่ในตอนแรกก็แค่เพียงเกิดความสงสัย ไม่มั่นใจนัก แต่นอนว่านี่อาจจะเนื่องจากนางเองก็ไม่ใส่ใจนั่นเอง

แต่เขาไม่มีทางปิดบังมันจากสวีโหย่วหรงได้

ในวังหลวงในปีนั้น เขาเองก็รู้สึกว่าสายตาที่เด็กหญิงผู้นั้นมองตนนั้นช่างแปลกมาก มักจะมีท่าทางราวกับจะยิ้มก็ไม่ยิ้มอยู่

ในตอนนั้นนางไม่ได้เปิดโปงตน เหตุใดยามนี้กลับเอ่ยเยี่ยงนี้ จงใจให้โอกาสตนเช่นนี้

เฉินหลิวอ๋องไม่มีทางพลาดโอกาสนี้ เขาเองก็ทราบดีว่าปฏิกิริยาของตนนั้นค่อนข้างไม่เข้าท่า ก็จะถูกซางสิงโจวเข้าใดได้ว่าจงใจยุแยงตะแคงรั่ว ดังนั้นการแสดงออกของเขาจึงค่อนข้างสงบและซื่อตรง ตอนนี้มองแล้ว การรับมือเช่นนี้อาจจะเป็นไปได้ อย่างน้อยซางสิงโจวนั้นไม่มีปฏิกิริยาอะไร

อย่างนั้นต่อไปตนนั้นควรทำอย่างไรเล่า

เฉินหลิวอ๋องเร่งรีบกลับเมืองหลวงตลอดทั้งคืน ขณะที่มาถึงยังเบื้องหน้าจวนอ๋องที่ถนนไท่ผิง แสงยามเช้าได้กระจายไปหมดสิ้น และฤดูหนาวก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น

ดูเหมือนฤดูหนาวจะผ่านไปแล้วจริงๆ มาถึงฤดูกาลที่สรรพสิ่งจะเปลี่ยนผ่านแล้ว

เฉินหลิวอ๋องเดินเข้าไปในจวนอ๋องอย่างทอดถอนใจ

“เจ้าคงจะแจ้งแก่ใจ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อยากจะใช้พวกเราบีบบังคับให้ฮ่องเต้ยืนอยู่ข้างใต้เท้าสังฆราช”

เซี่ยงอ๋องมองสบตาเขาก่อนเอ่ย “ในเมื่อเป็นเยี่ยงนี้ เหตุใดเจ้ายังต้องไปเมืองลั่วหยางอีก”

เรื่องที่โหย่วหรงทำล้วนมีความยุติธรรมต่อให้เป็นกลยุทธ์ แต่ก็ซื่อสัตย์และสง่าผ่าเผย

เฉินหลิวอ๋องตอนนี้ยิ่งสงบกว่าเดิมมาก ต่อให้เผชิญหน้ากับดวงตาที่เย็นยะเยือกของบิดาตน แต่สีหน้าก็ไม่เปลี่ยนไป

“เพลิงทมิฬนั้นน่ากลัว แต่หากไม่มีเพลิงนี้ พวกเรานั้นแม้แต่โอกาสที่จะหยิบฟางจากเพลิงก็ยังไม่มี”

จู่ๆ แววตาของเซี่ยงอ๋องก็ดูบ้าคลั่งขึ้นมา ข้างในนั้นราวกับมีดวงไฟสุมอยู่ แต่เสียงกลับเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา “แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ ในความวุ่นวายนี้สามารถได้รับชัยชนะได้ นางมีความสามารถที่จะให้จิตใจของอาจารย์วุ่นวายได้หรือ”

เฉินหลิวอ๋องเอ่ย “ข้าเข้าใจโหย่วหรง ต่อให้สุดท้ายยังคงเป็นอาจารย์ที่ได้รับชัยชนะ อย่างนั้นก็ต้องเป็นชัยชนะที่น่าเศร้าแน่นอน”

เซี่ยงอ๋องเงียบอยู่นานก่อนเอ่ย “อย่างนั้นเจ้ารู้สึกว่าควรเริ่มเมื่อใด”

เฉินหลิวอ๋องเอ่ย “ตั้งแต่ที่นางนัดแนะข้ามาพบกันที่สำนักฝึกหลวงนั้น หมากกระดานนี้ก็ได้เริ่มแล้ว คืนก่อนที่นางเข้าวัง ก็คือการเดินหมากสังหาร”

เซี่ยงอ๋องเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “หมากสังหารหรือ”

เฉินหลิวอ๋องเอ่ย “ใช่ขอรับ ย่างก้าวนี้คือการแย่งชิงหมากยิ่งใหญ่ในใต้หล้า ทั้งโลกต้องตอบรับกับสิ่งนี้

เซี่ยงอ๋องเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “ที่แท้ลมฝนก็มาถึงแล้ว”

“ฟ้าหลังฝนกระไรเล่า”

เฉินหลิวอ๋องเอ่ย “ยามเล็กเหนียงเหนียงสอนข้าว่า สายรุ้งนั้นมาจากพระอาทิตย์ แต่พวกเราถึงจะเป็นทายาทของดวงอาทิตย์”

เซี่ยงอ๋องเข้าใจเจตนาของเขา มองจ้องตาเขาก่อนเอ่ย “โลหิตของฝ่าบาทล้วนบริสุทธิ์เช่นเดียวกัน”

เฉินหลิวอ๋องเอ่ย “แต่เขายังคงเป็นเพียงแค่คนพิการ”

เพลิงทมิฬในสายตาเซี่ยงอ๋องค่อยๆ ดับไป แต่ก็เหมือนบุตรชายนั่นแหละที่ความทะเยอทะยานที่เก็บมาหลายปีก็ค่อยๆ เผยออกมา

เขาเอ่ย “หากถึงตอนนั้นท่านใต้เท้าสังฆราชจะเห็นด้วยหรือ”

เฉินหลิวอ๋องเอ่ย “หากโหย่วหรงพ่ายแพ้ แน่นอนว่าท่านใต้เท้าสังฆราชต้องไม่ยินดีที่จะมีชีวิตต่อไปแน่”

“คำถามสุดท้าย”

เซี่ยงอ๋องถาม “แต่ไหนแต่ไรเจ้าก็ไม่เคยเอ่ย หากว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ชนะจะเกิดอะไรขึ้น”

เฉินหลิวอ๋องหัวเราะก่อนเอ่ย “นอกจากทั้งบ้านจะตายกันหมด ยังมีอะไรที่คู่ควรกับการแลกเปลี่ยนในการเปิดหมากการรบนี้อีกเล่า”

เซี่ยงอ๋องเงียบอยู่นาน หลังจากนั้นจึงหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนั้นยังมีกระแสเยาะเย้ยเจือปนอยู่อีกหลายส่วน ความทะเยอทะยานในดวงตาของเขาค่อยๆ หายไป และการแสดงออกของเขาก็อ่อนโยนขึ้นใบหน้ากลมของเขามีความพึงพอใจและเป็นที่รักเหมือนชาวนาแก่ๆ หรือคนร่ำรวย

สองมือของเขาจับพุงกลมมนเอาไว้ ก่อนเอ่ยอย่างถอดทอนใจว่า “การสมรสระหว่างเจ้าและองค์หญิงผิงกั๋วดูเหมือนต้องเร่งดำเนินการแล้ว”

……

……

พระราชวังหลีในยามเช้าเงียบสงัดยิ่งนัก

เสียงปลายไม้กวาดไม้ไผ่ที่เหี่ยวเฉาเสียดสีกับพื้นหินสีน้ำเงินที่แข็งกระด้างอย่างแผ่วเบา ดังมาแต่ไกลอย่างต่อเนื่อง

เฉินฉางเซิงลืมตาขึ้น เพ่งมองไปยังลายฉลุที่ซับซ้อนยากเข้าใจเหล่านั้นที่อยู่บนหลังคา ไม่รู้ว่าคิดเรื่องอันใดอยู่

ไม่ถึงตีห้าเขาก็ตื่นขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง หลังจากตื่นแล้วกลับไม่ได้รีบร้อนลุกขึ้น กลับเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งกว่า

การนอนโอ้เอ้บนเตียงถือเป็นความสุขที่งดงามที่สุดสำหรับคนหนุ่มสาวทั่วไป แต่สำหรับเขาแล้ว เป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบซึ่งทำให้เสียเวลาอย่างไม่ต้องสงสัย และจะทำให้เขารู้สึกผิดอย่างมาก

เขาไม่ได้ตื่นขึ้นในเวลานี้ เพราะเป็นวันแรกของเขาในพระราชวังหลี

กับสภาพแวดล้อมที่โจวเจาแห่งนี้เขายังรู้สึกไม่คุ้นเคย ไม่ชินอยู่บ้าง หรือแม้แต่มีความรู้สึกราวหวาดกลัวเสียด้วยซ้ำ เขาไม่ทราบว่าหลังจากตื่นนอนแล้วควรไปอาบน้ำชำระล้างที่ใด จะได้รับการรับใช้อย่างไรบ้าง หรือแม้แต่ไม่ทราบเลยด้วยซ้ำว่าอาภรณ์ที่ปลดเปลื้องไปเมื่อคืนนั้นถูกจัดวางไว้แห่งใด

เขาไม่ทราบเลยว่าเมื่อวานตกดึกสวีโหย่วหรงเข้าวังหลวงไปพบศิษย์พี่แล้วเอ่ยถ้อยคำใดบ้าง

จวบจนกระทั่งตำหนักด้านนอกที่เงียบสงัดซึ่งถูกหลังคากินพื้นที่ไปกว่าครึ่งท้องหาถูกแสงอาทิตย์ในฤดูหนาวสาดส่องจนสว่าง ในที่สุดเขาก็ตื่นแล้ว

คนแรกที่เขามองเห็นคือ อันหวา

เหล่าผู้เลื่อมใสนับหมื่นเหล่านั้นที่เมื่อคืนใช้เทียนไขกราบขอร้อง ในเวลาดึกนั้นในที่สุดก็ถูกโน้มน้าวจนจากไป อันหวากลับไม่ไป

นางรออยู่ด้านนอกตำหนักเกือบทั้งคืน ดวงตาแดงก่ำ ไม่ทราบว่าเนื่องด้วยความเหนื่อยล้าหรือเพราะว่าร้องไห้กันแน่

“เรื่องที่เกี่ยวข้องกับท่านป้า ราวกับว่าคงต้องจัดการเยี่ยงนี้”

เฉินฉางเซิงรับอาภรณ์นักพรตมาจากมือนาง มองไปยังดวงตาแดงก่ำของนาง ก่อนเอ่ยติดน้ำเสียงขอลุแก่โทษ “หวังว่าเจ้าจะไม่โทษข้า”

อันหวารีบเอ่ยต่อ “จะกล้ากล่าวโทษใต้เท้าได้อย่างไร”

เฉินฉางเซิงฟังออกว่านางกำลังปด ถามอย่างไม่เข้าใจ “อย่างนั้นเหตุใดเจ้าจึงต้องเสียใจ”

อัวหวาก้มหน้าถาม “ใต้เท้า ท่านจะจากไปจริงๆ นะหรือ”

หลายราชวงศ์มากมายก่อนหน้าราชวงศ์ต้าโจว สำนักเต๋ามากมายล้วนก็คือสำนักฝึกหลวง ในประวัติศาสตร์ล้วนเคยปรากฏสมเด็จท่านใต้เท้าสังฆราชมากมาย

สมเด็จใต้เท้าสังฆราชไม่มีระยะเวลาการดำรงตำแหน่งที่แน่นอน จวบจนกระทั่งวินาทีที่กลับคืนสู่ทะเลดวงดาว ล้วนยังคงเป็นผู้มีอำนาจในการควบคุมอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสำนักฝึกหลวง

แต่ใต้เท้าสังฆราชเหล่านั้นในประวัติศาสตร์ มีเพียงไม่กี่คนที่ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกเพื่อที่จะดำเนินตามหนทางวิถีพรต หรือเพราะบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ท้อแท้ใจ ในที่สุดก็สิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งก่อนเวลาอันควร เลือกที่จะบำเพ็ญพรตตัวอยู่บนภูเขา หรือไปอีกด้านของทะเลดวงดาวเสีน

อันหวาตั้งแต่เล็กก็ร่ำเรียนในกระทรวงสิบสามชิงเหย้า หลังจากนั้นก็มาเป็นอาจารย์ ช่วงชีวิตในวัยรุ่นของตนทั้งหมดล้วนอุทิศในแก่สำนักฝึกหลวง บทสวดบางบทในคัมภีร์ลัทธิเต๋าก็ล้วนท่องได้คล่องแคล่วนัก แน่นอนว่าต้องแจ้งแก่ใจในเรื่องคุณงามความดีและผลสำเร็จ นางยิ่งคิดถึงคำพูดเหล่านั้นที่เฉินฉางเซิงเอ่ยเมื่อคืนในโถงตำหนักแสงสว่าง ยิ่งรู้สึกว่าเฉินฉางเซิงอาจจะเลือกหนทางเส้นนั้น นางรู้สึกตึงเครียดและไม่สงบยิ่งนัก แม้แต่คำพูดเหล่านั้นที่ถังซานสือลิ่วเอ่ยห้ามปรามก็ยังล้วนไม่สามารถเชื่อถือได้ ในคืนเดียวนางร้องไห้ไปไม่รู้กี่หน

เฉินฉางเซิงมองไปยังท้องฟ้าผืนนั้นที่ถูกหลังคาตำหนักแยกออก

เขานึกถึงคืนนั้นที่สัมผัสได้ถึงความมืดที่ราวกับบ่อน้ำลึกในทะเลดวงดาวนั้นอีกครั้ง

เขาจะแบกรับความรับผิดชอบที่ควรแบกรับ

แต่หลังจากทำสิ่งเหล่านี้แล้ว หากมีสถานที่ใดที่ไกลออกไปยิ่งกว่า แน่นอนว่าจักต้องลองไปดู