ทันทีที่ฉินอวี้โม่และผู้อาวุโสฉีก้าวเข้ามาในเรือน เจ้าของห้องทางตะวันออกก็รีบปรี่ออกมา
“ผู้อาวุโสฉี นี่คือศิษย์น้องคนใหม่หรือเจ้าคะ ?”
สตรีผู้นั้นดูมีอายุอยู่ในช่วงยี่สิบปี นางมีลักษณะใบหน้าที่กลมและมีแก้มอวบอ้วน ดวงตากลมโตของนางก็กะพริบเป็นประกายซึ่งดูน่ารักน่าชังขณะมองฉินอวี้โม่โดยไม่แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์ใด ๆ
“สวัสดี ศิษย์น้อง ข้ามีนามว่าเถาเซี่ยวเซี่ยวและอาศัยอยู่ในห้องทางตะวันออก เรียกข้าว่าเถาเถา เซี่ยวเซี่ยวหรือหนูอ้วนเถาก็ย่อมได้ แล้วศิษย์น้องมีชื่อว่าอะไรหรือ ? มาจากที่ใด ? และมีอายุเท่าไหร่ ?”
เถาเซี่ยวเซี่ยวเดินตรงเข้ามาหาฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว นางไม่เพียงแต่แนะนำตัวเท่านั้น ทว่ายังรัวคำถามออกไปสู่ฉินอวี้โม่ด้วยท่าทางที่กระตือรือร้น
“เจ้าหนูอ้วนเถา เงียบลงก่อนเถอะ”
เมื่อเห็นเถาเซี่ยวเซี่ยวพูดจ้อไม่หยุด ผู้อาวุโสฉีก็เริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมา เมื่อใดที่ศิษย์ผู้นี้เอ่ยปากขึ้นมา นางมักจะพูดจนน้ำไหลไฟดับ ต่อให้ไม่มีผู้ใดสนใจ นางก็สามารถพูดคุยคนเดียวได้อย่างยาวเหยียดและกระตือรือร้นไม่เปลี่ยนแปลง
หากไม่ส่งเสียงขัดจังหวะเสียก่อน เกรงว่านางคงไม่เปิดโอกาสให้เขาหรือฉินอวี้โม่ได้กล่าวสิ่งใดเป็นแน่
“นี่คือศิษย์คนใหม่ซึ่งมีนามว่าฉินอวี้โม่ นางถือเป็นศิษย์น้องของเจ้าและอาจจะพักอยู่ในเรือนนี้ เจ้าหนูอ้วนเถา…เจ้ามีสิ่งใดจะคัดค้านหรือไม่หากข้าจะให้นางพักอยู่ที่นี่ ?”
ในความเป็นจริง เขารู้สึกถูกชะตากับผู้อยู่อาศัยในเรือนหลังนี้มากกว่า แม้ศิษย์สตรีทั้งสองจะดูพิลึกพิลั่นไปเสียหน่อย แต่ทั้งสองก็มีลักษณะนิสัยและทัศนคติที่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองมีพลังความแข็งแกร่งที่ไม่เลวเลย หากฉินอวี้โม่ได้มีโอกาสฝึกฝนและประมือกับทั้งสองเป็นประจำ เชื่อว่าพลังของนางจะพัฒนาได้เร็วขึ้นอย่างแน่นอน
“จริงหรือ ? จริงหรือเจ้าคะ ? เยี่ยมไปเลย ! ผู้อาวุโสฉี ท่านไปทำงานต่อเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะรับหน้าที่ดูแลศิษย์น้องอวี้โม่ต่อเองและจะช่วยทำความสะอาดห้องพักให้ด้วย ท่านวางใจได้เลย”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเถาเซี่ยวเซี่ยวฉีกกว้างยิ่งกว่าเดิมและมองฉินอวี้โม่ด้วยความตื่นเต้นมากขึ้น และในขณะที่กล่าวเพื่อส่งแขกอย่างผู้อาวุโสฉีออกไป นางก็ดึงแขนเสื้อยาวของฉินอวี้โม่เข้ามาใกล้และพาเข้าไปในเรือน
“ฉินอวี้โม่ หากไม่มีสิ่งใดขัดข้อง เจ้าก็สามารถพักอยู่ที่นี่ได้ทันที”
ผู้อาวุโสฉีมองฉินอวี้โม่และกล่าวขึ้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เคารพการตัดสินใจของนาง
“เจ้าค่ะ ผู้อาวุโสฉี ท่านไปทำงานของท่านต่อได้เลยเจ้าค่ะ หากมีเรื่องอะไร ข้าจะถามจากเถาเซี่ยวเซี่ยวเอง”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและรู้สึกประทับใจในตัวเถาเซี่ยวเซี่ยวไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าเถาเซี่ยวเซี่ยวเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาที่ได้รับการดูแลปกป้องเป็นอย่างดี มิใช่เป็นความใสซื่อที่จงใจเสแสร้งออกมา
“ศิษย์น้องอวี้โม่ นี่คือห้องว่างที่สามารถเข้ามาอาศัยอยู่ได้ ข้าเฝ้ารอมานานให้มีสมาชิกใหม่มาพักร่วมกับเรา ข้าก็เลยทำความสะอาดทุก ๆ วัน เป็นอย่างไรล่ะ มันสะอาดมากเลยใช่รึไม่ ?”
เด็กสาวลากฉินอวี้โม่เข้าไปในห้องว่างและกล่าวอย่างภูมิอกภูมิใจ
“ใช่ มันสะอาดมากเลย”
ฉินอวี้โม่กล่าวชื่นชมและอดจิ้มแก้มนุ่ม ๆ บนใบหน้ากลมของเถาเซี่ยวเซี่ยวไม่ได้
“ศิษย์น้องอวี้โม่ช่างมีรอยยิ้มที่งดงามเหลือล้นจริง ๆ หากข้าเป็นบุรุษละก็ ข้าคงจะพยายามเกี้ยวพานสตรีที่งดงามอย่างศิษย์น้องอย่างแน่นอน”
เถาเซี่ยวเซี่ยวมองฉินอวี้โม่อย่างไม่กะพริบตาและแสดงแววตาเร่าร้อนออกมา
แม้รูปลักษณ์ภายนอกของฉินอวี้โม่จะมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย มันก็มิอาจซ่อนเสน่ห์ที่น่าหลงใหลของนางได้ จากเดิมที่เป็นสตรีรูปลักษณ์งดงามพอสมควรอยู่แล้ว รอยยิ้มของนางก็เพิ่มเสน่ห์ได้มากและเสริมความงดงามชวนมองให้มากยิ่งกว่าเดิม
เมื่อได้ยินวาจาของเถาเซี่ยวเซี่ยว ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มบาง ๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใดพลางคิดในใจ หากข้าเปิดเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริง เกรงว่าเถาเซี่ยวเซี่ยวคงจะกระโจนใส่ข้าเป็นแน่…
ตรงกลางเรือนคือห้องพักขนาดใหญ่สามห้องซึ่งมีผนังกั้นแต่ละห้องไว้ ส่วนบริเวณที่เหลือคือพื้นที่ของห้องนั่งเล่น
ภายในห้องนั่งเล่นมีโต๊ะและเก้าอี้จำนวนหนึ่ง รวมถึงมีโต๊ะทำงานและชั้นหนังสือขนาดเล็กที่อยู่ข้างหน้าต่าง ส่วนที่เหลือคือแจกันดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมหวนซึ่งทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสบายและผ่อนคลายได้มาก
กล่าวได้ว่าแม้เรือนหลังนี้จะไม่มีการตกแต่งเป็นพิเศษ แต่ใครบางคนก็หมั่นดูแลความเรียบร้อยของมันเป็นอย่างดี
“ศิษย์น้องอวี้โม่มาจากที่ใดหรือ ? และมีอายุเท่าใดแล้ว ? ดูเหมือนว่าศิษย์น้องจะมีอายุมากกว่าข้านะ หากเป็นเช่นนั้น…ข้าควรจะเรียกว่าศิษย์น้องอวี้โม่หรือเรียกพี่อวี้โม่ดีล่ะ ?”
หลังจากแนะนำพื้นที่ส่วนต่าง ๆ ภายในเรือน เถาเซี่ยวเซี่ยวก็กลับกลายเป็นปกติ นางเริ่มพูดจ้อและเอ่ยถามไม่หยุดราวกับเป็นนกแก้วตัวน้อย
“ข้ามาจากดินแดนมหาเทพและปีนี้ข้ามีอายุสามสิบเอ็ดปี เรียกข้าว่าศิษย์น้องหรือพี่อวี้โม่ได้ตามต้องการ”
ฉินอวี้โม่ตอบคำถามของเถาเซี่ยวเซี่ยวอย่างใจเย็นและดูสงบนิ่งอย่างมาก แม้ต้องอาศัยอยู่กับน้องสาวที่ช่างจ้อเช่นนี้ นางก็ไม่คิดว่ามันเป็นปัญหา เพราะถึงอย่างไร เสี่ยวอ้ายโม่ก็เป็นเด็กน้อยช่างจ้อเช่นกันและนางคุ้นชินกับบุคลิกนิสัยเช่นนี้แล้ว
“ข้ามีอายุเพียงยี่สิบปี ถ้าเช่นนั้นข้าจะเรียกว่าพี่อวี้โม่ก็แล้วกัน พี่อวี้โม่…ดินแดนมหาเทพเป็นอย่างไรหรือ ? มันสนุกหรือไม่ ? ข้าอายุปูนนี้แล้วก็ยังไม่เคยออกไปข้างนอกเลย ข้าจึงไม่รู้เลยว่าโลกภายนอกนั้นเป็นอย่างไร”
เถาเซี่ยวเซี่ยวจับมือฉินอวี้โม่และนั่งลงขณะกล่าวด้วยแววตาโดดเดี่ยวอย่างที่พบเห็นได้ยาก
“เอ๋ ? เจ้าไม่เคยไปจากที่นี่เลยหรือ ?”
ฉินอวี้โม่รู้สึกสนใจขึ้นมา ต่อให้จะไม่รู้จักดินแดนระดับต่ำทั้งหมด ในชีวิตที่ผ่านมา เถาเซี่ยวเซี่ยวก็ควรจะมีโอกาสออกไปสั่งสมประสบการณ์ข้างนอก ทว่าหากพิจารณาจากน้ำเสียงของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่านางจะหมกตัวอยู่แต่ในเขตของนิกายหมื่นกระบี่และไม่เคยออกไปข้างนอกเลยด้วยซ้ำ
“ไม่เคยเลย ข้าอยู่ในพื้นที่ของนิกายหมื่นกระบี่มาโดยตลอด”
เถาเซี่ยวเซี่ยวส่ายศีรษะก่อนรีบเปลี่ยนบทสนทนาอย่างรวดเร็ว
“พี่อวี้โม่ ในห้องแห่งนั้นมีเจ้าหญิงน้ำแข็งอาศัยอยู่ หากได้พบกับนาง ท่านไม่ต้องแปลกใจล่ะ”
นางชี้ไปยังห้องพักทางตะวันตกและกระซิบกระซาบเบา ๆ
“เจ้าหญิงน้ำแข็งงั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสฉีกล่าวว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในเรือนหลังนี้คือสตรีพิลึกพิลั่นสองคน
เจ้าหญิงน้ำแข็งและสาวน้อยช่างจ้อ สตรีสองคนที่มีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสุดขั้วกลับอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข คงกล่าวได้ว่านี่เป็นความแตกต่างที่ส่งเสริมกันและกันอย่างแท้จริง ราวกับว่าคนหนึ่งเป็นหยินและอีกคนเป็นหยาง
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเล็กน้อย เมื่อฉินอวี้โม่หันไปก็พบกับสตรีที่สวมชุดสีดำสนิทโดยมีใบหน้าที่เรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึกใด รูปลักษณ์ใบหน้าของนางก็ดูงดงามยิ่งนัก ทว่ากลิ่นอายความเยือกเย็นที่แผ่ออกมาทำให้ผู้อื่นรู้สึกขนลุกไม่น้อย แม้แต่ฉินอวี้โม่เองก็ไม่กล้าเข้าหา
“เหลิ่งซวงเสวี่ย”
สตรีชุดดำเอ่ยสั้น ๆ เพียงสามพยางค์และไม่กล่าวสิ่งใดอีก
“ฉินอวี้โม่”
ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มให้กับสตรีผู้นั้นและแนะนำชื่อของตนออกไป จากนั้นเหลิ่งซวงเสวี่ยก็เพียงพยักศีรษะเบา ๆ ก่อนหันหลังกลับและเดินเข้าไปในห้องของตน
เห็นได้ชัดว่านางเพียงต้องการทักทายฉินอวี้โม่เท่านั้นและไม่คิดจะพูดคุยต่อไป
“เห็นรึไม่ ? ข้าบอกท่านแล้วว่านางคือเจ้าหญิงน้ำแข็ง เพียงนางปรากฏตัวใกล้ ๆ ข้าก็รู้สึกหนาวจนขนลุก”
เถาเซี่ยวเซี่ยวยักไหล่และกล่าวด้วยน้ำเสียงรังเกียจเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม มันฟังดูเป็นการหยอกเย้าและแอบแฝงไปด้วยความสนิทสนมคุ้นเคยอยู่ เพียงเท่านี้ก็คาดเดาได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางและเหลิ่งซวงเสวี่ยคงจะอยู่ในระดับที่ดี
“ข้าสงสัยยิ่งนัก เมื่อเจ้าพูดจ้อไม่หยุดยามอยู่ใกล้ ๆ นาง นางจะแสดงปฏิกิริยาอย่างไรออกมา ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวหยอกล้อพลางนึกถึงภาพที่เถาเซี่ยวเซี่ยวพูดจ้ออยู่ข้างกายของเหลิ่งซวงเสวี่ยไม่หยุดโดยที่เหลิ่งซวงเสวี่ยไม่สนใจแม้แต่จะหันมองด้วยซ้ำ เพียงนึกถึงภาพนั้น ฉินอวี้โม่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
เจ้าของห้องพักทั้งสองในเรือนหลังนี้ดูน่าสนใจไม่น้อย
วาจาของเถาเซี่ยวเซี่ยวก่อนหน้านี้พิสูจน์ให้เห็นว่านางมีพื้นเพภูมิหลังบางอย่างอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็คาดเดาได้ว่าสถานะที่แท้จริงของเด็กสาวผู้นี้คงจะไม่ธรรมดาเช่นกัน
สำหรับเหลิ่งซวงเสวี่ย หากไม่มีเหตุการณ์อันเลวร้ายขมขื่นเกิดขึ้นกับนางในอดีต นางก็คงจะไม่กลายเป็นบุคคลที่เย็นชาเช่นนี้ ประสบการณ์ในชีวิตของนางคงจะไม่สวยหรูนัก…
อีกทั้งยังมีเถียนซินและสวีเยว่ในเรือนใกล้เคียงที่วางตัวสูงส่งและแสดงความรังเกียจต่อนางอย่างเห็นได้ชัด เกรงว่าการใช้ชีวิตในหอชั้นนอกของฉินอวี้โม่หลังจากนี้คงจะน่าสนใจเป็นอย่างมาก…
.