บทที่ 1956 ไม่ใช่ของที่มีราคา

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ในเขตลานบ้านที่สวยงามเรียบง่าย อู่หนิงกอดอกพิงอยู่ข้างเสาศาลา ยังคงมีท่าทางเอ้อระเหยเกียจคร้าน เพียงแต่มองหวงฝู่ตวนหรงผู้เป็นภรรยาด้วยแววตาสงสัย

หวงฝู่ตวนหรงที่เอนกายอยู่บนเตียงเตี้ยกำลังพึมพำบ่นเรื่องด้านนอก เรื่องเกี่ยวกับหนิวโหย่วเต๋อกำลังลือกันอย่างคึกคัก อย่างไรเสียก็เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี เห็นได้ชัดว่าอู่หนิงสังเกตได้แล้ว ว่าหวงฝู่ตวนหรงเหมือนกำลังเก็บซ่อนความกระวนกระวายใจ

เอ่ยถึงหนิวโหย่วเต๋อบ่อยมาก…ในใจอู่หนิงกำลังเคลือบแคลง เขาขมวดคิ้วนิดหน่อย เริ่มจัดระเบียบความคิด พบว่าทุกครั้งที่ภรรยาเอ่ยถึงเรื่องหนิวโหย่วเต๋อ ไม่รู้ว่าตัวเองจำผิดไปหรือเปล่า เหมือนทุกครั้งที่ภรรยาเอ่ยถึงหนิวโหย่วเต๋อจะแปลกๆ นิดหน่อย พอเรียบเรียงความคิดดูแบบนี้แล้ว ก็เหมือนจะมีอาการเกี่ยวกับลูกสาวด้วย

อู่หนิงที่เปลือยเท้าอย่างสบายๆ เดินมาข้างเตียง แล้วนั่งลงช้าๆ นั่งลงข้างข้างภรรยาที่นอนพลิกไปพลิกมาเป็นระยะ วางมือลงบีบนวดข้างเอวนาง แล้วกล่าวพร้อมยิ้มเบาๆ “หนิวโหย่วเต๋อมีเคราะห์ครั้งนี้ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก เข้าร่วมการโค่นล้มตระกูลอิ๋ง รับทัพใหญ่ห้าล้าน ปล้นอำนาจที่ตลาดสวรรค์ ตั้งยังคิดจะให้สำนักลมปราณสร้างร้านค้าใหม้อีก สร้างเรื่องใหญ่เยอะขนาดนั้นภายในเวลาสั้นๆ มีเรื่องไหนบ้างที่เป็นเรื่องเล็ก กินเข้าไปก็ใช่ว่าจะย่อยหมด ทั้งยังเอ่ยปากติดกันหลายครั้ง โลภเกินไปแล้ว อยากจะกินครั้งเดียวให้อ้วนแท้ๆ เลย ถ้าคนอื่นไม่จัดการเขาแล้วจะให้ใครจัดการเขาล่ะ?”

“เจ้าคิดว่าครั้งนี้เขาจะรอดพ้นหายนะไปได้หรือเปล่า?” หวงฝู่ตวนหรงมองเขาพร้อมเอ่ยถาม

นางเองอาจจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองใส่ใจหนิวโหย่วเต๋อเกินไปแล้ว แต่อู่หนิงมองนางแวบหนึ่งด้วยสายตาล้ำลึก แล้วก็มองไปนอกศาลาอย่างสบายๆ อีก “ไม่รู้สิ แต่เขาเป็นคนที่ทำเรื่องไม่ธรรมดามาครั้งแลเวครั้งเล่า ไม่สามารถใช้หลักการปกติมาประเมินได้ จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลด้านฐานะปูมหลัง ข้าก็คิดว่าโหรวโหรวเหมาะสมกับเขามาก”

ตอนที่พูดประโยคนี้ ฝ่ามือที่วางอยู่บนเอวภรรยาก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าเอวนางสั่นหดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงทอดสายตามองไปไกลด้วยความกังวล

“พูดเหลวไหลอะไรกัน พวกเขาจะเหมาะสมกันได้ยังไง” ปากหวงฝู่ตวนหรงก็พูดไปอย่างนั้น แต่ตาที่ปิดอยู่เล็กน้อยกลับเหล่มองเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของเขาอย่างเงียบๆ

สองสามีภรรยาไม่รู้ว่าใครกำลังหยั่งเชิงใครกันแน่…

ตึกเล็กเจอลมฝนอีกแล้ว เรือนร่างสูงยาวของจีเหม่ยลี่กำลังพิงวงกบประตู มือข้างหนึ่งวางบนเอว มืออีกข้างกำลังถือถ้วยน้ำชาจ่อข้างปาก ยืนพิงตามอารมณ์อยู่อย่างนั้น ด้านนอกละอองฝนโปรยปราย ใบไม้ในเขตลานบ้านถูกชำระล้างจนเป็นสีเขียวสดใสสบายตา

นี่คือดาวเคราะห์ที่เต็มไปด้วยน้ำฝน ฤดูฝนกินเวลาไปแล้วเกินครึ่ง บางทีอาจจะทำให้คนเบื่อหน่าย แต่นางกลับชอบความรู้สึกยามที่ฟ้าดินชำระล้างฝุ่นผง หลบอยู่ในตึกเล็ก ตัวอยู่ท่ามกลางโลกอันคลุมเครือแต่ยังสามารถวางตัวอยู่ภายนอกเพื่อชื่นชมได้

ด้านนอกฝนโปรยปราย เรื่องที่เกี่ยวกับเหมียวอี้ก็กำลังเป็นข่าวคึกโครม นางกำลังครุ่นคิดถึงฐานะตัวเอง ตัวเองเป็นอนุภรรยาขงเหมียวอี้ เป็นหนึ่งในอนุภรรยาของเหมียวอี้ ทั้งสองเคยมีสัมพันธ์ทางกาย แม้จำนวนครั้งจะไม่มาก แต่ในใจนางก็มิอาจไม่ยอมรับว่าตัวเองชอบความรู้สึกสำราญทางกายเนื้อแบบนั้น การปลดปล่อยตามสัญชาติญาณทางธรรมชาตินั้นเพลิดเพลินมาก เหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณตัวเอง

บางครั้งที่ตื่นจากฝัน แล้วพบว่าข้างหมอนมีเพียงนางคนเดียว นางถึงขั้นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยด้วยซ้ำ จะแอบคิดเงียบๆ ว่าถ้าตอนนั้นคนคนนั้นอยู่ข้างกายด้วยจะดีขนาดไหน

แต่นางก็ไม่อยากจะเห็นเขา นางเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบเหมียวอี้หรือเปล่า ตอนที่ไม่เห็นบางครั้งก็จะคิดถึง แต่ตอนที่เห็นก็อยากขับไล่อีก เหมียวอี้คือคนที่ทำให้ความรู้สึกของนางซับซ้อนมาก

นางปรากฏตัวที่พิภพใหญ่อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ความจริงแล้วนางมีพื้นเพไม่ธรรมดาจริงๆ เมื่อก่อนไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้กลายมาเป็นอนุภรรยาของคนอื่น นางเคยใฝ่ฝันถึงความรักอันงดงาม ใฝ่ฝันถึงชายที่ใจปรารถนา ไม่ว่าจะอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าวันหนึ่งตัวเองจะกลายเป็นอนุภรรยาของคนอื่น

เหมียวอี้สังหารญาติสนิทของนาง แต่ญาติสนิทของนางกลับบังคับให้นางกลายเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ ผลปรากฏว่าเหมียวอี้กักขังญาติสนิทของนางไว้ที่แดนอเวจีอีก แต่ญาติสนิทกลับกำชับนางว่าให้เอาใจเหมียวอี้ เอาใจงั้นเหรอ? ความสัมพันธ์ที่ผิดปกติขั้นสุดแบบนี้ ทำให้นางไม่รู้จริงๆ ว่าจะเอาใจเขาได้อย่างไร

วันที่ได้รู้ข่าวว่าจูเก๋อชิงถูกเหมียวอี้ประทานความตาย นางก็ตกใจตื่นจากฝันร้ายกลางดึก ตอนที่ลุกนั่งบนเตียง เหงื่อตกราวกับฝน หอบหายใจ นอกหน้าต่างมีพายุฝนกระหน่ำปนกับสายฟ้า ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางเบิกตากว้างมองฉากนั้นขณะขดตัวอยู่ในมุมผนัง เหมือนกลัวว่าจะมีบางอย่างปีนเข้ามาจากนอกหน้าต่าง อดทนอยู่อย่างนี้ยันฟ้าสว่าง ไม่กล้าไปปิดหน้าต่างที่ไม่รู้ว่าโดนลมพัดเปิดตั้งแต่ตอนไหน

ตัวเองเป็นแค่อนุภรรยาคนหนึ่งของเหมียวอี้ ฐานะสูงส่งกว่าจูเก๋อชิงไม่เท่าไร ความงามของจูเก๋อชิงก็ยิ่งเหนือกว่านาง เมื่อก่อนนางเคยเจอมาแล้ว นางไม่รู้ว่าจะมีวันไหนที่ตัวเองกลายเป็นเหมือนในฝันร้ายหรือเปล่า ในฝันเหมียวอี้สังหารนางด้วยใบหน้าดุร้ายน่ากลัว

นางไม่รู้ว่าตัวเองมีความสำคัญขนาดไหนในใจเหมียวอี้ ที่จริงนางอยากรู้มาก แต่ของแบบนี้ไม่สามารถชั่งน้ำหนักได้

ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองมีค่าในหัวใจเหมียวอี้หรือเปล่า แต่เหมียวอี้ก็ดูแลนางไม่ขาดตกบกพร่อง ให้เงินนางใช้จ่ายไม่ขาด และไม่ให้นางขาดแคลนทรัพยากรฝึกตนด้วย ค่าเลี้ยงดูที่ควรให้ก็ให้มาตลอด ไม่เคยหยุดเลย และไม่เคยน้อยลงด้วย ให้มากขึ้นตลอด บางทีอาจจะเป็นสิ่งที่ผู้หญิงในแดนฝึกตนปรารถนา เพียงแต่ทั้งสองได้พบกันน้อยมาก

ตัวเองเป็นเพียงอนุภรรยาเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นฐานะหรือในการกระทำจริง ต่อให้นางไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องเป็นผู้หญิงของเหมียวอี้ไปทั้งชีวิต ในด้านศีลธรรมระหว่างชายหญิง นางก็มีใจเป็นหนึ่งเดียวต่อเหมียวอี้ ผู้หญิงของเขาก็ยังเป็นผู้หญิงของเขา ในจุดนี้นางเองก็ไม่มีทางปฏิเสธได้

ดังนั้นนางจึงจับตาดูความเคลื่อนไหวของเหมียวอี้มาตลอด แม้นางจะรู้ว่าเหมียวอี้อาจไม่ได้คิดถึงนาง แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะสนใจ ติดตามข่าวทุกอย่างของเหมียวอี้อย่างเงียบๆ ติดตามการใช้เล่ห์เหลี่ยมพลิกแพลงสถานการณ์ของคนคนนั้นตลอดการเดินทาง บางครั้งก็เครียด บางครั้งก็กังวล บางครั้งก็ประหลาดใจ บางครั้งก็ตกตะลึง นางรู้ว่าครั้งนี้เหมียวอี้เผชิญความกดดันมหาศาลมาก

แต่นางก็รู้ว่าทุกสิ่งที่ตัวเองใส่ใจเขาคือสิ่งที่เกินความจำเป็น

ดังนั้นนางจึงชอบความรู้สึกที่เผชิญอยู่ตรงหน้า หลบอยู่ในบ้านเล็กท่ามกลางฝนอันขมุกขมัว ตัวอยู่ในนั้นแต่ก็ยังสามารถวางตัวไว้นอกเหตุการณ์เพื่อเชยชมได้ บางทีอาจจะเหงาไปบ้าง ทำได้เพียงถือถ้วยน้ำชาให้ตัวเองดูเอ้อระเหยลอยชายสักหน่อย…

“ศิษย์พี่หญิง ยังต้องรออีกนานแค่ไหน หรือพวกเราจะไปก่อนดีมั้ย ท่านอาจารย์กำหนดเวลามาแล้ว ข้ายังอยากเดินเล่นอยู่ในตลาดสวรรค์ให้มากๆ หน่อย”

บนยอดเขาแห่งหนึ่ง สตรีที่สวมชุดกระโปรงยาวสีขาวสลับชมพูคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ริมหน้าผา มีผู้หญิงสองคนอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ไกล หนึ่งในนั้นตะโกนบอกคนที่ยืนอยู่ริมหน้าผา

ผู้หญิงที่ยืนอยู่ริมหน้าผาหันกลับมายิ้มเรียบๆ “รออีกสักหน่อยเถอะ ศิษย์พี่กำลังจะมาถึงแล้ว”

ผู้หญิงอีกสองคนยิ้มหยอกล้อ ไม่รู้ว่ากำลังซุบซิบอะไรกัน

ผู้หญิงที่ยืนอยู่ริมหน้าผายิ้มเจื่อน รู้ว่าจะต้องพูดถึงนางแน่นอน

นางชื่อว่าจัวเซียงเหลียน ศิษย์สำนักเทียนกู่ ไม่นับว่าเป็นยอดหญิงงามอะไร แต่ถือว่าเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง เครื่องหน้างดงาม เค้าโครงเรือนร่างดูดี นิสัยอ่อนโยน

ที่สำนักเทียนกู่ วรยุทธ์ของนางไม่นับว่าต่ำต้อย เดิมทีจดจ่ออยู่กับการฝึกตน ไม่สนใจเรื่องระหว่างชายหญิง แน่นอนว่าไม่ได้ต่อต้าน ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ จนกระทั่งวันหนึ่งท่านอาจารย์ออกหน้าเป็นคนกลางติดต่อให้นางกับศิษย์พี่ซ่งต๋า นางเองก็ค่อนข้างชื่นชมศิษย์พี่ใหญ่ท่านนี้ จึงไม่ได้คัดค้าน ลองคบด้วยหลายปีแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยดี รอแค่ให้ท่านอาจารย์เลือกวันแต่งงานเท่านั้น

ผู้หญิงอีกสองคนก็คือศิษย์พี่หญิงและศิษย์น้องหญิงของนาง ศิษย์พี่หญิงชื่อว่าฉางหงเหมย ศิษย์น้องหญิงชื่อว่าต้วนอ้ายเอ๋อร์ เรื่องของศิษย์พี่ใหญ่กับจัวเซียงเหลียนกับประกาศอย่างเปิดเผยในสำนัก ไม่ใช่สิ่งที่เปิดเผยไม่ได้ เพียงแต่สาวๆ ในสำนักมักจะชอบหยอกล้อ จัวเซียงเหลียนเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน แต่ก็คุ้นชินแล้ว

ในขณะนี้เอง ตรงขอบฟ้ามีเงาคนหลายคนเหาะเข้ามา ขณะที่เหาะผ่านไป มีชายคนหนึ่งถลันตัวเหยียบลงพื้น รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าใสซื่อจริงใจ แต่ดูอาจหาญอยู่หลายส่วน สบตากับจัวเซียงเหลียนแล้วยิ้มให้กัน

“ศิษย์พี่ใหญ่มาแล้ว” ต้วนอ้ายเอ๋อร์ตะโกนเสียงดัง นางกับฉางหงเหมยเดินเข้ามาทำความเคารพด้วยรอยยิ้ม

ซ่งต๋าทักทายกลับแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้ากำลังจะไปไหนกัน?”

“ท่านอาจารย์ให้พวกเราไปซื้อของที่ตลาดสวรรค์” จัวเซียงเหลียนตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

ต้วนอ้ายเอ๋อร์พูดแทรกทันที “ศิษย์พี่ใหญ่ เพื่อที่จะรอท่าน ทำให้พวกเราเสียเวลาเดินเล่นที่ตลาดสวรรค์ ท่านต้องชดเชยให้พวกเรานะ ต้องให้เงิน!”

“อ้ายเอ๋อร์!” จัวเซียงเหลียนหันกลับมาถลึงตามองนาง

ต้วนอ้ายเอ๋อร์หัวเราะคิกคักทันที “ศิษย์พี่หญิง ท่านยังไม่ได้แต่งงานกับศิษย์พี่ใหญ่สักหน่อย เริ่มปกป้องซะแล้ว”

จัวเซียงเหลียนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันที

“ฮ่าๆ!” ซ่งต๋าหัวเราะอย่างเปิดเผยจริงใจ แล้วดีดแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งเข้ามา “เอาไปสิ!”

หลังจากต้วนอ้ายเอ๋อร์รับมาตรวจดู นางก็ทำสีหน้าพอใจมาก ตอบอย่างหน้าชื่นตาบานว่า “ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่!” แล้วรีบเก็บไว้

ฉางหงเหมยที่อยู่ข้างๆ ส่ายหน้าอย่างจนใจ

สายตาของจัวเซียงเหลียนกลับมาอยู่บนใบหน้าซ่งต๋า ถามว่า “ไปฝึกครั้งนี้ราบรื่นใช่มั้ยคะ?”

“มีอุปสรรคนิดหน่อย เกือบจะหลงทางในอาณาเขตดาวนิรนามแล้ว แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ควรฝึกเหมือนกัน สรุปก็ถือว่าราบรื่น” หลังจากซ่งต๋าบอกให้ฟังคร่าวๆ ก็หยิบปิ่นปักผมอันหนึ่งมอบให้ “เห็นต้นไม้ประหลาดต้นหนึ่ง เลยหักมาทำปิ่นปักผมให้ เจ้าดูสิว่าชอบหรือเปล่า”

สายตาทุกคนไปหยุดอยู่บนปิ่นปักผมอันนั้น ทั้งตัวปิ่นสีขาวดุจหยก เห็นในแท่งที่โปร่งแสงเหมือนจะมีเส้นเลือดสีแดงอยู่ด้วย ใบไม้สีขาวที่อยู่ในจุดที่เหมาะเจาะทำให้ดูน่ารักสวยงาม เป็นกิ่งไม้กิ่งหนึ่งจริงๆ มีการตัดแต่งแก้ไขเล็กน้อยเท่านั้น ยังรักษาเค้าโครงเดิมส่วนใหญ่ไว้ แม้จะปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย แต่กลับมองออกว่าซ่งต๋าทุ่มเทความคิดไปมาก

“เป็นปิ่นที่สวยมากเลย!” ต้วนอ้ายเอ๋อร์ยื่นมือมาจะแย่งปิ่น

ฉางหงเหมยที่อยู่ข้างๆ รีบคว้าข้อมือนางกลับมา แล้วถลึงตาตำหนิ “อย่าทำเป็นเล่น”

จัวเซียงเหลียนรับปิ่นมาไว้ในมือ ในดวงตาฉายแววโปรดปราน พยักหน้าตอบว่า “ชอบค่ะ ขอบคุณศิษย์พี่”

“ข้าช่วยปักปิ่นให้เจ้านะ” ซ่งต๋าหยิบมาไว้ในมืออีกครั้ง แล้วปักบนมวนผมจัวเซียงเหลียนอย่างเรียบร้อย ก่อนจะก้าวถอยหลังแล้วพยักหน้าชม “สวยงาม”

แม้ข้างกายจะยังมีคนอื่นอีก แต่จัวเซียงเหลียนก็เขินอายเล็กน้อย

ต้วนอ้ายเอ๋อร์กลับยื่นจมูกดม แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “กลิ่นหอมชื่นใจมาก กลิ่นออกมาจากปิ่นปักผมเหรอ?”

จัวเซียงเหลียนกับฉางหงเหมยก็เหมือนจะได้กลิ่นหอมจางๆ เช่นกัน แม้กลิ่นจะอ่อนจาง แต่ดมแล้วทำให้คนรู้สึกสดชื่นสบายใจ

ซ่งต๋าพยักหน้ายิ้ม “ถูกต้อง ไม้นั้นย่อมส่งกลิ่นหอมโดยธรรมชาติ ข้ารู้สึกว่าเหมาะกับศิษย์น้องมาก แค่ไม่รู้ว่าศิษย์น้องหญิงจะชอบหรือเปล่า ถึงยังไงก็เด็ดมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ใช่ของที่มีราคา”

จัวเซียงเหลียนตอบอย่างเขินอาย “ชอบค่ะ”

ฉางหงเหมยบอกว่า “ศิษย์พี่ ท่านอาจารย์กำชับพวกเรามา ยังต้องไปที่ตลาดสวรรค์อีก เดี๋ยวพวกเราไว้คุยกันทีหลังเถอะ”

“ได้! ข้าเองก็จะไปรายงานผลภารกิจต่อท่านอาจารย์เช่นกัน ระหว่างทางพวกเจ้าก็ระวังตัวด้วย” ซ่งต๋ากล่าวด้วยรอยยิ้ม

“งั้นพวกเราไปก่อนนะคะ” จัวเซียงเหลียนบอกลา จากนั้นก็เหาะไปกับศิษย์พี่หญิงและศิษย์น้องหญิง

ซ่งต๋าที่ยืนบนหน้าหน้าผาโบกมือให้ รอจนกระทั่งเงาคนหายไปแล้ว ตัวเองก็เหาะไปยังแนวภูเขาที่อยู่ไกลๆ

…………………