บทที่ 1198 ข้าชื่อเซียงเหยียน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,198 ข้าชื่อเซียงเหยียน

“เจ้ามาพบข้าด้วยเหตุอันใด?”

นักบวชสาวแสนสวยเซียงเหยียนมีสีหน้าเหมือนธารน้ำแข็งที่กำลังละลาย “วีรกรรมของเจ้าโด่งดังไปทั่วเขตพื้นที่ระดับ 3 แล้ว”

เห็นได้ชัดว่านางทราบถึงวีรกรรมของหลินเป่ยเฉินในการกวาดล้างสำนักหนามทมิฬ

‘ข้าอยากให้ท่านช่วยเหลือเรื่องการเดินทางหน่อยขอรับ’

หลินเป่ยเฉินอธิบายด้วยตัวอักษรจากปลายนิ้วมือ ‘ข้าน้อยอยากเข้าไปฝึกฝนที่หุบผาอเวจี’

“ตามข้ามา”

เซียงเหยียนหมุนตัวเดินนำทาง

นางเป็นสตรีที่ไม่เคยมีความรักมาก่อน

ไม่ว่านักบวชเซียงเหยียนรู้สึกอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความเศร้า ความโกรธ ความเสียใจ ต่างก็แสดงออกมาบนใบหน้าอย่างชัดเจน

นางก็ไม่ต่างจากสตรีที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักทั่วไป ตราบใดที่ได้ช่วยเหลือบุคคลอันเป็นที่รัก นางย่อมรู้สึกมีความสุขเสมอ

หลินเป่ยเฉินเดินตามนักบวชเซียงเหยียนไปทางด้านหลัง เมื่อเข้าไปในประตูด้านข้างวิหาร พวกเขาก็เดินไปตามเฉลียงทางเดินอันยาวเหยียด ก่อนที่จะมาถึงแท่นบูชาสามชั้นขนาดใหญ่แท่นหนึ่ง

“ท่านนักบวชเซียงเหยียน”

นักบวชมือกระบี่สี่นายที่รับหน้าที่อารักขาแท่นบูชารีบประสานมือคำนับทำความเคารพ

“ส่งพวกเราไปที่แดนสี่”

นางพูดกับนักบวชมือกระบี่เหล่านั้นด้วยสีหน้าที่กลับมาเยือกเย็นเช่นเดิม

หลังจากนั้น นักบวชเซียงเหยียนก็หันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับขณะกล่าวว่า “ตามข้ามา”

แล้วนักบวชสาวก็พาหลินเป่ยเฉินขึ้นไปยืนบนแท่นบูชา

‘หืม? ไม่ต้องจ่ายอะไรเลยเหรอวะเนี่ย’

หลินเป่ยเฉินคิดอย่างมีความสุข

เกิดมาหล่อมันก็ดีอย่างนี้นี่เอง

หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนแท่นบูชาเคียงข้างนักบวชเซียงเหยียน

มือกระบี่ผู้คุ้มกันแท่นบูชาทั้งสี่ไม่กล้าลังเลรีรอ พวกเขารีบแนบฝ่ามือลงไปบนเสาหินทั้งสี่ทิศของแท่นบูชาแห่งนี้

แล้วค่ายอาคมก็ทำงาน

หลินเป่ยเฉินได้ยินเหมือนเสียงเครื่องจักรกลเริ่มทำงาน แท่นบูชาสว่างไสวด้วยลำแสงเจิดจ้า หลังจากนั้นร่างกายของเขากับนักบวชสาวเซียงเหยียนก็ถูกปกคลุมด้วยลำแสงสีขาวนวลสายหนึ่ง

ลมหายใจต่อมา

แสงและเงาเคลื่อนไหววูบวาบ

หลินเป่ยเฉินดวงตาพร่าเลือนจากแสงสว่างสีขาวรอบกาย

จนกระทั่งเมื่อสายตาเริ่มปรับตัวได้ เขาจึงได้ลองกวาดตามองรอบบริเวณดูอีกครั้ง

เด็กหนุ่มพบว่าตนเองมายืนอยู่ในห้องโถงที่กว้างขวางมากแห่งหนึ่ง

เป็นห้องโถงที่วุ่นวายยิ่ง

เป็นห้องโถงที่มีผู้คนอยู่มากมายยิ่ง

เป็นห้องโถงที่มีร้านค้าแผงลอยตั้งอยู่เต็มไปหมด

“ขายเกล็ดเงินจากอสูรเกราะเหล็กจ้า แผ่นละหนึ่งศิลาเทวะเท่านั้น ถูกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว”

“ขนนกจากวิหคอสูร มัดละสิบแต้มคะแนนศรัทธาเท่านั้น”

“ให้เช่าอุปกรณ์เดินทางสำหรับนักผจญภัยจ้า ผู้ใดไม่มีอุปกรณ์สำหรับเข้าไปล่าอสูร สามารถหาเช่าได้ตามงบของท่าน เรามีตั้งแต่อุปกรณ์ระดับสามัญไปจนถึงขั้นอุปกรณ์ระดับสูง ราคาเริ่มต้นเพียงชั่วยามละยี่สิบแต้มคะแนนศรัทธาเท่านั้น…”

“ขายจิ้งจอกอสูรหูยาวขอรับ ตัวเมียอายุสามปี สามารถตรวจจับสัตว์อสูรได้ทุกชนิดในรัศมีสองลี้…”

เสียงร่ำร้องของพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยเหล่านั้นดังกึกก้องอย่างมีชีวิตชีวา

เมื่อเทียบกับโลกภายนอกแล้ว สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยหมอกควันและเปลวไฟ ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่หลินเป่ยเฉินจินตนาการเอาไว้โดยสิ้นเชิง

นอกจากนี้ ยังมีร้านค้าอย่างเป็นทางการจากสภาเทพเจ้ามาเปิดกิจการอีกด้วย

ไม่ว่ามือกระบี่นักผจญภัยต้องการซื้อหาสิ่งใด ที่นี่ล้วนมีสิ่งนั้นให้ซื้อหาทั้งหมด

ผู้คนที่เดินไปเดินมาเท่าที่หลินเป่ยเฉินเห็น ล้วนเป็นเทพเจ้าที่มีรูปร่างเป็นมนุษย์ปกติทั่วไป

มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นเทพเจ้ารูปร่างอื่น ๆ

โดยส่วนใหญ่ เหล่าเทพเจ้าที่หลินเป่ยเฉินพบเห็นล้วนแต่พกพาอาวุธครบมือ พวกเขาจะรวมตัวกันกลุ่มละสามถึงห้าคน พลังกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างกายนั้น สามารถคุกคามผู้คนได้อย่างดุร้าย ไม่ต่างจากบรรดาอันธพาลจากโลกภายนอกสักนิด

“นี่คือสถานีขนส่งของหุบผาอเวจีแดนสี่”

นักบวชเซียงเหยียนรับหน้าที่อธิบาย “สำหรับมือกระบี่นักผจญภัยที่อยากจะเข้าสู่หุบผาอเวจีแดนสี่นั้นจะต้องมาที่นี่ก่อนเป็นลำดับแรก ที่นี่มีเผ่าคนแคระเทวะซึ่งเป็นสมาชิกของสภาเทพเจ้าคอยดูแลความสงบเรียบร้อย… หากเจ้าอยากจะเข้าสู่หุบผาอเวจี เจ้าก็ต้องจ่ายค่าผ่านทางก่อน หรือหากเจ้าอยากจะมาตั้งร้านค้าที่นี่ เจ้าก็ต้องจ่ายภาษีค้าขาย… ได้โปรดอย่าก่อปัญหาขึ้นที่นี่เด็ดขาด ผู้ดูแลของเผ่าคนแคระเทวะแต่ละคนล้วนมีฝีมือแข็งแกร่ง… ผู้ใดก็ตามที่เข้ามาก่อกวนในสถานที่แห่งนี้ จะถูกมองว่าเป็นศัตรูของพวกเขาโดยทันที”

หลินเป่ยเฉินเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว

เขากวาดตามองรอบตัวด้วยความพิศวง

นอกจากบรรดาพ่อค้าแม่ค้าของร้านค้าแผงลอยเหล่านั้น ที่นี่ยังมีนักบวชซึ่งเป็นคนแคระในชุดเสื้อคลุมสีดำสะพายกระบี่และสวมใส่ชุดเกราะสีทองคำเดินตรวจตรารักษาความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย

นั่นน่าจะเป็นผู้ดูแลจากเผ่าคนแคระเทวะแน่ ๆ

หลินเป่ยเฉินคำนวณดูด้วยสายตาคร่าว ๆ เขาพบว่าห้องโถงใหญ่แห่งนี้มีคนแคระเทวะคอยรักษาความปลอดภัยอยู่ประมาณสองร้อยคน

นอกจากนี้ ยังมีนักบวชมือกระบี่จากวิหารเทพเผ่าอื่น ๆ มาคอยช่วยเหลืออีกจำนวนไม่น้อย

บริเวณสุดทางเดินของห้องโถงใหญ่ เป็นที่ตั้งของประตูสีดำขนาดใหญ่บานหนึ่ง หากเทียบกับความกว้างและความสูงในโลกมนุษย์ยุคปัจจุบันที่หลินเป่ยเฉินจากมา ประตูสีดำบานนี้ก็มีความสูงถึงสามสิบเมตรและมีความกว้างถึงยี่สิบเมตรเลยทีเดียว

บัดนี้ มีนักผจญภัยเดินเข้าออกจากประตูอยู่ตลอดเวลา

“นี่คือประตูขนส่ง เมื่อเจ้าเดินผ่านม่านพลังที่ประตูเข้าไปแล้ว เจ้าก็จะเข้าสู่หุบผาอเวจีทันที”

นักบวชเซียงเหยียนยังคงคอยให้คำแนะนำต่อไป “กล่าวโดยสรุปก็คือ มีนักผจญภัยน้อยมากที่เลือกจะเข้าสู่หุบผาอเวจีด้วยตัวคนเดียว เพราะที่นั่นเป็นสถานที่อันตราย มีภูมิประเทศลึกลับซับซ้อน อีกทั้งยังมีอสูรซ่อนตัวอยู่เป็นจำนวนมาก เจ้าเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก จำเป็นต้องมีผู้ดูแลคอยคุ้มกัน วันนี้ข้าลาหยุดกับทางวิหารพอดี เดี๋ยวข้าจะเข้าไปช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้เจ้าเอง”

“หา?”

หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาอย่างคิดไม่ถึง ‘ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก?’

เด็กหนุ่มเขียนข้อความถามกลับไป

นักบวชสาวเพียงยิ้มตอบกลับมา

นางไม่เก่งเรื่องความรัก

แต่ต้องอย่าลืมว่านักบวชเซียงเหยียนมีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้านักบวชประจำวิหารเทพเจ้าสาขาที่ 98 ของเผ่าเทพพงไพร

‘ขอบคุณท่านนักบวชสำหรับความเมตตาขอรับ’

หลินเป่ยเฉินตัดสินใจปฏิเสธความช่วยเหลือ ‘ข้าน้อยอยากจะลองเข้าไปดูเพียงลำพัง’

ใบหน้าที่สวยงามของนักบวชเซียงเหยียนแสดงออกถึงความตกใจเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้น เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน”

แล้วนางก็หมุนตัวเดินกลับไป

หลังจากนั้นไม่นาน นักบวชสาวเซียงเหยียนก็เดินกลับมาอีกครั้ง

นางยื่นส่งห่อของมาให้แก่หลินเป่ยเฉิน

ห่อของเหล่านั้นประกอบไปด้วยชุดเกราะสีดำมันวาว กระบี่ยาวสี่เล่ม ผงยาพิษสิบห่อใหญ่ กล้องส่องทางไกล อาหารแห้ง และข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับการสำรวจหุบผาอีกมากมาย

“นี่มัน…”

หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

นักบวชสาวเซียงเหยียนตอบว่า “เตรียมเอาไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย”

เด็กหนุ่มรู้สึกตื้นตันใจในความหวังดีของนางเหลือเกิน

แม้ว่านางจะทำดีเพื่อหวังผลตอบแทนเป็นร่างกายของเขาก็ตาม

หลินเป่ยเฉินถึงได้พบศิลาเทวะอีกหลายก้อน

‘ขอบคุณท่านนักบวชมากเลยขอรับ’

หลินเป่ยเฉินรับห่อของที่นักบวชสาวจัดเตรียมมาให้แต่โดยดีและเขียนข้อความต่อไปว่า ‘ข้าน้อยไม่ใช่คนที่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น สำหรับข้าวของเหล่านี้ที่ท่านเตรียมมาให้ เมื่อกลับออกมาจากการสำรวจ ข้าน้อยก็คงได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง และข้าน้อยก็จะตอบแทนให้มากกว่าที่ท่านนักบวชคนสวยให้ข้าน้อยมาเป็นสองเท่า’

“ข้าชื่อเซียงเหยียน”

นักบวชสาวพูดตะกุกตะกัก “ในหุบผาอเวจีมีอันตรายอยู่ทุกหนทุกแห่ง ได้โปรดระมัดระวังตัวด้วย นอกจากต้องระวังอสูรในนั้นแล้ว เจ้าต้องระวังนักผจญภัยคนอื่น ๆ เช่นกัน สิ่งที่เกิดขึ้นในหุบผาอเวจีอยู่นอกเหนือการควบคุมของเทพเจ้า หากเจ้าหลงทางหรือตกอยู่ในอันตราย กรุณาใช้งานแผ่นป้ายที่ข้าเคยให้เจ้าไว้ก่อนหน้านี้”

‘รับทราบแล้วขอรับ’

หลินเป่ยเฉินพยักหน้า

นักบวชสาวเซียงเหยียนไม่ลังเลอีกต่อไป นางจึงหมุนตัวเดินจากไป

หลินเป่ยเฉินหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังเดินตรงไปที่ประตูขนส่ง

จังหวะที่เขาเดินผ่านม่านพลังของประตูขนส่งนั้น เด็กหนุ่มพยายามจะจ้องมองทุกอย่างให้ได้มากที่สุด

แต่เขาก็มองอะไรไม่เห็น

เมื่อเดินผ่านม่านพลังที่ครอบคลุมประตูสีดำบานนั้น ความมืดมิดก็ปกคลุมทุกอย่าง

ความรู้สึกที่คุ้นเคยเกิดขึ้นในใจหลินเป่ยเฉิน

เขารู้สึกเหมือนตนเองกำลังไถลลงไปในอุโมงค์ที่เป็นรังมด โชคดีที่อุโมงค์แห่งนี้มีขนาดกว้างขวาง แต่เด็กหนุ่มก็ไม่รู้อยู่ดีว่าอุโมงค์นี้จะนำพาเขาไปสู่ที่ใด

รอบกายมีสายลมกระโชกแรง

เมื่อรู้สึกตัวอีกที หลินเป่ยเฉินก็มายืนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกับดินแดนของชาวเผ่าจันทราขาว

แต่บรรยากาศของที่นี่มีความโหดร้ายป่าเถื่อนมากกว่าดินแดนของชาวเผ่าจันทราขาวหลายเท่า เพียงสูดลมหายใจเข้าไป ก็จะรู้สึกได้ถึงกลิ่นไอแห่งความตายในอากาศ

ที่นี่คือหุบผาอเวจีใช่หรือไม่?

น่าจะใช่ น่าจะใช่

หลินเป่ยเฉินชำเลืองมองรอบตัว

สำหรับปากอุโมงค์ที่เขาเพิ่งจะพุ่งผ่านออกมานั้น หลินเป่ยเฉินก็พบว่ามีตัวเขาเองเพียงคนเดียว

‘หรือว่าประตูขนส่งจะส่งคนไปแบบสุ่มสถานที่หว่า?’

เด็กหนุ่มคิดเล็กน้อยก่อนเริ่มต้นถอดเสื้อผ้า