ตอนที่ 2,523 : โลก
“ย่อมไม่เป็นธรรมชาติ”
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ถังเซี่ยวเซี่ยวก็ส่ายหัวไปมาพลางอธิบายว่า “ถึงเรือรบระดับโลกาวินาศจะทรงพลัง และเพียงแค่ 1 ลำก็เข่นฆ่าเซียนอมตะเสเพล 6 ทัณฑ์…กระทั่งหากส่งออกมาสักโหลก็มากพอจะทำร้ายเซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์ให้มีแผลได้”
“แต่ถ้าคิดจะทำร้ายให้เซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์บาดเจ็บหรือบาดเจ็บสาหัส อย่างน้อยๆก็ต้องใช้เรือรบระดับโลกาวินาศนับสิบๆ กระทั่งอาจะต้องใช้เป็นร้อยลำ…”
“ส่วนเรื่องที่คิดจะสังหารตัวตนขอบเขตเซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์นั้นแทบเป็นไปไม่ได้! เพราะไม่ว่าจะส่งมากี่ร้อยกี่พันลำก็ทำไม่ได้ เว้นแต่เซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์ผู้นั้นจะอยากตาย”
“อีกทั้งด้วยความเร็วของเซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์คิดหลบระบบตรวจจับของเรือรบระดับโลกาวินาศก็ทำได้ไม่ยาก…หากหลบอาวุธของพวกมันได้ เรื่องคิดจะทำลายเรือรบก็ง่ายดายนัก! สำหรับเซียนอมตะเสเพล 8 ทัณฑ์ ลำบากออกแรงเล็กน้อยก็ทำลายเรือรบระดับโลกาวินาศได้ไม่ยาก”
“สำหรับตัวตนระดับเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์…ต่อให้มีเรือรบระดับโลกาวินาศมากแค่ไหน หากคิดจะทำลายก็ง่ายดายเหมือนอยากโละของเล่นทิ้ง ไม่อาจสร้างความกดดันใดๆได้เลย!”
กล่าวถึงจุดนี้ถังเซี่ยวเซี่ยวก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาล้ำลึก ค่อยกล่าวต่อว่า “และไม่ว่าเรือรบระดับโลกาวินาศจะมีเทคโนโลยีสูงขนาดไหน แต่พวกมันก็ไม่อาจใช้การโจมตีด้วยพลังวิญญาณ…ดังนั้นสำหรับเจ้าแล้ว เรือรบระดับโลกาวินาศก็เหมือนโครงกระดาษนั่นล่ะ…”
“แต่เป็นธรรมดาว่าพลังอำนาจของเรือรบระดับโลกาวินาศนั้น ค่อนข้างเหนือกว่าเรือรบระดับภัยพิบัติในดาราจักรคอสเตอร์ก่อนหน้าหลายขุม สำหรับพลังของเรือรบระดับภัยพิบัติเจ้าเองก็น่าจะเข้าใจมันดีแล้วสินะ”
ถังเซี่ยวเซี่ยวกล่าว
“อืม”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
ตอนที่เขาอยู่ในดาราจักรคอสเตอร์ สาเหตุที่เขาบอกให้ผู้นำตระกูลการ์นิเย่สั่งให้เรือรบระดับภัยพิบัติทั้ง 17 ลำยิงเขานั้น ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนชอบความเจ็บปวดอะไร แต่เพราะเขาอยากเห็นพลังอำนาจของเรือรบระดับภัยพิบัติ!
และสุดท้ายพลังทำลายของเรือรบระดับภัยพิบัติวันนั้นก็ทำให้เขาต้องผิดหวัง…
“ในดาราจักรคอสเตอร์ ตระกูลการ์นิเย่ที่มีเรือรบระดับพัยพิบัติไว้ในกองยานถึง 18 ลำ แม้ดูเหมือนจะร้ายกาจ…แต่หากเจ้ามีเรือรบระดับโลกาวินาศล่ะก็ แค่ส่งไปสักลำก็เป่ากองยานของมันเป็นจุนได้ง่ายๆ! และให้เรือรบระดับภัยพิบัติระดมยิงเต็มอัตราศึกพร้อมๆกัน ก็ทำได้แค่สะกิดม่านพลังป้องกันของเรือรบระดับโลกาวินาศเท่านั้น”
ถังเซี่ยวเซี่ยวกล่าวต่อ
“ที่แน่ ก็คือ…ต่อให้มีเรือรบระดับโลกาวินาศกี่ร้อยกี่พันลำ ต่อหน้าเจ้ามันก็ไร้ความหมายอยู่ดี…”
ประโยคท้าย ถังเซี่ยวเซี่ยวไม่ลืมจะกล่าวยกย่องต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
ต้องบอกเลยว่าต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแช่มชื่นในใจอยู่บ้าง หลังได้ยินคำชมของถังเซี่ยวเซี่ยว
“เรือรบระดับโลกาวินาศ…คือเทคโนโลยีที่ทรงพลังที่สุดของระนาบเหยียนหวงแล้ว?”
ต้วนหลิงเทียนยังไม่ลืมเรื่องที่ถังเซี่ยวเซี่ยวเล่าให้ฟังก่อนหน้า
จากที่ถังเซี่ยวเซี่ยวเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้
เรือรบระดับโลกาวินาศ คือเทคโนโลยีที่ทรงพลังที่สุดของระนาบเหยียนหวง
“อื๊อ”
ถังเซี่ยวเซี่ยวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “กล่าวได้ว่าเรือรบระดับโลกาวินาศคือตัวแทนเทคโนโลยีสูงสุดของระนาบเหยียนหวงก็ว่าได้…และถึงจะเป็นมหาระนาบโลกียะอื่น ที่ใหญ่โตเหมือนๆระนาบเหยียนหวง เทคโนโลยีสูงสุดของพวกมันก็มีพลังทัดเทียมเรือรบระดับโลกาวินาศเท่านั้น”
“ดูเหมือนว่าต่อให้เทคโนโลยีจะสูงล้ำแค่ไหน…สุดท้ายก็ยังเทียบกับผู้ฝึกตนระดับสูงสุดของระนาบโลกียะไม่ได้อยู่ดี”
ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกกมาเฮือกหนึ่ง
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว”
ถังเซี่ยวเซี่ยวกล่าวออก “แต่เจ้าอย่าได้ลืมเสียเล่า…ว่าผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนอมตะเสเพล 3 ทัณฑ์ นั้นก็เป็นอะไรที่ทรงพลังเหนือครึ่งก้าวเซียนอมตะเข้าไปแล้ว และหากครึ่งก้าวเซียนอมตะขึ้นสู่ระนาบเทวโลกได้สำเร็จ ระดับพลังก็เพียงทัดเทียมกับเซียนอมตะเสเพล 3 ทัณฑ์เท่านั้น”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเองก็รู้เรื่องนี้
ในระนาบเทวโลก ตัวตนขอบเขตเซียนอมตะเสเพล 3 ทัณฑ์ ในแง่ของระดับพลังแล้ว ก็เทียบได้กับเซียนอมตะที่แท้จริงขั้นแรก….
“หากจะคิดในแง่นี้…ระดับเทคโนโลยีก็ไม่ใช่เล่นๆเลย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ก็ไม่ใช่เล่นๆจริงๆนั่นล่ะ แต่อย่างไรเสียเทคโนโลยีให้สูงล้ำเพียงใดก็สู้ขุมพลังของผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งไม่ได้…ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะระนาบเหยียนหวงแห่งนี้ หรือมหาระนาบโลกียะอื่นๆ ดาราจักรที่มีทรัพยากรมากที่สุด ก็ล้วนแล้วแต่ถูกผู้ฝึกตนยึดครองทั้งสิ้น…”
“และไม่ต้องพูดถึงดาราจักรของขุมพลังระดับสูงๆอย่างสำนักเทียนซือหรือวังคลื่นสวรรค์ด้วยซ้ำ…ต่อให้เป็นดาราจักรที่มีขุมพลังชั้นรองลงมาอย่างนิกายถังของข้าปกครอง ก็ไม่ใช่อะไรที่ผู้พึ่งพาเทคโนโลยะจะเฉียดมาแหยมได้!”
ถังเซี่ยวเซี่ยวกล่าวสืบต่อ
ต้วนหลิงเทียนก็เห็นด้วยกับเรื่องที่ถังเซี่ยวเซี่ยวพูดออกมาเป็นธรรมดา
เพราะสุดท้ายแล้วให้มีเรือรบระดับโลกาวินาศสักกี่ลำ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าเซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์สักคน…
แต่ในนิกายถังนั่น หากไม่ใช่เพราะเขาฆ่าไป 1 คน พวกมันก็มีตัวตนขอบเขตเซียนอมตะเสเพล 8 ทัณฑ์ถึง 3 คนด้วยซ้ำ…
ส่วนตัวตนขอบเขตเซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์นั้น นิกายถังย่อมมีไม่น้อยกว่าสิบคน!
กล่าวได้ว่าไม่ต้องถึงมือตัวตนขอบเขตเซียนอมตะเสเพล 8 ทัณฑ์…ขอแค่ส่งเซียนอมตะเสเพล 7 ทัณฑ์ไปสักสองสามคน ก็ถล่มดาราจักรที่มีเทคโนโลยีสูงสุดในระนาบเหยียนหวงจนราบคาบได้ไม่ยากแล้ว…
…
วันเวลา 3 เดือนผ่านไปในพริบตา
“ข้างหน้าสมควรเป็นดาราจักรที่มีดาวเหยียนหวงตั้งอยู่แล้วล่ะ…”
ได้ยินเสียงกล่าวเตือนของถังเซี่ยวเซี่ยว ใจต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเต้นไปไม่เป็นจังหวะ
ดาวเหยียนหวงที่ถังเซี่ยวเซี่ยวเอ่ยถึง ก็คือบ้านเกิดของเขาในชาติที่แล้ว โลก!
ในที่สุดเขาก็กำลังจะกลับถึงโลกแล้วงั้นเหรอ!?
“ถึงแล้ว!”
หลังผ่านไปอีกราวๆ 1 เค่อ ถังเซี่ยวเซี่ยวก็ยกมือชี้ไปเบื้องหน้า พลางบอกต้วนหลิงเทียน
‘นั่นน่ะเหรอ…ดาราจักรทางช้างเผือก ที่มีระบบสุริยะและโลกอยู่…’
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนก็ได้ชะลอความเร็วลง และจับจ้องไปยัง ดาราจักรที่เรียงตัวดั่งธารน้ำตกสีเงินเบื้องหน้าด้วยสองตาเป็นประกาย…
ใจเขาอดไม่ได้ที่จะสั่นไหวขึ้นมา
โลกนั้นมีความสำคัญกับเขาไม่น้อย
เพราะนั่นคือบ้านเกิดของเขาเมื่อชาติที่แล้ว!
และตอนนี้เมื่อได้เห็น ทางช้างเผือก ที่มีโลกอยู่เบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความคิดถึงทั้งโหยหาประการหนึ่ง…
‘ดูเหมือน…ทางช้างเผือกจะใหญ่กว่าดาราจักรที่พึ่งผ่านมาเมื่อครู่’
ไม่ทันไรต้วนหลิงเทียนที่ชะลอความเร็วลงก็ตระหนักได้ถึงเรื่องนี้
“ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่าดาราจักรที่มีดาวเหยียนหวงอยู่นั้นมิใช่ดาราจักรเล็กๆเลย ตอนนี้พอมาเห็นกับตาก็นับว่าสมคำร่ำลือจริงๆ…”
“อย่างไรก็ตาม กระทั่งพวกเรายังไม่ทันเข้าใกล้ดาราจักรที่มีดาวเหยียนหวงอยู่ด้วยซ้ำ แต่กลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินก็เริ่มเบาบางลงขนาดนี้แล้ว…ดูเหมือนว่าผู้ฝึกตนในสมัยโบราณของดาวเหยียนหวง จะดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินจนเกลี้ยงจริงๆ…จนป่านนี้พลังวิญญาณฟ้าดินยังไม่อาจเติมเต็มดาราจักรได้เลย…”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพาถังเซี่ยวเซี่ยวเหินเข้าใกล้ ดาราจักรทางช้างเผือกมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงของถังเซี่ยวเซี่ยวก็ดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
ฟุ่บ!
ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนพลันเร่งความเร็วขึ้น และหอบหิ้วถังเซี่ยวเซี่ยวพุ่งเข้าสู่ทางช้างเผือกทันที
หลังเข้าสู่ทางช้างเผือกแล้ว กลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินก็เบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด
“ดาวเหยียนหวง…อืม…สมควรอยู่ทางนั้น!”
ขณะเดียวกันถังเซี่ยวเซี่ยวก็หยิบแผนที่ดวงดาวออกมาดูอีกครั้ง ค่อยเงยหน้าขึ้นมาชี้บอกทางต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ จากนั้นก็หอบหิ้วถังเซี่ยวเซี่ยวไปยังดาวเหยียนหวงด้วยความเร็วสูงสุด!
ระหว่างเดินทางด้วยความเร็วเต็มที่ ต้วนหลิงเทียนก็ยังคงสอดส่องทั้งใช้สำนึกเทวะตรวจสอบดาวเคราะห์ต่างๆ ในดาราจักรทางช้างเผือกด้วยความสนใจ
ดาวเคราะห์เหล่านี้บางดวงก็รกร้างว่างเปล่าไร้สิ่งมีชีวิต ดาวเคราะห์บางดวงก็มีสภาพแวดล้อมเลวร้ายไม่เหมาะกับสิ่งมีชีวิต กระทั่งดาวเคราะห์บางดวงก็มีแต่สัตว์ประหลาดรูปร่างแปลกประหลาด!
และดาวเคราะห์ที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นดาวเคราะห์ที่ถูกปกครองด้วยเทคโนโลยีทั้งสิ้น
แต่เป็นธรรมดาว่าระดับเทคโนโลยีและระดับอารยธรรมของดาวเคราะห์เหล่านี้ มันช่างล้าหลังกว่าดาราจักรคอสเตอร์มาก
อย่างไรก็ตามหากจะให้เทียบกับดาวโลกที่ต้วนหลิงเทียนเคยอยู่ พวกมันยังมีระดับอารยธรรมล้ำหน้าโลกอยู่นับพันปี!
“ไปอีกไม่ไกล สมควรพบเจอดาวเหยียนหวงในดาราจักรนี้แล้ว…”
ไม่นานนักถังเซี่ยวเซี่ยวที่จับจ้องมองแผนที่ดวงดาวอยู่ ก็เงยหน้าขึ้นมาชี้บอกต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
‘ระบบสุริยะ!’
เมื่อเห็นดาวฤกษ์ไกลตาที่ประหนึ่งลูกไฟขนาดมหึมา สองตาต้วนหลิงเทียนก็ลุกวาวขึ้น ลมหายใจยังเริ่มถี่รัวขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด…
ห่างออกไปไกลตายามนี้ นอกจากลูกไฟมหึมาที่สุกสกาวเรืองรองนั่นแล้ว ยังมีดาวเคราะห์อีก 8 ดวงเหินลอยอยู่ในวงโคจรของมันดั่งดาวบริวาร มองไปก็ไม่ต่างใดจากดาวล้อมเดือน ข้ารับใช้ห้อมล้อมจักรพรรดิก็ว่า…
‘พุธ ศุกร์ อังคาร พฤหัส เสาร์ ยูเรนัส เนปจูน…’
สายตาต้วนหลิงเทียนกวาดผ่านดาวบริวาร 7 ดวงของดวงอาทิตย์อย่างฉับไว สุดท้ายค่อยไปตกยังดาวเคราะห์ดวงสุดท้ายที่เหลืออยู่…
ดาวเคราะห์ดวงนั้นยังเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวที่มีกลิ่นอายของชีวิต ท่ามกลางดาวอันแสนคุ้นตาทั้ง 9 ดวงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนรวมถึงดวงอาทิตย์ด้วย
ฟุ่บ!
ร่างต้วนหลิงเทียนกระพริบวาบ หอบหิ้วถังเซี่ยวเซี่ยวไปยังดาวเคราะห์ดวงเดียวที่มีกลิ่นอายชีวิตนั่นทันที
หลังมาถึงใกล้ๆดาวเคราะห์ที่ว่าแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หยุดลงชั่วคราว ขณะเดียวกันก็คลายพลังหอบหิ้วถังเซี่ยวเซี่ยวลง มองจ้องดาวเคราะห์เบื้องหน้าไม่วางตา และในแวตาไม่เพียงแต่จะฉายความตื่นเต้นยินดี ยังมากล้นไปด้วยความหวนรำลึก…
“ช่างเป็นดาวเคราะห์ที่สวยงามยิ่ง…”
ถังเซี่ยวเซี่ยวไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าแววตาที่เปลี่ยนไปของต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย สายตาของนางก็ถูกดาวเคราะห์สีน้ำเงินเบื้องหน้าดึงดูดความสนใจไปหมดสิ้น
โลกนั้น พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นมหาสมุทร
“นี่น่ะเหรอ…ดาวเคราะห์ต้นกำเนิดของบรรพบุรุษนิกายถัง ดาวเหยียนหวง!”
“ข้าเคยได้ยินมาบ้าง ว่าดาวเคราะห์เหยียนหวงเป็นดาวเคราะห์ที่งดงาม…มาได้เห็นกับตาวันนี้นับว่าสมคำร่ำลือจริงๆ!”
ถังเซี่ยวเซี่ยวมองไปยังดาวเคราะห์สีน้ำเงินเบื้องหน้าพลางกล่าวพึมพำ…
“โลก…”
“ข้า ‘หลิงเทียน’ กลับมาแล้ว!!”
ในขณะที่ถังเซี่ยวเซี่ยวกำลังพึมพำกับตัวอยู่ เสียงตะโกนหนึ่งพลันดังขึ้นก้องหู!
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้นที่ดังสนั่นนัก! ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ!!
“ต้วนหลิงเทียน?”
นางบอกได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงตะโกนก็คือต้วนหลิงเทียน
หลังจากนั้นถังเซี่ยวเซี่ยวจึงหันไปมองต้วนหลิงเทียนอย่างไม่รู้ตัว และนางก็เห็นแต่ภาพติดตาของต้วนหลิงเทียนที่กำลังจางหายไป ส่วนเจ้าตัวกลับพุ่งทะยานออกไปเสียแล้ว!
มุ่งหน้าไปยังดาวเคราะห์สีน้ำเงินเบื้องหน้า!
“โลก?”
“เมื่อครู่…ดูเหมือนต้วนหลิงเทียนจะเรียกดาวเคราะห์ดวงนี้ว่าโลก…มิใช่ว่าดาวเคราะห์ดงนี้เรียกว่าดาวเหยียนหวงหรือไร?”
ถังเซี่ยวเซี่ยวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอะใจสงสัยในถ้อยคำที่ต้วนหลิงเทียนตะโกนเสียงดังจนนางสะดุ้งเมื่อครู่…ร่างบางจึงนิ่งคิดไปด้วยความงุนงง
ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา แม้ต้วนหลิงเทียนจะคุยกับถังเซี่ยวเซี่ยวถึงเรื่องราวต่างๆมากมาย แต่เขาไม่เคยเล่าเรื่องราวในชีวิตที่แล้วของเขาออกมาเลย…