บทที่ 1959 ต้องการเป็นอมตะ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

สามารถพูดได้ว่าการถ่ายทอดบัญชาสวรรค์เท็จกับเรื่องแบบนี้คือการรู้จักพลิกแพลงวิธีการสร้างผลงาน ถ้าได้เก็บเกี่ยวอะไรจริงๆ เพียงแค่ไร้ความผิด แต่กลับจะได้ทั้งผลงานใหญ่ด้วยซ้ำ!

ชื่อจริงผู้จัดการร้านที่เพิ่งแบ่งคนไปก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตจากเบื้องบนเช่นกัน ถือวิสาสะลงมือเอง รีบทำสิ่งที่ควรทำตั้งแต่ทีแรก ไม่อย่างนั้นคนที่อยู่ในภัตตาคารก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครได้ไปสักคน ลงมือก่อนและรายงานไปพร้อมกัน

จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่า แม้เหมียวอี้จะได้ข่าวก่อน แต่ในด้านการลงมือของลูกน้องเมื่อเทียบกับพวกผู้จัดการร้านและคนของหน่วยตรวจการขวา ก็ยังถือว่าบกพร่อง ไม่ใช่ว่าความสามารถต่างกันอะไร แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรสำคัญต่อเบื้องบนเหมือนกับคนที่อำนาจฝ่ายต่างๆ ส่งมา ที่กล้าประหารก่อนแล้วค่อยรายงาน

หรือพูดได้อีกอย่างว่า ยังขาดความชำนาญในด้านนี้

ผู้จัดการร้านภัตตาคารนั้นรายงานไปที่ตำหนักคุ้มเมืองก่อน ผลปรากฏว่าคนที่ถูกดักอยู่ตรงประตูเมืองกลับถูกพวกผู้จัดการร้านแต่งตัวไปแล้ว ขอเพียงเสี้ยวฮ่าวเต๋อเด็ดขาดกว่านี้อีกหน่อย ผู้จัดการร้านพวกนั้นก็ไม่มีใครได้ไปสักคน ต่อให้เจ้าไปขอคนตอนนี้แต่อีกฝ่ายก็จะไม่ยอมรับอยู่ดี เจ้าเองก็ไม่รู้ด้วยก็พวกที่ถูกพาไปคือใครบ้าง ถามหน่อยว่าเสี้ยวฮ่าวเต๋อจะไม่โมโหได้อย่างไร เขายังไม่รู้เลยว่าจะชี้แจงต่อนายท่านผู้สำเร็จราชการอย่างไร และผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้นก็โชคไม่ดีด้วย ได้เจอกับตำแหน่งรายได้ดีแต่กลับประสบเรื่องนี้ ย่อมถูกเสี้ยวฮ่าวเต๋อใช้กระบี่สังหารด้วยความโกรธอยู่แล้ว

สถานการณ์ถูกรายงานไปทางฝั่งเหมียวอี้อย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้ที่เดินไปเดินมาอยู่ในห้องกล่าวเสียงต่ำว่า “เสี้ยวฮ่าวเต๋อทำงานยังไง? ได้คนมาแล้วแต่ยังถูกคนอื่นพาไป!”

หยางเจาชิงกลับช่วยพูดให้ “จะโทษเขาก็ไม่ได้ขอรับ สถานการณ์ในตอนนี้ก็เห็นๆ อยู่ เขาเองก็ไม่สะดวกจะทำอะไรบุ่มบ่าม ขอคำชี้แนะจากเบื้องบนก็ไม่ผิด เขายังรู้จักรายงานขึ้นมาโดยหลบเลี่ยงเหวินเจ๋อ ยิ่งไปกว่านั้นผู้จัดการภัตตาคารไม่ได้รายงานมาฝั่งนี้ที่เดียว รายงานไปหลายแห่งพร้อมกัน ถึงได้มีความผิดพลาดอย่างนี้”

“ไอ้พวกหลานๆ ตะพาบน้ำเอ๊ย ไหวตัวเร็วนักนะ!” เหมียวอี้กัดฟันพูด

หยางเจาชิงย่อมรู้ว่าเขาด่าใคร “ใช่ว่าพวกเราจะไม่ได้อะไรเลย เสี้ยวฮ่าวเต๋อก็ไหวตัวเร็วเหมือนกัน พอพบว่าหน่วยตรวจการขวาเข้ามาแทรกแซง ก็ซ่อนตัวคนงานที่รู้เรื่องเอาไว้คนหนึ่งทันที แต่เกรงว่าเรื่องนี้คงสะเทือนไปถึงอำนาจแต่ละฝ่ายแล้ว ถ้าคิดจะส่งตัวมาก็คงยาก ภัตตาคารมีคนงานหายไปก็ปิดบังไม่อยู่ เช้าเร็วก็ต้องถูกหน่วยตรวจการขวาจับได้ ข้าน้อยสั่งให้พวกเขาสอบสวนอย่างลับๆ แล้ว พยายามหาข้อมูลโดยละเอียดมาให้ได้โดยเร็วที่สุด”

เหมียวอี้พยักหน้า แล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง “ส่งข่าวอาจไม่ทันประตูเมืองปิด ต่อให้คนของพวกเราตามไปก็ไร้ประโยชน์ ทัพใต้จะต้องระดมพลกลุ่มใหญ่แน่นอน แจ้งไปที่พวกหวงลี่ว่าไม่ต้องทำอะไรแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ให้พวกหวงลี่ลงมือก็อาจจะเชื่อถือไม่ได้ ได้ของมาแล้วก็อาจจะไม่ส่งขึ้นมา อาจจะม้วนของแล้วหนีไปก็ได้ เราไม่ต้องเสี่ยงกับเรื่องนี้อีก”

ในเวลานี้เรียกได้ว่าดึงสติกลับมาจากความโลภแล้ว ก่อนหน้านี้บุ่มบ่ามเกินไป ตอนนี้รู้แล้วว่าทำไม่ไหว เพียงไปในน้ำเสียงก็ยังแสดงความเสียดายอยู่บ้าง เพราะนั่นคือของที่ทำให้เป็นอมตะ!

อายุยืนอมตะล้วนเป็นเรื่องรอง เพราะเขายังมีเวลาอีกนานให้ใช้ชีวิต ตอนนี้ไม่ได้มีความหวังอยากอายุยืนมากสักเท่าไหร่ แต่เขาจำได้ว่าไม้ไม่ผุสามารถทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ อวิ๋นจือชิวมักจะรู้สึกหดหู่เพราะริ้วรอยบนใบหน้า กังวลที่ทั้งสองอายุห่างกัน เขาอยากจะช่วยกำจัดความกังวลนี้ให้อวิ๋นจือชิวมาก

ไม่ว่าเขาจะมีผู้หญิงมากมายขนาดไหน ไม่สนใจด้วยว่าอวิ๋นจือชิวจะใส่อารมณ์หรือดุร้ายกับเขาขนาดไหน เพราะอวิ๋นจือชิวคือผู้หญิงคนเดียวในใจของเขาตลอดกาล เหนือกว่าเยว่เหยาด้วยซ้ำ แน่นอน บางทีเขาอาจแสดงออกว่ารักและเป็นห่วงเยว่เหยามากกว่า แต่ไม่เหมือนกับความรู้สึกที่มีต่ออวิ๋นจือชิว ตอนที่เขาโดดเดี่ยวและต้องการจะแข็งแกร่ง นางคือผู้หญิงคนแรกที่เดินเข้ามาในใจเขา ไม่มีใครรู้ว่าภายใต้เปลือกนอกอันแข็งแกร่งของเด็กกำพร้าที่สู้ชีวิตมาตลอดทางอย่างเขานั้นผ่านความทุกข์ทรมานมามากขนาดไหน ตอนที่อดทนความยากลำบากนั้นอย่างเงียบๆ อวิ๋นจือชิวก็ปรากฏตัวแล้ว

ความอัศจรรย์ใจยามเจอกันครั้งแรกที่วัดเมี่ยวฝ่า ความตกตะลึงยามเจอกันอีกที่ทะเลทรายม่านเมฆา กระโปรงที่ปลิวพลิ้วไหว ดื่มสุราบนดาดฟ้า ดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกันที่ทะเลทรายม่านเมฆา ฉากที่อวิ๋นจือชิวหันกลับมามองเขาภายใต้ดวงอาทิตย์ยามสายัณห์ ฉากนั้นงดงามมาก ตราตรึงฝังลึกอยู่ในความทรงจำของเขา

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าทั้งสองอยู่ร่วมกันมานาน เข้าใจกันและกันดีมาก แต่ทุกครั้งที่ทั้งสองสบตากันเงียบๆ ก็ยังรู้สึกคุ้นเคยกันอย่างอธิบายไม่ได้ ทำให้ทั้งสองเขินอายไม่กล้าสบตากันให้ใจเต้นแรง เมื่อดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน เหมียวอี้ก็จะนึกถึงฉากที่อวิ๋นจือชิวนั่งกระโปรงปลิวอยู่บนดาดฟ้าภายใต้แสงแดดยามเย็น นางสบตาเขาขณะที่ใช้มือข้างเดียวรินสุราให้ ฉากนั้นอวิ๋นจือชิวดูสง่างามเย้ายวนที่สุด ความรู้สึกนั้นเหมียวอี้หาไม่ได้จากตัวผู้หญิงคนอื่น เขาหวังว่านางจะสามารถคงความอ่อนเยาว์ของใบหน้าตลอดไป รักษาฉากอันงดงามที่เขาได้เห็นยามหัวใจตัวเองเปล่าเปลี่ยวที่สุดเอาไว้ตลอดไป ในหัวใจเขาไม่มีใครงดงามเกินกว่าอวิ๋นจือชิว

แม้จะมีผู้หญิงมากมายที่รูปลักษณ์ภายนอกงดงามกว่า แต่ในใจเขาอวิ๋นจือชิวคือผู้หญิงที่สวยที่สุด ไม่มีใครเทียบได้

“ไม้ไม่ผุ?”

อุทยานหลวง พระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงที่เดินไปเดินมาอยู่ในลานตำหนักหยุดเดินแล้ว พลันหลุดอุทานออกมาตอนที่ถือระฆังดาราติดต่อ แววตาเป็นประกายไม่หยุดนิ่ง

ซ่างกวนชิงที่ติดตามมาด้วยอึ้งไปชั่วขณะ ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป ถามอย่างสงสัยว่า “ไม้ไม่ผุหรือขอรับ?”

ประมุขชิงไม่มีอารมณ์มาสนใจ เขาได้รับรายงานด่วนจากเกาก้วน ครั้งนี้เกาก้วนติดต่อเขาโดยตรง ขอระดมพลกองทัพองครักษ์และสมาคมวีรชนมาสนับสนุน และเกาก้วนก็กำลังอยู่ระหว่างทางไปพระตำหนักอุทยาน ไม่รอให้ถึงก่อนแล้วค่อยรายงาน สถานการณ์เร่งด่วนแบบนี้ต้องให้ประมุขชิงเคลื่อนไหวก่อน

ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ประมุขชิงก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อโพ่จวินกับอู๋ฉวี่ทันที สั่งให้ทั้งสองรีบระดมกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่อยู่ใกล้ไปร่วมมือกัยคนของหน่วยตรวจการขวา

ส่วนซ่างกวนชิงตอนนี้ก็ได้รับรายงานจากสมาคมวีรชนแล้วเช่นกัน เข้าใจแล้วว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร

ประมุขชิงเก็บระฆังดารา แล้วหันกลับมาสั่งให้ซ่างกวนชิงระดมคนของสมาคมวีรชนให้ไปสนับสนุนทันที พร้อมทั้งให้ซ่างกวนชิงแจ้งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ให้นางสั่งกำลังพลของตลาดสวรรค์ว่าต้องให้ความร่วมมือเต็มที่

ไม่รีบระดมกำลังไม่ได้หรอก ถ้าไม้ไม่ผุปรากฏขึ้นจริงๆ พวกอ๋องสวรรค์เบื้องล่างไม่เกรงใจแน่นอน เรื่องเกิดขึ้นในอาณาเขตของอีกฝ่าย โดยเฉพาะฮ่าวเต๋อฟางที่ได้เปรียบที่สุด อีกฝ่ายสามารถระดมกำลังพลที่อยู่ใกล้ๆ ได้เลย ถ้าอีกฝ่ายทำสำเร็จแล้วไม่บอกอะไร เจ้าจะทำอย่างไรได้?

“ไม้ไม่ผุ?”

ฮ่าวเต๋อฟางที่กำลังนั่งสมาธิฝึกตนก็หลุดอุทานเช่นกัน ไม่สนใจที่ซูอวิ้นบุกเข้ามากะทันหันแล้ว กล่าวเสียงต่ำทันทีว่า “สั่งให้ทัพใหญ่ปิดทางเข้าออกประตูดวงดาวทุกแห่งเดี๋ยวนี้ ห้ามไม่ให้อำนาจฝ่ายอื่นส่งคนเข้ามาเพิ่ม ระดมกำลังพลทั้งหมดที่อยู่แถวนั้น ถ้าพบบุคคลต้องสงสัยก็จับไว้ทันที ต่อให้พลิกทั้งอาณาเขตดาว ก็ต้องหาคนให้อ๋องผู้นี้ให้ได้!”

“รับทราบ!” ซูอวิ้นรีบจัดการ

ฮ่าวเต๋อฟางกระโดดลงจากเตียงศิลา ไม่มีกะจิตกะใจมาฝึกตนแล้ว เอามือลูบเคราเดินไปเดินมาเงียบๆ

ในจวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีพลันลุกขึ้นเดินออกจากศาลาเช่นกัน “แจ้งคนที่อยู่แถวนั้น ให้ยอมแลกทุกอย่างเพื่อส่งคนมาให้ข้า!”

ในห้องเรียนส่วนตัวมีเสียงอ่านตำราดังชัดเจน เซี่ยโห้วท่านั่งสง่าอยู่ตรงข้ามกลุ่มเด็กน้อย พอได้ทราบข่าวก็ยากจะทำตัวสุขุมเยือกเย็นได้ ไม่เอาไม้เท้าแล้ว เร่งฝีเท้าเดินออกจากห้องเรียนส่วนตัว พร้อมเขย่าระฆังดาราเร่งถาม “เป็นไม้ไม่ผุจริงเหรอ?”

เว่ยซูที่รายงานข่าวตอบว่า : ยังยืนยันไม่ได้ขอรับ แต่จากคำให้การของพยานพบเห็น มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นไม้ไม่ผุ…

เขารายงานสิ่งที่รู้มาจากพยานพบเห็นโดยละเอียดรอบหนึ่ง

หนวดเคราและขนคิ้วของเซี่ยโห้วท่าล้วนสั่นไหว รีบเขย่าระฆังดารา : ส่งคนไปตามหาผู้หญิงสามคนนั้นเดี๋ยวนี้!

เด็กน้อยที่อ่านตำราอยู่ในห้องเรียน พอเห็นอาจารย์เฒ่าออกไปแล้ว ก็เริ่มเล่นกันทันที

เว่ยซู : คุณชายรองถ่ายทอดคำสั่งลงไปแล้ว แต่บ่าวกลัวว่าคุณชายท่านอื่นจะไม่ให้ความร่วมมือ!

เซี่ยโห้วท่า : เจ้าติดต่อกับพวกเขาด้วยตัวเอง ให้พวกเขาให้ความร่วมมือเต็มที่ เวลาจำเป็นก็สามารถใช้ฐานะของเจ้าขู่พวกเขาได้!

เว่ยซู : นายท่าน จะมีกับดักอะไรหรือเปล่าขอรับ?

เซี่ยโห้วท่า : จะจริงหรือเท็จก็หาตัวคนให้เจอก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้ายืนยันได้แล้วว่าเป็นไม้ไม่ผุจริง ก็ติดต่อข้าทันที!

ล้อเล่นอะไรกัน ถ้าหาไม้ไม่ผุเจอจริงๆ เขาก็ไม่จำเป็นต้องปวดหัวปัญหาเรื่องผู้สืบทอดอีกแล้ว

ชั่วขนาดนั้นอำนาจแต่ละฝ่ายของตำหนักสวรรค์ได้ข่าวแล้วเคลื่อนไหว

เหมียวอี้ก็ได้รับคำสั่งจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เช่นกัน เพียงแต่หลังจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถ่ายทอดคำสั่งของประมุขชิงแล้ว ก็ถามอีกว่า : ท่านขุนนางหนิว ข้าดูแลเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?

เหมียวอี้งงกับคำถามของนางนิดหน่อย ยังนึกว่านางจะให้ตนพยายามสุดความสามารถเสียอีก ตอบทันทีว่า : เหนียงเหนียงมีบุญคุณต่อข้าน้อยมาก ข้าน้อยจะสั่งให้เบื้องล่างให้ความร่วมมือเต็มที่แน่นอน!

ใครจะคิดว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับพูดเจตนาอีกอย่าง : พยายามเต็มที่ก็ได้! แต่ไม่ใช่พยายามเต็มที่เพื่อให้ฝ่าบาทหาพบ ถ้าต้องการให้เจ้าคิดหาทางขัดขวางไม่ให้ฝ่าบาทได้ไม้ไม่ผุนั่นมา!

เหมียวอี้คิดไม่ทันว่าหมายความว่าอะไร ถามว่า : เพราะอะไรหรือขอรับ?

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถามกลับ : ถ้าฝ่าบาทเป็นอมตะ แล้วโอรสสวรรค์จะเหลือหน้าที่อะไรอีกล่ะ เมื่อหนังไม่อยู่แล้ว ขนจะอาศัยอะไร?

เหมียวอี้เข้าใจความคิดของผู้หญิงคนนี้ทันที ถ้าประมุขชิงได้ชีวิตยืนยาวเป็นอมตะ ในภายหลังก็ไม่มีเรื่องผู้สืบทอดแล้ว ชิงหยวนจุนก็จะอยู่ในสถานการณ์อึดอัด ดีไม่ดีก็อาจรักษาชีวิตไว้ไม่ได้!

เหมียวอี้แอบปาดเหงื่อ สงสัยผู้หญิงคนนี้จะอยากให้ประมุขชิงตายเร็วๆ หลังจากประมุขชิงได้ไม้ไม่ผุมา นางก็อาจจะได้อาศัยบารมีไปด้วย แต่นางก็ไม่เอาแล้ว เห็นได้ชัดว่าใช้ชีวิตในปัจจุบันมาแล้วเต็มที่ ไม่มีทางยอมให้เป็นอย่างนี้ตลอดไป

เหมียวอี้กลับรู้ว่าเกินความสามารถ ระงับกำลังพลที่เตรียมจะเคลื่อนไหวไว้ทั้งหมด อาศัยกำลังคนที่ตลาดสวรรค์อาจจะไม่สามารถแย่งอาหารจากปากเสืออย่างอ๋องสวรรค์พวกนั้นได้ เพียงแต่รู้ว่าปฏิเสธไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้ยอมอายุขัยลดลงเพื่อแลกกับการหลุดพ้นจากสภาพในปัจจุบัน ถ้าเขาปฏิเสธจะต้องทำให้ผู้หญิงคนนี้ขัดเคืองใจตายแน่ นางไม่ใช่คนที่ใจกว้างอะไร เป็นแบบฉบับของคนคิดเจ้าแค้น สิ่งที่ควรตามใจนางก็จะขัดใจไม่ได้เด็ดขาด การรับปากกับการทำให้สำเร็จเป็นคนละเรื่องกัน

เขาให้สัญญาอย่างจริงจังทันที : เหนียงเหนียงวางใจ หากองค์ชายไม่ได้สืบทอดตำแหน่ง ก็ส่งผลต่ออนาคตและชีวิตของข้าน้อยเช่นกัน ข้าน้อยย่อมพยายามสุดความสามารถ พยายามหาไม้ไม่ผุมาถวายเหนียงเหนียงให้ได้!

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พอใจกับคำตอบของเขามาก เพื่อที่จะปลุกใจเหมียวอี้ นางถึงขั้นบอกว่า : ข้าไม่สนใจของพวกนั้นหรอก ถ้าเจ้าหาไม้ไม่ผุเจอ ข้าก็อนุญาตให้เจ้าเก็บไว้ใช้เองได้เลย เอาเป็นว่าห้ามให้ฝ่าบาทได้ไป!

ที่บอกว่าคงความอ่อนเยาว์ของใบหน้า นางเองก็ไม่อยากใจเต้นกับสิ่งนี้แล้ว นางรู้ว่าหน้าตาของตัวเองเมื่อเทียบกับผู้หญิงในวังหลังนั้นไร้ระดับ สิ่งที่อยู่อันดับท้ายๆโดยแท้ ต่อให้ยาวไวขนาดไหนก็สู้นางแพศยาพวกนั้นไม่ได้ ถ้าไม่ได้อำนาจมหาศาลอยู่ในมือ มีชีวิตต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร ไม่สู้มอบให้เหมียวอี้กระตุ้นให้เหมียวอี้ทำงานรับใช้ดีกว่า ในมือนางมีเพียงกำลังพลของเหมียวอี้ที่ใช้งานได้

แน่นอน ถ้าเหมียวอี้สามารถได้มาแล้วส่งต่อให้นางจริงๆ นางก็จะไม่ปฏิเสธเช่นกัน

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จ เหมียวอี้ก็ส่ายหน้าทอดถอนใจ จากนั้นสั่งให้คนทางตลาดสวรรค์ให้ความร่วมมือกับคนของหน่วยตรวจการขวาเต็มที่ แค่ให้สามารถรายงานผลการปฏิบัติงานได้ก็พอ

ในดาราจักร ผู้หญิงทั้งสามหนีออกจากตลาดสวรรค์ไม่กล้าหยุดพักแม้แต่น้อย เร่งความเร็วเต็มที่เพื่อกลับสำนัก

ฉางหงเหมยนึกว่าอุบายตื้นๆ ของตัวเองจะทำให้รอดพ้นจากกลุ่มคนที่ภัตตาคารได้ พอเห็นว่าไม่มีใครสะกดรอยตามมา ทั้งยังหนีมาไกลขนาดนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าน่าจะรอดพ้นอันตรายแล้ว โล่งใจไปบ้างแล้ว หารู้ไม่ว่าประเมินกำลังของพวกตำหนักสวรรค์ต่ำเกินไป โดยเฉพาะเมื่ออำนาจทุกฝ่ายเคลื่อนไหวพร้อมกัน พลังแบบนั้นไม่ได้อยู่ในระดับที่พวกนางจะสัมผัสถึงได้เลย

……………