เหล่าอามุนด์หลายพันต่างลงมือ ‘ขโมย’
ด้วยจำนวนระดับนี้ ขอเพียงไม่โชคร้ายจนเกินไป ย่อมต้องมีสักคนประสบความสำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น โอสถเดอะฟูลในปัจจุบันไม่มีเจ้าของ การขโมยจึงไม่น่าจะเป็นปัญหา
ขณะลงมือขโมย เหล่าอามุนด์ทำการปลดผนึกบางอย่างในตัวเอง ปล่อยให้ตะกอนพลังผู้ฝึกหัดและนักจารกรรมแผ่อิทธิพลด้านการผนวกรวม
วิธีนี้สามารถเพิ่มโอกาสขโมยสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทว่า อามุนด์ทั้งหมดกลับล้มเหลว
นั่นเพราะหนังสือทองเหลืองทรันซอสต์ได้เขียนกฎใหม่:
“ที่นี่ไม่อนุญาตให้ขโมย!”
เพื่อที่จะจัดการกับราชันเร้นลับซึ่งคืนชีพมาก่อนหน้า เหล่าอามุนด์ได้คลายความแข็งแกร่งของผนึกลง ส่งผลให้หนังสือทองเหลืองทรันซอสต์หลุดพ้นจากการถูก ‘ปั่นหัว’ และสามารถสร้างกฎใหม่ได้ในระยะเวลาจำกัด และในปัจจุบัน กฎเหล่านั้นได้ย้อนกลับมาเล่นงานอามุนด์เอง
ฉวยโอกาสดังกล่าว ไคลน์ทำให้สัญลักษณ์กลางหว่างคิ้วชัดเจนขึ้น
รอบตัวชายหนุ่ม หมอกสีเทาอ่อนซ้อนทับกันจนกลายเป็น ‘รังไหม’ บางๆ
จากนั้น ไคลน์ระดมพลังของปราสาทต้นกำเนิดสุดชีวิต ผนวกกับตะกอนพลังบริวารเร้นลับในร่างกาย ชายหนุ่มสามารถสร้างอิทธิพลการดึงดูดที่รุนแรงต่อโอสถเดอะฟูล
หมอกของเหลวสีเข้มที่มีรูปร่างไม่แน่นอน พฤติกรรมของมันคล้ายกับสัตว์ร้ายได้เห็นเหยื่อ รีบพุ่งเข้าหาไคลน์ในทันที
ของเหลวเหล่านั้นแปรสภาพอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งกลายเป็นสิ่งที่คล้ายกับผิวมนุษย์โปร่งใส ห่อหุ้มร่างไคลน์ไว้โดยสมบูรณ์
ใบหน้าไคลน์ปรากฏขึ้นท่ามกลางของเหลวที่ปกคลุม บ้างก็เป็นหน้าคนอื่น บ้างพร่ามัว บ้างบิดเบี้ยว และบ้างก็ว่างเปล่า
ณ ดินแดนเทพทอดทิ้ง ใต้เงายักษ์ร่างจำแลงของเทพสุริยันบรรพกาล ผิวทะเลหลากสีสันผุดประโยคใหม่ซึ่งเขียนด้วยภาษาเก่าแก่ของโลก:
“ความพยายามในการเลื่อนลำดับเป็นเดอะฟูลของอันทีโกนัสล้มเหลวด้วยเหตุผลหลายประการ”
เหตุผลที่ตัวตนซึ่งครึ่งหนึ่งเคยครองโลกทั้งใบ ไม่ได้เขียนชื่อไคลน์·โมเร็ตติลงไป เพราะปัจจุบันอีกฝ่ายสวมตัวตนและชะตากรรมของอันทีโกนัส
หากชื่อที่ถูกเขียนเป็นไคลน์·โมเร็ตติ ชายหนุ่มไม่มีความจำเป็นต้องใส่ใจ
การเลื่อนลำดับเป็นเดอะฟูลล้มเหลวของไคลน์·โมเร็ตติ เกี่ยวข้องอย่างไรกับอันทีโกนัส?
แต่เมื่อชื่อถูกระบุว่าเป็นอันทีโกนัส สิ่งนี้กลายเป็นคำพยากรณ์ กลายเป็นการจัดเตรียม กลายเป็นบทสรุปของเรื่องราว ส่งผลให้สถานการณ์ของไคลน์ย่ำแย่สุดขีด:
หากไคลน์ไม่สละตัวตนและชะตากรรมของอันทีโกนัส มันจะถูกพันธนาการไว้ด้วยประโยคนี้
แต่ถ้าสละตัวตนและชะตากรรมของอันทีโกนัส ตะกอนพลังลำดับ 9 ถึง 1 ในร่างกายจะ ‘ไม่ใช่’ ของมันอีกต่อไป กลายเป็นตะกอนพลังที่ไม่เคยถูกย่อยเลยแม้แต่น้อย – ตะกอนพลังเหล่านี้ถูกย่อยโดยอันทีโกนัส ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับไคลน์·โมเร็ตติ ชายหนุ่มแค่กลืนมันลงไป
ในสถานการณ์ดังกล่าว ต่อให้ไม่มีปัจจัยภายนอกมารบกวน ก็มีโอกาสสูงที่ไคลน์จะคลุ้มคลั่งคาที่ ถึงจะดื่มโอสถเดอะฟูลเข้าไปก็แทบไม่มีโอกาสเลื่อนลำดับสำเร็จ!
ขณะเทพสุริยันบรรพกาลเริ่มเขียนข้อความ ทั้งวายุสลาตัน สุริยันเจิดจรัส และปัญญาความรู้บนโลกดาราต่างสัมผัสถึงความผิดปรกติ แต่ละคนรีบตอบสนองอย่างรุนแรงและพยายามขัดขวางอีกฝ่าย
ทว่า แม้เทพทั้งสามจะทุ่มเทพลังทั้งหมด แต่เทพสุริยันบรรพกาลก็ยังเขียนข้อความเสร็จในพริบตา
อย่างไรก็ดี ร่างจำแลงเงาขนาดมหึมาเจือจางลงอย่างเห็นได้ชัด คล้ายกับมิอาจคงสภาพได้นานนัก
ภายในโลกดารา ในวังโบราณที่ลอยกลางอากาศ
ในสังเวียนที่มีพระแม่ธรณีและเทพจักรกลไอน้ำ ปะทะกับแม่มดบรรพกาลและปราชญ์เร้นลับ ความเข้มข้นของการต่อสู้กลับมาดุเดือดอีกครั้ง ฝ่ายแรกยังคงเหนือกว่าและสามารถออมแรงไว้ได้ส่วนหนึ่ง เพื่อก่อกวนเหล่าร่างโคลนอามุนด์ มิให้อีกฝ่ายทำลายพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์ของไคลน์
เหล่าอามุนด์ถูกบังคับให้ต้อง ‘บลิงค์’ หนีไปทุกทิศ แต่บางส่วนยังคงถูกสาปให้กลายเป็นพืชพรรณที่บางสะพรั่งและกลับสู่ผืนธรณี บางส่วนหดตัวกลายเป็นถ้อยคำที่ถูกจารึกไว้ในหนังสือมายา
นอกจากนั้น เหล่าอามุนด์ส่วนใหญ่หันกลับมาเสริมพลังการ ‘ผนึก’ อีกครั้ง เพื่อกำราบอิทธิพลจากหนังสือทองเหลืองทรันซอสต์ มิให้เขียนกฎเพิ่มเติมเพื่อก่อกวนตน หรืออย่างน้อยแค่ชั่วคราวก็ยังดี
ภายใต้อิทธิพลจากสามทิศทาง แม้อามุนด์จะมีจำนวนมากกว่า แต่ก็ดูเหมือนว่ายังไม่เพียงพอ
อย่างไรก็ดี อามุนด์ส่วนหนึ่งฉวยโอกาสขณะร่างไคลน์สะท้อนบนผิวกระจกแว่นตาผลึก หรือไม่ก็วงกลมรอบดวงตา
ทันใดนั้น ทั้งแว่นและวงกลมพลันส่องสว่าง
นี่ไม่ใช่พลังขโมย แต่เป็นการ ‘คืน’
เหล่าอามุนด์ตัดสินใจคืนสิ่งที่เคยขโมยจากไคลน์เมื่อนานมาแล้ว
สิ่งนั้นคือความคิดที่จะฆ่าตัวตายของไคลน์!
เมื่อครั้งไคลน์ถูกอามุนด์จับตัวและพาไปยังดินแดนเทพทอดทิ้งหนแรก ชายหนุ่มพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะความคิดถูกอามุนด์ขโมยไป
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อขณะเลื่อนลำดับ หากไคลน์คิดฆ่าตัวตาย ผลลัพธ์คงร้ายแรงเหนือจินตนาการ!
ปัจจุบัน ไคลน์ซึ่งถูกโอสถเดอะฟูลห่อหุ้มร่างกาย เริ่มมีความคิดที่สับสนและแผ่ขยาย มันสัมผัสถึงความเย็นเยียบ สัมผัสถึงการถูกของเหลวเหนียวหนืดบรรจงกัดเซาะ
ทันใดนั้น มันเกิดความคิดที่จะฆ่าตัวตายและยอมแพ้
นี่เป็นสถานการณ์ที่ไคลน์คาดไม่ถึงเลยสักนิด มันลืมไปแล้วว่าเคยถูกอามุนด์ขโมยเจตนาในการฆ่าตัวตาย และคิดไม่ถึงว่าไม่เพียงอีกฝ่ายจะยังไม่ทิ้งสิ่งนี้ไป แต่กลับเก็บรักษาไว้อย่างดี
………………………………………….
หากเป็นไคลน์ในยามปรกติ ต่อให้ความคิดเช่นนี้จะรุนแรง แต่ไคลน์ก็ยังสามารถควบคุมตัวเองเพื่อระงับไว้ได้ และรอจนกระทั่งความคิดดังกล่าวเจือจางลงไปเอง เฉกเช่นขณะขจัดความคิดอันน่ารังเกียจอื่นๆ
แต่ในปัจจุบัน มันอยู่ระหว่างพิธีกรรมเลื่อนลำดับ กำลังถูกกัดเซาะจากโอสถ จิตใจขาดเสถียรภาพโดยสิ้นเชิง ไม่มีทางที่จะยับยั้งความคิดในการฆ่าตัวตายได้อย่างแน่วแน่
อามุนด์มักมีลูกไม้ประหลาดแต่ใช้ได้ผลมาเล่นงานเสมอ
โชคดียังดีที่ไคลน์ในปัจจุบันไม่ใช่แค่ไคลน์ แต่ยังรวมถึงอันทีโกนัสด้วย
ความปรารถนาที่จะฆ่าตัวตายของไคลน์·โมเร็ตติ จะไปมีผลกับอันทีโกนัสได้อย่างไร?
อาศัยการตระหนักรู้ที่เกิดจากตัวตน ไคลน์ไม่คิดฆ่าตัวตายในทันที แต่โอนถ่ายความคิดที่จะฆ่าตัวตายไปยังตราประทับทางจิตของอันทีโกนัส ซึ่งอีกฝ่ายก็สามารถข่มความคิดดังกล่าวได้ในทันที
ท่ามกลางความสมดุลทางใจ ร่างกายและสติของไคลน์เริ่มถูกโอสถเดอะฟูลกัดเซาะมากขึ้น
คล้ายกับเมื่อครั้งเลื่อนลำดับเป็นบริวารเร้นลับ ความคิดชายหนุ่มกระจัดกระจายโดยสิ้นเชิง
แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือ คราวนี้ไคลน์มิได้หลอมรวมกับโลกวิญญาณเพียงอย่างเดียว แต่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นมวลแก๊สที่ปกคลุมทั่วทั้งโลกและโลกดารา
ทันใดนั้นเอง ไคลน์รู้สึกราวกับตนกำลังอยู่ในร่างของสาวก ในร่างมนุษย์ทุกคน ในสัตว์นานาชนิด และในทุกสิ่งมีชีวิต
ทุกสิ่งมีความเป็นเทพอยู่ในตัว
ขณะเดียวกัน จิตใต้สำนึกไคลน์แผ่ขยายไปถึงสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ แผ่ขยายไปถึงกาลเวลา และแผ่ขยายไปถึงแม้น้ำสายยาวที่มีหลายแขนงย่อย
หนึ่งเดียวเท่ากับอนันต์
ความเป็นเทพเริ่มเข้ากัดเซาะจิตใจไคลน์ คล้ายกับเหลือเพียงความเฉยเมยที่ยังคงอยู่
และกระทั่งความเฉยเมยก็ค่อยๆ เลือนหายไป
ในอีกไม่นาน ไคลน์จะสูญเสียตัวตนโดยสมบูรณ์ ถูกตราประทับทางจิตภายในโอสถเดอะฟูลเข้าครอบงำและกลายเป็นสัตว์ประหลาด
เมื่อผนวกกับชะตากรรมที่ต้องคลุ้มคลั่งของอันทีโกนัส กระบวนการได้ถูกเร่งให้เร็วขึ้น
ทันใดนั้นเอง มันสัมผัสถึงความไม่กลมกลืนและไม่เป็นธรรมชาติ
ในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ แสงสว่างบางส่วนกำลังแตกตัวและมิอาจรวมกัน ราวกับเกิดความขัดแย้งในตัวเอง
พวกมันแยกตัวออกจากกัน และเนื้อหาที่แตกต่างพยายามบันทึกตัวเองลงในประวัติศาสตร์ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวเนื่องจากเกิดความขัดแย้ง
สติของไคลน์ซึ่งกลายเป็นทุกสรรพสิ่ง ตื่นตัวขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากความขัดแย้งและไม่เป็นธรรมชาติ จนกระทั่งได้รับการตระหนักรู้กลับคืนมา
อาศัยการตระหนักรู้เป็นแกนหลัก ชายหนุ่มรวบรวมความคิดที่กระจัดกระจายให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียว และชักนำให้โอสถผสานเข้ากับร่างกาย
แต่ทันใดนั้นเอง ชะตากรรมที่ต้องคลุ้มคลั่งของอันทีโกนัสถูกกระตุ้นให้เกิดก่อนกำหนด ส่วนหนึ่งเพราะได้รับอิทธิพลจากคำพยากรณ์ของเทพสุริยันบรรพกาล ส่งผลให้ร่างไคลน์แตกตัวออกจากกันอีกครั้ง ไม่สามารถดูดซับโอสถเดอะฟูลด้วยประการทั้งปวง
โดยไม่ลังเล และไม่มีเวลามากพอให้ลังเล ไคลน์รีบยกเลิกผลของการ ‘ขโมย’ บางส่วนทันที คืนตะกอนพลัง ชะตากรรม และตัวตนของอันทีโกนัสกลับไปให้เจ้าของเดิม ส่งผลให้บุรุษบนเก้าอี้หินยักษ์บรรจงลืมตาตื่น มึนงงเล็กน้อยก่อนจะได้สติ
อันทีโกนัสมิได้คลุ้มคลั่งในทันที เนื่องจากเหตุผลหลักที่มันคลุ้มคลั่งในอดีต เป็นเพราะเจตจำนงของราชันเร้นลับได้ลืมตาตื่นขึ้นอย่างรุนแรง แต่ปัจจุบัน ร่างกายของมันปราศจากเอกลักษณ์ของเดอะฟูลและตะกอนพลังส่วนใหญ่
ดังนั้น อันทีโกนัสสามารถยับยั้งความบ้าคลั่งได้ด้วยพลังใจของตัวเอง พยายามกอบกู้ชะตากรรมที่ยากจะหลุดพ้น
และนั่นส่งผลให้คำพยากรณ์ของเทพสุริยันบรรพกาลกลายเป็นความจริง: อันทีโกนัสล้มเหลวในการเลื่อนลำดับเป็นเดอะฟูล!
หลังจากไคลน์สูญเสียตัวตนอันทีโกนัส ตะกอนพลังเส้นทางนักทำนายลำดับ 9 ถึง 1 ในร่าง พลันกลายเป็นสิ่งที่ไม่เคยถูกย่อย ทำให้ชายหนุ่มเกือบคลุ้มคลั่งคาที่
โอสถเดอะฟูลที่ห่อหุ้มร่างกายประหนึ่งเสื้อคลุม เสร็จสิ้นการกัดเซาะพร้อมกับปลุกให้เจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดินลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง!
“จงยอมแพ้เสีย… ฝากฝังทุกสิ่งไว้กับข้า… คราวนี้ข้าจะไม่ถือครองแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดเพิ่มเติมอีก… ข้าจะไม่ช่วยสิ่งมีชีวิตที่เจ้าอยากปกปกป้อง แต่รับปากกว่าจะไม่ทำร้ายพวกมัน… ไม่ใช่เพราะข้าเป็นคนรักษาสัญญา แต่เพราะพวกมันด้อยค่าเกินกว่าจะให้ข้าสนใจ… โลกใบนี้จะกลายเป็นดินแดนต้องห้ามสำหรับเทพภายนอก…”
“…”
คำพูดที่คุ้นและไม่คุ้นหูดังกังวานภายในใจไคลน์ ส่งผลให้ชายหนุ่มนึกอยากยอมแพ้
ไม่เพียงเท่านั้น ความคิดที่จะฆ่าตัวตายซึ่งเคยนำไปผูกกับอันทีโกนัส เมื่ออีกฝ่ายไม่อยู่ มันย้อนกลับมากัดกินจิตใจไคลน์อีกครั้ง
ผลลัพธ์ของการเลื่อนลำดับล้มเหลวกำลังจะเกิดขึ้น
ทันใดนั้นเอง เทพธิดารัตติกาลซึ่งเพิ่งฟันดาบยักษ์สนธยาลงมา ยกเลิกการตรึงร่างต้นอามุนด์ไว้ในสายหมอก
ร่างต้นอามุนด์กระโจนออกมายังโลกดาราทันที และขณะที่เหล่าร่างโคลนอามุนด์กำลังรอให้พิธีกรรมของไคลน์เกิดบทสรุปล้มเหลว เทพธิดาทำการฟาดฟันดาบยาวที่ฉาบแสงสีส้มอมแดงอีกครั้ง
เป้าหมายในคราวนี้คือไคลน์!
สติไคลน์กำลังพลุ่งพล่านและสับสน ในหัวเต็มไปด้วยความคิดฆ่าตัวตาย ไม่มีความพยายามที่จะต่อต้านแม้แต่น้อย
ฉัวะ! ร่างชายหนุ่มถูกดาบซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสนธยาฟันขาดเป็นเศษเนื้อ กลายเป็นบ่อเลือดที่มีตะกอนพลังถูกขับออกมา
ไคลน์เสียชีวิตก่อนที่อามุนด์จะใช้ลูกเล่นใด เสียชีวิตก่อนที่พิธีกรรมจะล้มเหลว เป็นการถูกสังหารโดยเทพธิดารัตติกาล
วินาทีถัดมา เทพธิดารัตติกาลนำเครื่องประดับทองคำรูปนกมาสวมเหนือศีรษะ ส่งผลให้ร่างกายพระองค์พร่ามัวพร้อมกับพองตัวออก ปกคลุมวังโบราณอย่างมิดชิด ขณะเดียวกันก็ทำการ ‘ลบ’ ร่างจริงของอามุนด์ เหล่าร่างโคลน แม่มดบรรพกาล ปราชญ์เร้นลับ เทพจักรกลไอน้ำ พระแม่ธรณี และอันทีโกนัสให้เลือนหายไปราวกับภาพวาดดินสอถูกยางลบถู
พลังแห่งการปกปิด!
คล้ายกับเทพสุริยันบรรพกาลเข้าใจเจตนาของเทพธิดารัตติกาล แต่มันเขียนคำพยากรณ์ไปแล้วสองเรื่อง ไม่สามารถเขียนเรื่องที่สามได้อีก ขณะเดียวกัน วายุสลาตัน สุริยันเจิดจรัส และปัญญาความรู้ต่างก็ทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อตรึงอาดัมมิให้ขยับเขยื้อน
วินาทีถัดมา ปาฏิหาริย์พลันบังเกิด ไคลน์กลับมาจากสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์
เอกลักษณ์ของเดอะฟูล รวมถึงตะกอนพลังลำดับ 9 ถึง 1 ของตัวเอง ปัจจุบันกลับคืนสู่ร่างกายในพริบตา
ด้วยเกรงว่าจะถูกขัดขวางอีก เทพแห่งตะเกียงรีบใช้หนังสือทองเหลืองทรันซอสต์เพื่อเพิ่มกฎ:
“ที่นี่เหมาะแก่การหวนกลับมาของตะกอนพลัง”
ทันใดนั้น ไคลน์กลับสู่สภาพเดิมขณะดื่มโอสถเดอะฟูลทันที
ที่ต่างออกไปคือแกนหลักของร่างกายเมื่อครั้งนั้นเป็นตะกอนพลังลำดับ 9 ถึง 1 ของอันทีโกนัส แต่ในปัจจุบัน ตะกอนพลังที่หวนกลับมาเป็นของชายหนุ่มเอง ตะกอนพลังลำดับ 9 ถึง 1 ที่ถูกย่อยเสร็จสมบูรณ์
ส่งผลให้ไคลน์มีแกนหลักที่มั่นคง สามารถรองรับเอกลักษณ์และตะกอนพลังของเดอะฟูลได้
ปัจจุบัน ไคลน์มีสภาพเดียวกับเมื่อครั้งเพิ่งมาถึงยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิส เป็นบริวารเร้นลับที่ย่อยโอสถเสร็จสมบูรณ์ และพร้อมที่จะเลื่อนลำดับเป็นเดอะฟูลทุกเมื่อ
อาศัยการคืนชีพหลังความตายหนึ่งครั้ง ไคลน์สามารถย้อนกลับสถานะของตัวเองได้ในพริบตา!
แผนนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการคืนชีพของโรซายล์ แต่แน่นอนว่ามีหลายจุดที่แตกต่างจากการคืนชีพของจักรพรรดิมืด
เดิมที บุคคลคนที่ไคลน์กำหนดให้ฆ่าตนคือเทพแห่งตะเกียง แต่มันคาดไม่ถึงว่าเทพธิดารัตติกาลซึ่งไม่ได้ตกลงกันมาก่อน จะเข้าใจโดยนัยและลงมือช่วยเหลือ
เพียงพริบตา ร่างกายชายหนุ่มแยกออกจากกัน กลายเป็นหมอกสีเทาอ่อนและของเหลวสีเข้ม
หมอกสีเทาและของเหลวสีดำผสานเข้าด้วยกันทันที โดยมีกลุ่มก้อนหนอนแมลงซึ่งคล้ายกับตุ่มเนื้อหนาแน่นผุดขึ้นบนพื้นผิว ก่อนจะถักสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นชุดคลุมสีเข้มโปร่งแสง
ใต้เสื้อคลุมไม่มีร่างใด เป็นเพียงความมืดมิด
ขั้นตอนตรงนี้กินระยะเวลาไม่นาน น้อยกว่าสองวินาที โดยที่ความพยายามในการซ่อนเร้นเทพแท้จริงของเทพธิดารัตติกาล ก็มิได้ดำรงอยู่นานกว่ากันสักเท่าไร
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ประตูแห่งแสงก่อตัวขึ้นบนผืนหิวของดินแดนซ่อนเร้น
บานประตูถูกกระแทกเปิด ร่างจริงของอามุนด์ซึ่งแต่งกายด้วยหมวกปลายแหลมและชุดคลุมสีดำ พลันกระโจนออกมา
ในเวลาเดียวกัน มันมองเห็นหน้ากากมายาซึ่งมีใบหน้าว่างเปล่า กำลังลอยอยู่ใต้ชุดคลุมสีเข้มโปร่งแสง
เมื่อหน้ากากเปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ของไคลน์ซึ่งผสมผสานจุดเด่นของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เอาไว้ด้วยกัน ความคิดอามุนด์พลันสับสนพลุ่งพล่านราวกับสติปัญญาของมันถูกกดให้ต่ำลง
เดอะฟูลถือกำเนิดแล้ว
……………………………………………….