ส่วนชายวัยกลางคนที่แต่งกายเหมือนปัญญาชนผู้นั้นกลับมองมาทางหลัวซิวด้วยสายตาที่ค่อนข้างแปลกใจรอบหนึ่ง

“กราบคารวะศิษย์พี่ทั้งสองท่าน”หลัวซิวนำมือทั้งสองข้างประสานกันแล้วทำท่าคารวะให้ทั้งสอง

ชายวัยกลางคนที่แต่งกายเหมือนปัญญาชนผู้นั้นมีนามว่าฮู๋เยว่เซิง ในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหมดของซุ๋นหวู่หยา เขาเป็นคนที่อายุเยอะสุด ฝึกตนมาเป็นเวลาเกือบร้อยปีแล้ว บรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสูง

แต่ทว่าเขากลับกราบไหว้ซุ๋นหวู่หยาเป็นอาจารย์ช้ากว่าหลิงเฟิงหน่อย เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นศิษย์คนที่ 2

ในส่วนของชายหนุ่มชุดดำผู้นั้น มีนามว่าชูเหยียนชิว เป็นศิษย์คนที่ 3 ของซุ๋นหวู่หยา ผลการฝึกตนอยู่ที่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7

ลูกศิษย์ทั้ง 4 คนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ซุ๋นหวู่หยาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาแล้วเอ่ยปากพูด: “วันนี้ที่ข้าเรียกตัวพวกเจ้าทั้ง 4 มาที่นี่นั้น เป็นเพราะข้ามีเรื่องเรื่องหนึ่งจะแจ้งให้พวกเจ้าทราบ”

“อีกไม่กี่เดือนภายหน้า โลกเซียนเสวียนเทียนก็จะเปิดออกแล้ว ในฐานะที่พวกเจ้าเป็นศิษย์ใจกลางของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินเรา ทุกคนจึงมีสิทธิ์เข้าไปฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในโลกเซียน”

“โลกเซียนเสวียนเทียน?”

หลิงเฟิง ฮู๋เยว่เซิง ชูเหยียนชิวทั้งสามคนต่างสบตากันอย่างอดไม่ได้ สีหน้าของทุกต่างดูตื่นเต้นดีใจ มีเพียงหลัวซิวผู้เดียวเท่านั้นที่ทำหน้างง ๆ ไม่รู้ว่าโลกเซียนเสวียนเทียนนี่มันคืออะไรกันแน่

ซุ๋นหวู่หยาอธิบายว่า: “ในยุคโบราณที่ไร้ที่สิ้นสุด ก่อนราชาเทพเสวียนเทียนจะสูญสลายดับสิ้น ท่านเป็นผู้บุกเบิกโลกเสวียนเทียน กฎพลังเทพส่วนหนึ่งกลายเป็นโลกเซียนเสวียนเทียน ทุก ๆ พันปีถึงจะเปิดออกหนึ่งครั้ง สมบัติที่อยู่ด้านในมีมากจนนับไม่ถ้วน ทุกครั้งที่โลกเสวียนเทียนถูกเปิดออก จะมีผู้แข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วนเข้าไปด้านใน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวก็เข้าใจแล้ว โลกเซียนเสวียนเทียนที่กล่าวมาน่าจะเป็นสถานที่ที่เหมือนกับโลกแสงดาวเกณฑ์กฎในโลกแสงดาว

แต่ทว่าระดับของโลกเซียนเสวียนเทียนนี้สูงกว่า เป็นสถานที่แห่งความลับที่ผู้แข็งแกร่งราชาเทพในยุคโบราณทิ้งไว้

“ยังมีอีกหลายเดือนโลกเซียนเสวียนเทียนถึงจะเปิด ในระหว่างนี้พวกเจ้าทั้ง 4 ต้องตั้งใจฝึกตนอย่างสงบจิตสงบใจ พยายามทำให้ผลการฝึกตนและศักยภาพมีการบรรลุ ตามหาโอกาสที่เหมาะสมกับตัวเองในโลกเซียนเสวียนเทียน”

เดินออกมาจากสำนัก ในขณะที่หลัวซิวกำลังจะจากไปอยู่นั้น หลิงเฟิงกลับเดินมาขวางอยู่ตรงหน้าเขาอย่างกะทันหัน

“นึกไม่ถึงเลยว่าอาจารย์จะรับเจ้าเป็นศิษย์”

หลิงเฟิงจ้องเขม็งหลัวซิวด้วยสายตาที่เย็นชาพลางพูด: “ศึกการต่อสู้แดนเดียวกันในเมื่อครั้งก่อนข้าเป็นฝ่ายแพ้ให้เจ้า ตอนนั้นข้าก็กล่าวไว้แล้วว่าหากได้พบหน้ากันอีกหน ข้าจะเอาชนะเจ้าด้วยกำมือของข้า ชะล้างความอัปยศในวันนั้น!”

“ปัจจุบันแม้นเจ้าและข้าจะอยู่ในสำนักเดียวกัน แต่ทว่าข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ หากอยู่ในแดนเดียวกันแล้วยังเอาชนะเจ้าที่เป็นศิษย์น้องเล็กไม่ได้ แล้วต่อไปผู้ใดจะนับถือในตัวข้า?”

หลิงเฟิงหกระเหินเดินฟ้า ออร่าที่อยู่รอบตัวค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ตะคอกอย่างเยือกเย็น: “ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ข้าปวดร้าวใจอย่างยิ่งและกลับมาทบทวนความผิดพลาดของตน ศักยภาพก้าวกระโดด หากสู้กันโดยที่อยู่ในแดนเดียวกัน เจ้าไม่มีทางใช่คู่ต่อสู้ของข้าแน่นอน”

หลัวซิวมองดูหลิงเฟิงที่อยู่ตรงหน้าแล้วอดหัวเราะไม่ได้“ศิษย์พี่ใหญ่จะสู้กับข้าโดยที่อยู่ในแดนเดียวกันอีกหรือ?”

“ถูกต้อง! หากข้าเอาชนะเจ้าโดยการพึ่งผลการฝึกตนที่สูงกว่า แม้เจ้าจะเป็นฝ่ายแพ้ ก็ต้องไม่พอใจแน่นอน ในเมื่อข้าจะเอาชนะเจ้า ข้าก็ต้องเอาชนะเจ้าโดยที่อยู่แดนเดียวกันกับเจ้า!”

หลัวซิวส่ายหน้าไปมา“ข้าว่าช่างมันเถิด สู้กันโดยที่อยู่แดนเดียวกัน ท่านไม่มีทางใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอก”

แม้ที่หลัวซิวพูดมาจะเป็นความจริง แต่ทว่าเมื่อคำพูดเช่นนี้ลอยเข้าไปในหูหลิงเฟิงแล้ว จะทำให้บุรุษผู้ภาคภูมิของสวรรค์ที่ทะนงองอาจนี้ทนไหวได้อย่างไร?

“เจ้าอย่าได้โอหังนัก!”

หลิงเฟิงตะคอกเสียงดังลั่น ในฐานะที่ตนเป็นศิษย์พี่ใหญ่ เขารู้สึกว่าความน่าเกรงขามของตนได้รับการยั่วยุ ต้องท้าวความก่อนว่าต่อให้ผลการฝึกตนของเขาจะอยู่ต่ำกว่าศิษย์พี่รอง ฮู๋เยว่เซิงหนึ่งขั้น แต่ศักยภาพที่แท้จริงของเขากลับแข็งแกร่งกว่าฮู๋เยว่เซิงอยู่เล็กน้อย

เขาตะคอกเสียงดังลั่น เคลื่อนเสียงแผ่กระจายออกไปเหมือนเป็นแก่นแท้ สะเทือนจนทำให้เขาทิพย์บริเวณรอบ ๆ สั่นคลอน หินที่อยู่บนภูเขาสั่นจนเสียงดัง